

ซิสโก้ (Cisco) ผู้นำระดับโลกด้านเครือข่ายและความปลอดภัย เปิดเผย ‘ผลการศึกษาจากดัชนีความพร้อมด้าน AI ประจำปี 2568 (Cisco AI Readiness Index 2025) ครั้งที่ 3 พบว่า กลุ่ม 'Pacesetters' ซึ่งเป็น ‘กลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ’ เป็นกลุ่มบริษัทขนาดเล็กที่มีความมุ่งมั่นและดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็นประมาณ 21% ขององค์กรที่สำรวจในประเทศไทย และ 13% ขององค์กรทั่วโลก โดยตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าคู่แข่งในทุกมิติของมูลค่าทางธุรกิจที่ได้รับจาก AI เป็นครั้งแรกในผลการศึกษาระดับโลกของซิสโก้ที่ครอบคลุมผู้นำด้าน AI กว่า 8,000 คน ใน 30 ตลาด และ 26 อุตสาหกรรม
ความได้เปรียบที่ยั่งยืนของ กลุ่มผู้นำที่มีความพร้อมด้าน AI (Pacesetters) ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบใหม่ของความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Resilience) นั่นก็คือ การใช้แนวทางเชิงระบบที่เป็นระเบียบ (disciplined, system-level approach) ที่สร้างความสมดุลระหว่างตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ กับข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้ก้าวทันวิวัฒนาการที่รวดเร็วของ AI พวกเขากำลังออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับอนาคต โดย 98% ของกลุ่มนี้ออกแบบเครือข่ายของตนให้พร้อมรับมือกับการเติบโต การขยายขนาด และความซับซ้อนของ AI ในขณะที่บริษัทในประเทศไทยทำได้เพียง 52%
การผสมผสานระหว่าง วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล (Foresight) และ การวางรากฐานที่มั่นคง (Foundation) ได้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นจริงและสามารถวัดผลได้ ในช่วงเวลาที่สองปัจจัยสำคัญกำลังเริ่มปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของธุรกิจคือ AI Agents ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยกระดับมาตรฐานด้านขนาด (Scale) ความปลอดภัย (Security) และการกำกับดูแล (Governance) และ AI Infrastructure Debt ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของคอขวดที่ซ่อนอยู่ และอาจบ่อนทำลายมูลค่า AI ในระยะยาว
นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า "ผลการศึกษาความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ในปีนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ‘ความพร้อมนำมาซึ่งมูลค่าที่แท้จริง’ ในทุกๆ ด้าน เราเห็นว่าองค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI หรือ กลุ่ม Pacesetters ในการศึกษาของเราพิสูจน์ให้เห็นสิ่งนี้ พวกเขามีโอกาสมากกว่า 3 เท่าในการนำโครงการทดลอง AI สู่การใช้งานจริง และมีโอกาสมากกว่าถึง 20% ที่จะเห็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดได้จากการใช้ AI ในขณะที่องค์กรต่างๆ กำลังนำ AI agents มาใช้งาน ความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับความพร้อม การมีวินัย และการลงมือทำ"
ลักษณะเด่นของ Pacesetter: ‘ความพร้อม’ คือความได้เปรียบในการแข่งขัน
การวิจัยของซิสโก้ชี้ให้เห็นแนวทางที่คล้ายคลึงกันในกลุ่มผู้นำเหล่านี้ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสู่ธุรกิจได้
· พวกเขาได้ผนวก AI เข้าเป็นแกนหลักของธุรกิจ ไม่ใช่แค่โครงการเสริม
เกือบทั้งหมดของ Pacesetters (99%) มีแผนงานด้าน AI ที่ชัดเจน (เทียบกับ 73% ในประเทศไทย) และ 91% (เทียบกับ 46% ในประเทศไทย) มีแผนบริหารการเปลี่ยนแปลงด้วย ส่วนในเรื่องของงบประมาณที่สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น 79% ยกให้ AI เป็น วาระสำคัญที่สุดในการลงทุน (เทียบกับ 36% ในประเทศไทย) และ 96% มีกลยุทธ์การจัดหาเงินทุนระยะสั้นและระยะยาว (เทียบกับ 55% ในประเทศไทย)
· พวกเขาสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับการเติบโต
พวกเขาออกแบบสถาปัตยกรรมสำหรับยุค always-on AI ที่ทำงานตลอดเวลา 71% ของ Pacesetters กล่าวว่าเครือข่ายของพวกเขามีความยืดหยุ่นอย่างเต็มที่ และสามารถขยายได้ทันทีสำหรับโครงการ AI (เทียบกับ 27% ในประเทศไทย) และ 77% กำลังลงทุนในความจุศูนย์ข้อมูล (Data-center capacity) ใหม่ ภายใน 12 เดือนข้างหน้า (เทียบกับ 48% ในประเทศไทย)
· พวกเขาสามารถนำร่องโครงการไปสู่การใช้งานจริงได้สำเร็จ
62% มีกระบวนการสร้างนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง และทำซ้ำได้สำหรับการสร้างและขยายผลกรณีการใช้งาน AI (เทียบกับ 18% ในประเทศไทย) และสามในสี่ (77%) ได้ทำโครงการใช้งาน AI เหล่านั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว (เทียบกับ 27% ในประเทศไทย)
· พวกเขาวัดผลในสิ่งที่สำคัญ
95% มีการติดตามผลกระทบจากการลงทุนด้าน AI ซึ่งสูงกว่าองค์กรอื่น ๆ มากกว่าสองเท่า และ 71% มั่นใจว่ากรณีการใช้งาน AI ของตนจะสร้างกระแสรายได้ใหม่ (New Revenue Streams) เทียบกับค่าเฉลี่ยในประเทศไทยที่ 41%
· พวกเขาเปลี่ยนความปลอดภัยให้เป็นจุดแข็ง
87% มีความตระหนักรู้สูงเกี่ยวกับภัยคุกคามเฉพาะด้าน AI (เทียบกับ 45% ในประเทศไทย) 62% ผนวก AI เข้ากับระบบความปลอดภัยและระบบการยืนยันตัวตน (Identity Systems) ของตน (เทียบกับ 35% ในประเทศไทย) และ 75% มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการควบคุมและรักษาความปลอดภัยของ AI Agents (เทียบกับ 45% ในประเทศไทย) ‘ความไว้วางใจ’ เป็นส่วนหนึ่งในสมการมูลค่าของกลุ่ม Pacesetters
กลุ่ม Pacesetters สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากกว่าคู่แข่งด้วยแนวทางนี้: 90% รายงานว่าได้รับผลประโยชน์ด้านความสามารถในการทำกำไร ผลผลิต และนวัตกรรม เทียบกับ 79% โดยรวมในประเทศไทย
![]()
AI agents: ความมุ่งมั่นที่เร็วกว่าความพร้อม
ดัชนีแสดงให้เห็นว่า 98% ขององค์กรในประเทศไทยวางแผนนำ AI agents มาใช้งาน และเกือบ 31% คาดว่า AI agents จะทำงานร่วมกับพนักงานในปีหน้า แต่สำหรับบริษัทส่วนใหญ่ AI agents ทำให้เห็นชัดว่าโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พร้อม ระบบที่มีอยู่แทบไม่สามารถรองรับแม้แต่ AI แบบพื้นฐาน (Reactive, Task-based AI) ส่วน AI ที่ทำงานอัตโนมัติ และเรียนรู้ตลอดเวลาด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้
29% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าเครือข่ายของตนไม่สามารถรองรับความซับซ้อน หรือปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้ และมีเพียง 27% ที่มองว่าเครือข่ายของตนมีความยืดหยุ่นหรือปรับตัวได้
แต่สำหรับกลุ่ม Pacesetters นั้น แนวทางที่เป็นระบบและมีวินัยทำให้พวกเขาวางรากฐานที่จำเป็นสำหรับการขยายตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว
![]()
AI Infrastructure Debt: แรงฉุดมูลค่าที่กำลังเกิดขึ้น
รายงานฉบับนี้ได้นำเสนอแนวคิดใหม่ นั่นคือ "ภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐาน AI" (AI Infrastructure Debt) ซึ่งเป็นวิวัฒนาการล่าสุดของ "ภาระหนี้ทางเทคนิคและดิจิทัล" ที่เคยเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมาก่อน
ภาระหนี้ดังกล่าวเกิดจากการ สะสมอย่างเงียบ ๆ ของการประนีประนอม การเลื่อนการอัปเกรด และสถาปัตยกรรมที่ได้รับเงินทุนไม่เพียงพอ ซึ่งจะกัดกร่อนมูลค่าของ AI เมื่อเวลาผ่านไป สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าบางประการได้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้วคือ: 40% คาดว่าปริมาณงานจะเพิ่มขึ้นกว่า 30% ภายใน 3 ปี, 61% ประสบปัญหาในการรวมศูนย์ข้อมูล (Centralize Data), 31% เท่านั้นที่มีความจุ GPU ที่เพียงพอ และ 42% ที่สามารถตรวจจับ หรือป้องกันภัยคุกคามเฉพาะด้าน AI ได้
สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่าง ความมุ่งมั่นด้าน AI (AI Ambition) กับ ความพร้อมในการปฏิบัติงาน (Operational Readiness) ยิ่งไปกว่านั้น หากระบบที่ขับเคลื่อน AI ขาดความปลอดภัย "ภาระหนี้" ดังกล่าวก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น ถึงแม้ว่ากลุ่ม Pacesetters จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง แต่ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การกำกับดูแล และระเบียบวินัยในการลงทุน จะช่วยให้พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหาเล็ก ๆ ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นความเสี่ยงที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าได้
ดาวน์โหลดรายงาน: "ความพร้อม” นำไปสู่มูลค่า
เมื่อระบบ agentic AI และ AI อัตโนมัติผลักดันให้องค์กรต้องใช้การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง รายงานชี้ชัดว่า "ความพร้อมนำไปสู่มูลค่าทางธุรกิจ" โดยองค์กรที่มีความพร้อมด้าน AI สูงสุดเป็นผู้นำเทรนด์ให้องค์กรอื่นๆ ตาม
ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยและเครือข่าย ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชั่นคลัสเตอร์ AI ที่ก้าวล้ำ พร้อมด้วยเทคโนโลยีจาก NVIDIA สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ที่จะพลิกโฉมการสร้าง การจัดการ และการปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์
ภายใต้วิสัยทัศน์ Cisco Networking Cloud ซึ่งมุ่งที่จะลดความซับซ้อนของเครือข่าย ซิสโก้ได้นำเสนอโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจรที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร เพื่อรองรับเวิร์กโหลด Generative AI โดยโซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI ผสานรวมเครือข่ายแบบ AI-native ของซิสโก้ เข้ากับระบบประมวลผลที่มีการเร่งความเร็วและซอฟต์แวร์ AI ของ NVIDIA และที่เก็บข้อมูล VAST ที่แข็งแกร่ง โซลูชั่นดังกล่าวได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถโฟกัสไปที่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการจัดการระบบไอที
รายงานแนวโน้มด้านระบบเครือข่ายทั่วโลก (Global Networking Trends Report) ฉบับล่าสุดของซิสโก้ ระบุว่า ในช่วงสองปีข้างหน้า 60% ของผู้บริหารและบุคลากรด้านไอทีคาดว่าจะมีการปรับใช้ระบบเครือข่ายอัตโนมัติเชิงคาดการณ์ที่รองรับ AI ในทุกโดเมน เพื่อให้สามารถจัดการ NetOps ได้ดียิ่งขึ้น1 นอกจากนี้ 75% มีแผนที่จะปรับใช้เครื่องมือที่รองรับการตรวจสอบแบบครบวงจรผ่านคอนโซลหนึ่งเดียว ครอบคลุมโดเมนเครือข่ายที่แตกต่างกัน เช่น เครือข่ายแคมปัสและสาขา, WAN, ดาต้าเซ็นเตอร์, อินเทอร์เน็ต, ระบบ คลาวด์สาธารณะ และเครือข่ายอุตสาหกรรม

โจนาธาน เดวิดสัน รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปของ Cisco Networking กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าอนาคตของ AI จะมีความชัดเจน แต่หนทางข้างหน้าสำหรับหลายๆ องค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นการปรับใช้เทคโนโลยีกลับไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายทางด้านการเงินและการดำเนินงานสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน AI Stack ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการติดตั้งใช้งานและการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้สะดวกง่ายดายมากขึ้น โดยเราได้ร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อนำเสนอโซลูชั่น AI Stack ที่ปรับใช้ได้อย่างง่ายดายและควบคุมผ่านระบบคลาวด์ โซลูชั่นที่ว่านี้สร้างขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์แพลตฟอร์ม Cisco Networking Cloud ของเรา ซึ่งมุ่งเน้นการทำงานแบบอัตโนมัติและเรียบง่าย”
เควิน ไดเออร์ลิง รองประธานอาวุโสฝ่ายระบบเครือข่ายของ NVIDIA กล่าวว่า “Generative AI จำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์ที่ออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการพลิกโฉมธุรกิจได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ NVIDIA และซิสโก้ร่วมมือกันเพื่อส่งมอบแพลตฟอร์ม AI และระบบควบคุมที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งใช้งานระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ระบบเครือข่าย และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับเวิร์กโหลด Generative AI”
ซิสโก้ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AI ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ซิสโก้ยังส่งมอบเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับลูกค้าเพื่อสร้างเครือข่าย AI-native ที่ใช้งานง่าย สามารถคาดการณ์ความล้มเหลวในการทำงาน ตลอดจนวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างฉับไว
วิธีการทำงานของ Cisco Nexus HyperFabric AI Cluster
โซลูชั่นนี้รองรับการออกแบบ ปรับใช้ ตรวจสอบ และรับรองพ็อด AI และเวิร์กโหลดของดาต้าเซ็นเตอร์อย่างครบวงจร โดยจะแนะนำผู้ใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้งใช้งานที่ผ่านการตรวจสอบยืนยัน ไปจนถึงการตรวจสอบดูแลและรับรองโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่พร้อมใช้งานระดับองค์กร ด้วยความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ ลูกค้าจะสามารถติดตั้งและจัดการแฟบริคขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั่วทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโคโลเคชั่น (Colocation) และไซต์ Edge ได้อย่างง่ายดาย
![]()
โซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI นำเสนอการทำงานแบบอัตโนมัติที่ควบคุมจัดการผ่านระบบคลาวด์ ครอบคลุมระบบประมวลผลและเครือข่ายแบบครบวงจรที่ผสานรวมความเชี่ยวชาญด้านสวิตช์อีเธอร์เน็ตของซิสโก้บน Cisco Silicon One โดยบูรณาการเข้ากับระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA และซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise รวมไปถึงแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลของ VAST โซลูชั่นดังกล่าวประกอบด้วย:
· ความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ของซิสโก้ ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อนของการดำเนินงานด้านไอทีในทุกขั้นตอนของเวิร์กโฟลว์
· สวิตช์ Cisco Nexus 6000 series สำหรับ Spine และ Leaf ซึ่งให้ประสิทธิภาพของแฟบริคอีเธอร์เน็ต 400G และ 800G
· โมดูล QSFP-DD ในตระกูล Cisco Optics ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าและให้ความหนาแน่นสูงมาก
· ซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและปรับใช้เวิร์กโหลด Generative AI ในระดับเทียบเท่าการใช้งานจริง
· ไมโครเซอร์วิสการอนุมาน NVIDIA NIM ที่เพิ่มความรวดเร็วในการปรับใช้โมเดลพื้นฐาน พร้อมทั้งรับประกันความปลอดภัยของข้อมูล และสามารถใช้งานร่วมกับ NVIDIA AI Enterprise · NVIDIA Tensor Core GPU ที่เริ่มต้นด้วย NVIDIA H200 NVL ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มพลังให้กับเวิร์กโหลด Generative AI ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและความสามารถของหน่วยความจำที่เหนือกว่า
· หน่วยประมวลผลข้อมูล NVIDIA BlueField-3 DPU และ BlueField-3 SuperNIC สำหรับการเร่งความเร็วของเวิร์กโหลดด้านเครือข่ายประมวลผล AI การเข้าถึงข้อมูล และการรักษาความปลอดภัย
· ดีไซน์ต้นแบบระดับองค์กรสำหรับ AI ที่สร้างขึ้นบน NVIDIA MGX ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์แบบแยกส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง
· VAST Data Platform ซึ่งให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบครบวงจร ฐานข้อมูล และเอนจิ้นฟังก์ชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ AI
มีองค์กรในไทยเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มี ‘ความพร้อมเต็มที่’ (Mature) ในการรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ยุคใหม่ ตามที่ระบุไว้ในรายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ (Cybersecurity Readiness Index) ประจำปี 2567” ของซิสโก้
รายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ประจำปี 2567” ของซิสโก้ ได้รับการจัดทำขึ้นในยุคที่มีการเชื่อมต่อถึงกันอย่างหลากหลาย (hyperconnectivity) และสถานการณ์ภัยคุกคามมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้ บริษัทต่างๆ ยังคงตกเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วยเทคนิคที่แตกต่างมากมาย ตั้งแต่ฟิชชิ่งและแรนซัมแวร์ ไปจนถึงการโจมตีจากซัพพลายเชนและโซเชียล เอนจิเนียริ่ง ถึงแม้ว่าองค์กรต่างๆ จะมีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีเหล่านี้ แต่ก็ยังคงประสบปัญหาในการป้องกันภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีความซับซ้อนมากจนเกินไป เนื่องจากมีการติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมาก ก็ส่งผลให้องค์กรประสบความยากลำบาก ปัญหาท้าทายเหล่านี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบกระจายในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลสามารถแพร่กระจายไปยังการให้บริการ อุปกรณ์ แอปพลิเคชั่น และผู้ใช้จำนวนมากอย่างไม่จำกัด อย่างไรก็ตาม 89% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามยังคงรู้สึกมั่นใจใน ‘ระดับปานกลางถึงระดับสูงมาก’ เกี่ยวกับความสามารถในการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ความแตกต่างระหว่าง ‘ความเชื่อมั่น’ และ ‘ความพร้อม’ นี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ อาจมีความมั่นใจที่ผิดเกี่ยวกับความสามารถของตนเองในการรับมือกับภัยคุกคาม และอาจไม่สามารถประเมินความรุนแรงที่แท้จริงของปัญหาท้าทายกำลังเผชิญอยู่ได้อย่างถูกต้อง
รายงานดัชนี “ความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ประจำปี 2567” ของซิสโก้: บริษัทที่ ‘ไม่เตรียมพร้อมและมีความมั่นใจมากเกินไป’ ต้องเผชิญและรับมือกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
รายงานดัชนีนี้ประเมินความพร้อมของบริษัทใน 5 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ ระบบอัจฉริยะด้านข้อมูลบุคคล, ความยืดหยุ่นของเครือข่าย, ความน่าเชื่อถือของแมชชีน, ความแข็งแกร่งของคลาวด์ และการเสริมกำลังด้วย AI ซึ่งประกอบด้วยโซลูชั่นและฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้อง 31 รายการ โดยอิงจากการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดสองทาง (Double-Blind) ของผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายธุรกิจขององค์กรเอกชนมากกว่า 8,000 คนใน 30 ประเทศทั่วโลก โดยการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ดำเนินการโดยองค์กรอิสระ ผู้ตอบแบบสอบถามถูกขอให้ระบุว่ามีโซลูชั่นและฟีเจอร์ใดบ้างที่พวกเขาได้ติดตั้งใช้งาน รวมถึงระดับของการใช้งาน จากนั้นบริษัทต่างๆ ถูกแบ่งกลุ่มตามระดับความพร้อม 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ Beginner (ระดับเริ่มต้น), Formative (ระดับสร้างฐานความพร้อม), Progressive (ระดับก้าวหน้า) และ Mature (ระดับพร้อมเต็มที่)
จีทู พาเทล, รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายระบบรักษาความปลอดภัยและการทำงานร่วมกันของซิสโก้ กล่าวว่า “เราไม่ควรละเลยความเสี่ยงจากภัยคุกคามที่เกิดจากความมั่นใจเกินไปของเรา องค์กรในปัจจุบันจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนในแพลตฟอร์มแบบครบวงจร และนำ AI มาใช้เพื่อการดำเนินการของแมชชีน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยให้องค์กรมีความได้เปรียบในการป้องกันมากขึ้น”
![]()
ข้อมูลที่พบจากผลการศึกษาโดยรวมแล้ว จากผลการศึกษาพบว่า บริษัทในไทยมีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่พร้อมรับมือกับภัยคุกคามในปัจจุบัน โดยองค์กรมากกว่าครึ่งหนึ่ง (54%) มีความพร้อมในระดับเริ่มต้น หรือระดับสร้างฐานของความพร้อม ขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลก 3% มีระดับความพร้อมเต็มที่ นอกจากนั้น:
· เหตุการณ์ทางไซเบอร์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต: 65% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้จะทำให้ธุรกิจของพวกเขาหยุดชะงักใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า การที่องค์กรขาดความพร้อมอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายที่มีมูลค่าสูงมาก โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 51% กล่าวว่าพวกเขาประสบกับเหตุการณ์ด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา และ 69% ขององค์กรที่ได้รับผลกระทบระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายอย่างน้อย 300,000 ดอลลาร์
· การติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดมากเกินไป: แนวทางแบบเดิมๆ ในการติดตั้งโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมากสำหรับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดย 92% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าการมีโซลูชั่นเฉพาะจุดจำนวนมากส่งผลให้ทีมทำงานได้ช้าลงในการตรวจจับการโจมตี การตอบสนอง และการกู้คืนระบบ ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจเป็นอย่างมาก โดย 75% ขององค์กรกล่าวว่าพวกเขาได้ติดตั้งโซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยแบบเฉพาะจุด 10 โซลูชั่นขึ้นไป ขณะที่ 35% มีอย่างน้อย 30 โซลูชั่น
· อุปกรณ์ที่ ‘ไม่ปลอดภัย’ และ ‘ไม่มีการจัดการ’ สร้างความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น: 94% ของบริษัทกล่าวว่าพนักงานของตนเข้าถึงแพลตฟอร์มของบริษัทจากอุปกรณ์ที่ไม่มีการจัดการ และ 42% ของบริษัทเหล่านั้นใช้เวลาหนึ่งในห้า (20%) ในการล็อกออนเข้าสู่ระบบเครือข่ายของบริษัทจากอุปกรณ์ที่ไม่มีการจัดการ นอกจากนี้ 26% รายงานว่าพนักงานมีการสลับไปมาระหว่างเครือข่ายต่างๆ อย่างน้อยหกเครือข่ายในหนึ่งสัปดาห์
· การขาดแคลนบุคลากรทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง: องค์กรต่างๆ ไม่สามารถพัฒนาด้านความปลอดภัยอย่างเต็มศักยภาพเนื่องจากขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถ โดยบริษัท 91% เน้นย้ำว่าปัญหานี้นับเป็นเรื่องสำคัญ และที่จริงแล้ว บริษัท 43% พบว่าพวกเขายังคงขาดแคลนบุคลากรในตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์มากกว่า 10 อัตราในช่วงที่มีการสำรวจความคิดเห็น
· การลงทุนด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต: บริษัทต่างๆ ตระหนักถึงปัญหาท้าทายดังกล่าว และกำลังดำเนินการเพื่อยกระดับการป้องกัน โดย 65% มีแผนที่จะอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีครั้งใหญ่ใน 12 ถึง 24 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก 47% ที่วางแผนจะทำเช่นนั้นในปีที่แล้ว โดยองค์กรต่างๆ วางแผนที่จะอัปเกรดโซลูชั่นที่มีอยู่ (70%) ปรับใช้โซลูชั่นใหม่ (53%) และลงทุนในเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI (61%) นอกจากนี้ เกือบทั้งหมด (99%) ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะเพิ่มงบประมาณด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ใน 12 เดือนข้างหน้า และ 94% กล่าวว่างบประมาณของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10%
เพื่อเอาชนะปัญหาท้าทายเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยคุกคามในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ ต้องเร่งดำเนินการลงทุนที่สำคัญในระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เป็นนวัตกรรมใหม่, การปรับใช้แนวทางแพลตฟอร์มการรักษาความปลอดภัย, การเสริมความยืดหยุ่นของเครือข่าย, การใช้งาน Gen AI อย่างเหมาะสม และเพิ่มบุคลากรที่มีความสามารถเพื่อลดช่องว่างของทักษะด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้
วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ กล่าวว่า “สถานการณ์ภัยคุกคามในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ยังไม่มีการเตรียมความพร้อมอย่างเพียงพอ รายงานดัชนีความพร้อมด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ล่าสุดของเราเปิดเผยว่า บริษัทในไทยเพียง 9% เท่านั้นที่มี ‘ความพร้อมอย่างเต็มที่’ ในการรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ยุคใหม่ ซึ่งลดลงจากปี 2566 ที่องค์กรมีความพร้อมอยู่ที่ 27% องค์กรธุรกิจในไทยจึงจำเป็นที่จะต้องปรับใช้แนวทางแพลตฟอร์มแบบหลายทาง (multi-pronged platform approach) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ตั้งแต่การลงทุนในมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไปจนถึงการใช้ประโยชน์จาก Gen AI เพื่อปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย ลดช่องว่างด้านบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ และวางรากฐานสำหรับการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ส่วนทั่วทั้งองค์กร”
ผลการศึกษาของซิสโก้ชี้ องค์กรในไทยเพียง 20% มีความพร้อมในการปรับใช้และใช้ประโยชน์จาก AI โดย 74% เป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบต่อธุรกิจหากไม่เตรียมพร้อมในอีก 12 เดือนข้างหน้า
![]()
ประเด็นข่าว:
· องค์กรเกือบทั้งหมดในไทย (99%) ระบุว่าความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับใช้เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้เพิ่มสูงขึ้นช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
· มีช่องว่างที่สำคัญใน 6 เสาหลักของธุรกิจ ซึ่งได้แก่ กลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล การกำกับดูแล บุคลากร และวัฒนธรรมองค์กร โดยบริษัท 80% กล่าวว่าพวกเขายังไม่พร้อมอย่างเต็มที่ในการบูรณาการ AI เข้ากับธุรกิจของตน
· บริษัทต่างๆ กำลังแข่งกับเวลา โดย 74% กล่าวว่าพวกเขามีเวลาสูงสุดแค่ “หนึ่งปี” ในการปรับใช้กลยุทธ์ AI มิฉะนั้นจะส่งผลเสียต่อธุรกิจ
กรุงเทพฯ, 16 พฤศจิกายน 2566 — มีเพียง 20% ขององค์กรในประเทศไทยเท่านั้นที่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการปรับใช้และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ตามรายงานฉบับแรกเกี่ยวกับดัชนีความพร้อมด้าน AI (AI Readiness Index) ของซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวันนี้ ดัชนีดังกล่าวซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลจากบริษัททั่วโลกมากกว่า 8,000 แห่ง ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อการปรับใช้ AI อย่างรวดเร็ว ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันในเกือบทุกแง่มุม รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงความพร้อมของบริษัทต่างๆ ในการปรับใช้และใช้ประโยชน์จาก AI โดยแสดงให้เห็น “ช่องว่างที่สำคัญ” ในเสาหลักของธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงในอนาคตอันใกล้นี้
ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า ถึงแม้การปรับใช้ AI จะมีความคืบหน้าอย่างช้าๆ มานานหลายทศวรรษ แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี Generative AI ประกอบกับการเปิดให้ใช้งานอย่างกว้างขวางสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีความสนใจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงความท้าทาย ความเปลี่ยนแปลง และความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เกิดจากเทคโนโลยีนี้ ขณะที่ 63% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า AI จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจของพวกเขา และอาจก่อให้เกิดประเด็นใหม่ๆ เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความปลอดภัย รายงานดัชนีดังกล่าวพบว่า บริษัทต่างๆ เผชิญกับความท้าทายมากที่สุดเมื่อใช้ประโยชน์จาก AI ควบคู่ไปกับข้อมูลของพวกเขา ที่จริงแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถาม 75% ยอมรับว่าสาเหตุเป็นเพราะข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างกระจัดกระจายไว้ในระบบต่างๆ ทั่วทั้งองค์กร
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ รายงานดัชนีดังกล่าวเปิดเผยว่า บริษัทต่างๆ ในไทยกำลังใช้มาตรการเชิงรุกในหลายๆ ด้านเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่มุ่งเน้น AI เป็นหลัก เมื่อพูดถึงการกำหนดกลยุทธ์ด้าน AI องค์กร 97% มีกลยุทธ์ด้าน AI ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา องค์กรมากกว่า 8 ใน 10 (81%) ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Pacesetters (มีความพร้อมอย่างเต็มที่) หรือ Chasers (มีความพร้อมปานกลาง) โดยมีเพียง 1% เท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม Laggards (ไม่ได้เตรียมพร้อม) ซึ่งนับเป็นการบ่งบอกว่าผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารฝ่ายไอทีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ตอบแบบสอบถามเกือบทุกคน (99%) กล่าวว่าความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับใช้เทคโนโลยี AI ในองค์กรของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยมีการรายงานว่า ‘โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์’ เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการปรับใช้ AI
![]()
ลิซ เซนโทนี่ รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายแอปพลิเคชั่น และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของซิสโก้ กล่าวว่า “ขณะที่บริษัทต่างๆ เร่งการปรับใช้โซลูชั่น AI ก็จะต้องมีการประเมินว่าควรจะลงทุนในส่วนใดบ้างเพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขาจะสามารถรองรับความต้องการของเวิร์กโหลด AI ได้ดีที่สุด นอกจากนี้ องค์กรยังต้องสามารถตรวจสอบว่า AI ถูกใช้งานอย่างไร เพื่อให้แน่ใจเกี่ยวกับ ROI, ความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ความรับผิดชอบ’ ”
ข้อมูลสำคัญที่พบในผลการศึกษา
ผลการศึกษาพบว่า โดยรวมแล้วมีบริษัทเพียง 20% เท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม Pacesetters (มีความพร้อมอย่างเต็มที่) โดยที่ 36% ของบริษัทในไทยจัดอยู่ในกลุ่ม Laggards (ไม่ได้เตรียมพร้อม) ที่ 1% และกลุ่ม Followers (มีความพร้อมอย่างจำกัด) ที่ 35% นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลที่สำคัญที่สุดได้แก่:
· ความเร่งด่วน: สูงสุด “หนึ่งปี” ก่อนที่บริษัทต่างๆ จะเริ่มเห็นผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจ โดย 74% ของผู้ตอบแบบสอบถามในไทยเชื่อว่าพวกเขามีเวลาสูงสุดไม่เกินหนึ่งปีในการปรับใช้กลยุทธ์ AI ก่อนที่องค์กรของพวกเขาจะเริ่มได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจ
· กลยุทธ์ : ขั้นตอนแรกคือการกำหนดกลยุทธ์ และองค์กรต่างๆ ดำเนินการได้ด้วยดี โดย 81% ขององค์กรในไทยจัดอยู่ในกลุ่ม Pacesetters หรือ Chasers โดยมีเพียง 1% เท่านั้นที่จัดอยู่ในกลุ่ม Laggards นอกจากนี้ 97% ขององค์กรมีกลยุทธ์ AI ที่ชัดเจนอยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งนับเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก
· โครงสร้างพื้นฐาน: เครือข่ายยังไม่มีความพร้อมที่จะรองรับเวิร์กโหลด AI โดย 95% ขององค์กรธุรกิจทั่วโลกตระหนักดีว่า AI จะก่อให้เกิดเวิร์กโหลดเพิ่มมากขึ้นต่อโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในประเทศไทย มีองค์กรเพียง 29% เท่านั้นที่มองว่าโครงสร้างพื้นฐานของตนสามารถปรับขนาดได้อย่างยืดหยุ่น ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (56%) ระบุว่าพวกเขามีความสามารถในการปรับขนาดอย่างจำกัด หรือไม่มีเลยเมื่อต้องรับมือกับปัญหาหรือความท้าทายด้าน AI ใหม่ๆ ภายในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ เพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานและการประมวลผลที่เพิ่มสูงขึ้นของ AI บริษัทมากกว่าสองในสาม (71%) จะต้องใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้น เพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI ในอนาคต
· ข้อมูล: องค์กรไม่สามารถละเลยความสำคัญของการมี ‘ข้อมูลที่พร้อมสำหรับ AI’ แม้ว่าข้อมูลจะทำหน้าที่เป็นแกนหลักที่สำคัญสำหรับการดำเนินการของ AI แต่กลับเป็นส่วนที่มีความพร้อมน้อยที่สุด โดยมีจำนวน Laggards มากที่สุด (10%) เมื่อเทียบกับเสาหลักอื่นๆ ทั้งนี้ 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดระบุว่า ข้อมูลต่างๆ ถูกแยกส่วนหรือกระจัดกระจายอยู่ในองค์กรของตน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาท้าทายที่สำคัญ เพราะความยุ่งยากซับซ้อนในการบูรณาการข้อมูลที่อยู่ในระบบต่างๆ และการทำให้ข้อมูลดังกล่าวพร้อมใช้งานสำหรับแอปพลิเคชัน AI สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชันเหล่านี้
· บุคลากร: ความต้องการทักษะด้าน AI เผยให้เห็นถึงช่องว่างหรือความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในยุคใหม่ คณะกรรมการ (93%) และผู้บริหาร (91%) มีแนวโน้มที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AI มากที่สุด โดยมีการตอบรับในระดับสูงหรือปานกลาง อย่างไรก็ตาม ยังมีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่อดึงดูดผู้บริหารระดับกลาง โดย 19% ยอมรับ AI อย่างมีข้อจำกัดหรือไม่ยอมรับเลย และในส่วนของพนักงาน องค์กรเกือบหนึ่งในห้า (22%) รายงานว่าพนักงานไม่ค่อยเต็มใจที่จะปรับใช้ AI หรือต่อต้านการใช้ AI ความต้องการทักษะด้าน AI เผยถึงช่องว่างทางดิจิทัลยุคใหม่ ผู้ตอบแบบสอบถาม 95% กล่าวว่าพวกเขาได้ลงทุนเพื่อยกระดับทักษะของพนักงานที่มีอยู่ ขณะที่ 10% เห็นถึงความเหลื่อมล้ำด้าน AI ที่กำลังเกิดขึ้น โดยตั้งข้อสงสัยว่าจะมีบุคลากรเพียงพอต่อการยกระดับทักษะหรือไม่
· การกำกับดูแล: การปรับใช้นโยบาย AI เริ่มต้นช้า 57% ขององค์กรไม่มีนโยบาย AI ที่ครอบคลุม ซึ่งนับเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข ขณะที่บริษัทต่างๆ พิจารณาและกำกับดูแลปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำลายความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ ปัจจัยที่ว่านี้ได้แก่ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล อธิปไตยด้านข้อมูล หรือสิทธิของการเป็นเจ้าของข้อมูล (Data Sovereignty) และความเข้าใจต่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบโลก นอกจากนั้น จะต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องอคติ ความยุติธรรม และความโปร่งใส ทั้งในส่วนของข้อมูลและอัลกอริธึม
· วัฒนธรรมองค์กร: มีการเตรียมการน้อยมาก แต่มีแรงจูงใจสูงในการให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เสาหลักนี้มีจำนวน Pacesetters ต่ำที่สุด (13%) เมื่อเทียบกับหมวดหมู่อื่นๆ โดยส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากข้อเท็จจริงที่ว่า 3.4% ของบริษัทยังไม่ได้จัดทำแผนการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management Plans) และสำหรับบริษัทที่ทำแผนไว้แล้ว 76% ยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการ ผู้บริหารระดับสูงเปิดรับการเปลี่ยนแปลงด้าน AI ภายในองค์กรมากที่สุด และจะต้องเป็นผู้นำในการจัดทำแผนงานที่ครอบคลุมและมีการสื่อสารอย่างชัดเจนไปยังผู้บริหารระดับกลางและพนักงานที่มีอัตราการยอมรับ AI ค่อนข้างต่ำ ข่าวดีก็คือ พนักงานมีแรงจูงใจอยู่ในระดับสูง โดยมากกว่า 8 ใน 10 (81%) กล่าวว่าองค์กรของพวกเขากำลังเปิดรับ AI โดยมีความเร่งด่วนในระดับปานกลางถึงระดับสูง
ดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้
ดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ (Cisco AI Readiness Index) อ้างอิงการสำรวจความคิดเห็นแบบปกปิดสองทาง (Double Blind) สำหรับผู้บริหารฝ่ายธุรกิจและฝ่ายไอทีภาคเอกชนจำนวน 8,161 คนใน 30 ประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานอิสระ และเป็นการสอบถามความเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามจากบริษัทที่มีพนักงาน 500 คนขึ้นไป ดัชนีดังกล่าวประเมินความพร้อมด้าน AI ของผู้ตอบแบบสอบถาม ใน 6 เสาหลักที่สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ โครงสร้างพื้นฐาน ข้อมูล บุคลากร การกำกับดูแล และวัฒนธรรมองค์กร
บริษัทต่างๆ ได้รับการตรวจสอบโดยใช้เกณฑ์ชี้วัดที่แตกต่างกัน 49 รายการ ครอบคลุมเสาหลักทั้งหก เพื่อกำหนดคะแนนความพร้อมสำหรับแต่ละด้าน รวมถึงคะแนนความพร้อมโดยรวมสำหรับองค์กรของผู้ตอบแบบสอบถาม ตัวบ่งชี้แต่ละรายการได้รับการถ่วงน้ำหนักตามความสำคัญสำหรับความพร้อมในส่วนของเสาหลักที่เกี่ยวข้อง และจากคะแนนโดยรวม ซิสโก้ได้จำแนกองค์กรเป็น 4 กลุ่มตามระดับความพร้อมที่แตกต่างกัน ได้แก่ Pacesetters (มีความพร้อมอย่างเต็มที่), Chasers (มีความพร้อมปานกลาง), Followers (มีความพร้อมอย่างจำกัด) และ Laggards (ไม่ได้เตรียมพร้อม)
นวัตกรรมใหม่ครอบคลุมระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และแอปพลิเคชัน สอดรับกับกลยุทธ์ของซิสโก้ ช่วยให้ลูกค้ารับมือกับความท้าทายด้านเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด
![]()
ซิสโก้ (CSCO) ผู้นำด้านระบบเครือข่ายและความปลอดภัยระดับองค์กรได้เปิดตัวเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และแอปพลิเคชัน พร้อมกันนี้ ซิสโก้ได้เผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการนำเสนอประสบการณ์แบบครบวงจรที่เรียบง่ายมากขึ้นสำหรับลูกค้าและคู่ค้า โดยครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซิสโก้
ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นนับเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญของอนาคตเกือบทุกองค์กร และด้วยเหตุนี้ เครือข่ายที่ปลอดภัยจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นสำหรับองค์กรยุคใหม่ ผู้บริหารของซิสโก้ รวมถึง ชัค ร็อบบินส์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอของซิสโก้ ขึ้นกล่าวบรรยายบนเวทีในงานเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับโซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความปลอดภัยให้แก่คู่ค้าและลูกค้า เพื่อให้สามารถรับมือกับอนาคตที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว
![]()
ชัค ร็อบบินส์ ประธานกรรมการและซีอีโอของซิสโก้ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ และความสามารถใหม่ๆ ของพอร์ตโฟลิโอของซิสโก้ให้กับลูกค้าของเราที่งาน Cisco Live เราเชื่อว่ามีโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่ในอนาคตเพราะเราได้ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาและจัดการความท้าทายทางธุรกิจที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย การเชื่อมต่อ แอปพลิเคชัน หรือความยั่งยืน ซิสโก้คือพันธมิตรที่มีความพร้อมในการช่วยให้ลูกค้าทรานส์ฟอร์ม และนำไปใช้ พวกเราพร้อมที่จะนำเสนอทุกสิ่งที่ทีมงานร่วมกันพัฒนา ตลอดจนวิสัยทัศน์ของพอร์ตโฟลิโอของซิสโก้ เพราะเราทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น และยั่งยืนมากกว่าเดิม”
วิช ไอเยอร์ รองประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมของซิสโก้ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวว่า “สภาพแวดล้อมดิจิทัลในปัจจุบันมีการทรานส์ฟอร์มอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว องค์กรธุรกิจต่างๆ จึงต้องการโซลูชั่นแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัย เพื่อให้งานเหล่านี้เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที และนักพัฒนาได้ให้ความสำคัญถึงวิธีที่ง่ายและรวมศูนย์ในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่กำลังขยายตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่และความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าของเราในภูมิภาคนี้ และช่วยให้พวกเขาเติบโตบนเส้นทางดิจิทัลด้วยประสบการณ์ที่ครบวงจรในรูปแบบใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทาย และความซับซ้อนต่างๆ ได้มากขึ้น”
นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ของซิสโก้เพื่อรับมือกับความท้าทายที่สำคัญของลูกค้า
รายงาน State of Global Innovation ของซิสโก้ พบว่า 85% ของบุคลากรฝ่ายไอทีให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายของระบบไอทีในองค์กร เทคโนโลยีใหม่ที่เปิดตัวที่งาน Cisco Live ปีนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของซิสโก้ในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้ง่ายขึ้น และช่วยขับเคลื่อนอนาคตของทุกคน โดยเทคโนโลยีที่เปิดตัวในวันนี้ได้แก่:
วิสัยทัศน์สำหรับ Cisco Networking Cloud
ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะลดความยุ่งยากซับซ้อนของระบบไอที โดยบริษัทฯ ได้ประกาศวิสัยทัศน์สำหรับ Cisco Networking Cloud ซึ่งเป็นประสบการณ์ด้านแพลตฟอร์มการจัดการแบบบูรณาการสำหรับโมเดลการจัดการคลาวด์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ประสบการณ์ด้านไอทีที่เรียบง่ายจะส่งผลดีต่อการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า การดึงดูดพนักงาน และการสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง ซิสโก้ตระหนักถึงปัญหาเรื่องระบบที่แยกเป็นส่วนๆ ไม่ต่อเนื่องกัน ขาดการตรวจสอบอย่างทั่วถึง ปัญหาภัยคุกคามด้านความปลอดภัย และการบูรณาการระบบที่ยุ่งยาก ต้องใช้เวลานาน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่า นอกจากนี้ ซิสโก้ยังเข้าใจดีว่าการพัฒนาไปสู่ความเรียบง่ายขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายทางธุรกิจของผู้ให้บริการแต่ละราย ความจำเป็นด้านฟังก์ชั่นการทำงาน และรูปแบบการใช้งานที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่ากรณีการใช้งานนั้นๆ จะต้องอาศัยระบบที่ติดตั้งภายในองค์กร ระบบที่รองรับคลาวด์ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง ซิสโก้ก็พร้อมตอบสนองทุกความต้องการด้านไอทีในทุกๆ ที่
ภายใต้แผนการพัฒนาสู่ความเรียบง่าย ซิสโก้ได้ทำงานอย่างจริงจังเพื่อสร้างประสบการณ์ด้านแพลตฟอร์มการจัดการเครือข่ายที่ง่ายขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงได้โดยง่าย และใช้หลายๆ แพล็ตฟอร์มในการจัดการผลิตภัณฑ์เครือข่ายของซิสโก้ทั้งหมดจากที่เดียว Cisco Networking Cloud นำเสนอระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยคลาวด์ ข้อมูลเชิงลึกที่หลากหลายเกี่ยวกับเครือข่าย และนวัตกรรมผ่านอีโคซิสเต็มส์ของพันธมิตร ซึ่งจะช่วยเร่งการส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สามารถวัดผลได้
นวัตกรรมที่นำเสนอในงาน Cisco Live ประกอบด้วยอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่มีการเข้าถึงแบบ Single Sign-On (SSO), API Key Exchange/Repository, การทำ navigation ข้ามแพลตฟอร์ม, การรับรองเครือข่ายที่กว้างมาก
ขึ้นด้วย Cisco ThousandEyes, การตรวจสอบระบบคลาวด์สำหรับอุปกรณ์ Catalyst, โซลูชั่นเครือข่ายพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และอื่นๆ
นอกจากนี้ ซิสโก้ยังลดความซับซ้อนของธุรกิจเพื่อให้ลูกค้าทำงานได้ง่ายขึ้น ด้วยสแต็กสวิตช์ Cisco Catalyst ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยปรับปรุงการตรวจสอบประสิทธิภาพและการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ และยังมี blueprint ใหม่สำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการตรวจสอบสำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย
นวัตกรรม Security Cloud ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ซิสโก้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการนำเสนอ Cisco Security Cloud ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และช่วยให้ผู้คนสามารถทำงานได้ดีที่สุดจากทุกที่ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยคุกคามที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น
การเปิดตัว Cisco Secure Access ซึ่งเป็นโซลูชั่น Secure Service Edge (SSE) ใหม่ล่าสุด เพื่อช่วยประสบการณ์การทำงานแบบไฮบริดที่เหนือกว่า และทำให้การเข้าถึงสามารถทำได้จากทุกที่ ทุกอุปกรณ์ และทุกแอปพลิเคชันง่ายขึ้นอย่างมาก
จุดเด่นของ Cisco Secure Access ได้แก่:
· Common Access Experience: มอบวิธีการที่ง่ายในการเข้าถึงแอปพลิเคชันและทรัพยากรทั้งหมด (ไม่ใช่เพียงบางส่วน) โดยควบคุมการรับส่งข้อมูลอย่างชาญฉลาดและปลอดภัยไปยังปลายทางส่วนตัวและสาธารณะโดยไม่มีการแทรกแซงของผู้ใช้งานปลายทาง
· Single, Cloud-Managed Console: ลดความซับซ้อนของการดำเนินงานด้านความปลอดภัยโดยการรวมฟังก์ชันต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันในโซลูชันเดียวที่ใช้งานง่ายซึ่งป้องกันการรับส่งข้อมูลทั้งหมด โดยแทนที่จะต้องจัดการชุดเครื่องมือจำนวนมาก ผู้ดูแลระบบและนักวิเคราะห์สามารถไปที่เดียวเพื่อดูการรับส่งข้อมูลทั้งหมด กำหนดนโยบายทั้งหมด และวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน และสภาพแวดล้อมด้านไอทีที่ยืดหยุ่น
· การตรวจจับและการตอบสนองที่รวดเร็ว: จัดให้มีการวิเคราะห์เพื่อเร่งความเร็วในการสืบสวน และได้รับการสนับสนุนจาก ซิสโก้ ทาลอส (Cisco Talos) เครือข่ายข่าวกรองภัยคุกคามเชิงพาณิชย์ที่มีฐานข้อมูลใหญ่ที่สุดด้วยระบบ Threat Intelligence ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อตรวจจับและบล็อกภัยคุกคามเพิ่มเติม
ในส่วนของวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ซิสโก้ยังได้สาธิตความสามารถของ Generative AI ของ Cisco Security Cloud ซึ่งจะช่วยให้นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยสามารถตรวจจับ และแก้ไขภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจัดการนโยบายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยอย่างเหมาะสม
ซิสโก้บรรลุความก้าวหน้าในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Security Cloud ด้วยการเปิดตัว Cisco Multicloud Defense, อุปกรณ์ Cisco Secure Firewall 4200 Series และซอฟต์แวร์ 7.4 รวมถึงการปรับปรุงความปลอดภัยของแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟในพาโนปติกา (Panoptica) นวัตกรรมล่าสุดของซิสโก้ทั้งหมดจะช่วยปกป้องโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์ พร้อมทั้งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ผู้ใช้งาน
เปิดตัว Cisco Full-Stack Observability Platform เพื่อขับเคลื่อนองค์กรดิจิทัลที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น
ซิสโก้เปิดตัว Full Stack Observability (FSO) Platform โซลูชั่นที่สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีของทุกบริษัท ทำหน้าที่ควบคุมผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซิสโก้ และถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการเร่งปรับใช้กลยุทธ์ FSO ของซิสโก้ ด้วยการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกตามบริบทที่สัมพันธ์กัน และคาดการณ์ได้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเพิ่มประสบการณ์ที่ดี ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงทางธุรกิจให้น้อยที่สุด
โซลูชั่นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมนี้จะช่วยให้เกิดอีโคซิสเต็มส์สำหรับการตรวจสอบ ซึ่งนำเอาข้อมูลมาจากหลายส่วนเข้าด้วยกัน รวมถึง แอปพลิเคชัน เครือข่าย โครงสร้างพื้นฐาน การรักษาความปลอดภัย คลาวด์ ความยั่งยืน และข้อมูลธุรกิจ
FSO Platform ของซิสโก้มุ่งเน้นไปที่ OpenTelemetry และยึดอยู่กับ Metrics, Events, Logs และ Traces (MELT) ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล MELT ที่สร้างจากแหล่งที่มาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น Cisco FSO Platform ได้รับการออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่รองรับการต่อขยาย ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโซลูชั่น observability ได้ด้วยตนเอง และเพิ่มศักยภาพให้กับอีโคซิสเต็มส์ของลูกค้าและคู่ค้า
โซลูชั่นชั้นนำที่นำเสนอบน Cisco FSO Platform คือ Cloud Native Application Observability ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจ ตัดสินใจเกี่ยวกับประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้ใช้ จัดลำดับความสำคัญและลดความเสี่ยง พร้อมทั้งปกป้องเวิร์กโหลดให้ปลอดภัย นอกเหนือไปจาก Cloud Native Application Observability แล้ว โมดูลชุดแรกบน FSO Platform ของซิสโก้ประกอบไปด้วย Cost Insights, Application Resource Optimizer, Security Insights และ Cisco AIOps
ซิสโก้ร่วมมือกับพันธมิตรหลายราย รวมถึง CloudFabrix, Evolutio และ Kanari เพื่อพัฒนาและสร้างรายได้จากอีโคซิสเต็มส์ของโซลูชั่นที่หลากหลายสำหรับ Cisco FSO Platform ที่รองรับการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ และสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบ Telemetry ที่สามารถตรวจสอบได้