December 05, 2025

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ประกาศความสำเร็จของโครงการ ‘Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program’ ยกระดับทักษะด้าน AI ให้แก่บุคลากรจากหลากหลายหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาบริการภาครัฐ พลิกโฉมการให้บริการประชาชนในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program มุ่งอัพสกิล AI ให้แก่บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี AI ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจ การพัฒนาทักษะและขีดความสามารถในการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ไปจนถึงส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชัน AI เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

 

โครงการฯ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคลากรภาครัฐ โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมการอบรมทักษะ AI กว่า 2,000 คน ในหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อปูพื้นฐานความรู้และแนวคิดสำคัญในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ครอบคลุมหัวข้อสำคัญ เช่น พื้นฐาน AI และ Machine Learning การประยุกต์ใช้ AI ในภาครัฐ การใช้ AI อย่างสร้างสรรค์และมีความรับผิดชอบ รวมถึงการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI ระดับโลกของไมโครซอฟท์ จากนั้น ผู้เข้าร่วมอบรมได้นำความรู้ที่ได้มาต่อยอดผ่านการแข่งขัน Hackathon เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ AI ที่ช่วยแก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์ให้กับภาครัฐและประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีพันธมิตรของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Fusion Solution, LooLoo Technology, Frontis, STelligence, Betimes Solutions, Amity, Bluebik, Digital Dialogue และ Yip-In-Tsoi ร่วมเป็นพี่เลี้ยงและให้คำปรึกษาด้าน AI แก่แต่ละทีมอย่างใกล้ชิด

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเสริมสร้างทักษะ AI ให้กับบุคลากรภาครัฐ ภายใต้โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program สอดคล้องกับพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการยกระดับทักษะ AI ให้กับคนไทย 1 ล้านคนผ่านโครงการ THAI Academy เรารู้สึกตื่นเต้นที่มีบุคลากรภาครัฐจากทั่วประเทศจำนวนมากเข้าร่วมในโครงการนี้ และได้เห็นถึงพลังและความมุ่งมั่นของผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่าน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่นำ AI ไปประยุกต์ใช้และยกระดับการดำเนินงานเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานภาครัฐต่อไป โครงการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดความร่วมมือที่แน่นแฟ้นจากทุกฝ่าย ขอขอบคุณทาง DGA ที่ทำให้เกิดของโครงการนี้ และผู้เข้าร่วมโครงการทุกท่าน รวมถึงพันธมิตรของไมโครซอฟท์ และขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะการแข่งขัน Hackathon ทุกทีม ไมโครซอฟท์ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าสนับสนุนการนำ AI มาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับประเทศไทยของเราอย่างต่อเนื่อง”

ไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า “โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program นับเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐสู่ดิจิทัล ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไมโครซอฟท์ซึ่งมีเครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI ระดับโลก จะช่วยยกระดับการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เราขอขอบคุณไมโครซอฟท์และพันธมิตรที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการนี้จนประสบผลสำเร็จ และที่ขาดไม่ได้เลยคือผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกท่าน ขอชื่นชมทุกทีมที่เข้าร่วม Hackathon แม้จะใช้เวลาอบรมไม่นาน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบุคลากรภาครัฐในการนำ AI ไปสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับประเทศไทยทั้งในวันนี้และอนาคต สุดท้ายนี้ขอฝากความหวังของคนภาครัฐ และความหวังของประชาชนไว้ในมือของทุกท่านด้วย เพราะทุกท่านคือพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่รัฐบาลดิจิทัล”

12 ทีมจากหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon ในโครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program แสดงศักยภาพในการนำ AI มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับการทำงานของภาครัฐได้อย่างน่าประทับใจ

รางวัลชนะเลิศสูงสุด ได้แก่ ทีม AI-Din จากกรมที่ดิน ซึ่งพัฒนา AI เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริการประชาชนของกรมที่ดิน ในงานที่ต้องอาศัยความชำนาญของเจ้าหน้าที่ เช่น การตอบคำถามหรือการตรวจเอกสาร เพื่อแบ่งเบาภาระงานและให้บริการได้อย่างรวดเร็ว โดยตัวแทนของทีมเปิดเผยว่า “การเข้าอบรมทักษะ AI กับไมโครซอฟท์ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการนำ AI มาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน และเป็นแบบอย่างให้องค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ได้เห็นว่าสามารถนำ AI มาเป็นผู้ช่วยทำงานได้จริง เพื่อขยายผลไปยังโครงการอื่นๆ ขอขอบคุณไมโครซอฟท์ และ DGA ที่จัดโครงการดีๆ นี้ขึ้นมา การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลไม่ได้มีเพียงเรื่องเทคโนโลยี แต่รวมถึงวิธีคิดและการนำไปปรับใช้ เช่น การใช้ Power Platform ของไมโครซอฟท์ที่ช่วยบูรณาการการทำงานของ AI ในส่วนต่างๆ สะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงพัฒนาโปรเจกต์ได้เร็ว เราเชื่อว่าการนำ AI มาใช้ในภาครัฐจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เป็นพื้นฐานในการบริการประชาชนและการพัฒนาประเทศของเราให้ดียิ่งขึ้น”

รางวัลชนะเลิศประเภท Efficiency หรือเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน ได้แก่ ทีม The Reform Coders จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม Lert-Na เพื่อช่วยในการคัดกรองการตรวจรางวัลเลิศรัฐ ของ ก.พ.ร. ที่เปิดให้หน่วยงานภาครัฐส่งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเข้ามาประกวด ซึ่งมีจำนวนมากทุกปี ระบบนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระงานตรวจเอกสารและให้คำแนะนำแก่คณะกรรมการ ด้วยข้อมูลเชิงสถิติจาก AI ทำให้การตัดสินรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น

รางวัลชนะเลิศประเภท Experience หรือสร้างประสบการณ์ของประชาชน ได้แก่ ทีม ฉันจะใช้ AI ทุกวัน จากไปรษณีย์ไทย ที่พัฒนาแพลตฟอร์ม CPTA Digital Post เป็น AI ช่วยให้ผู้ประกอบการส่งออกง่ายขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น AI Document Intelligence ในการช่วยเตรียมเอกสาร AI Machine Learning ช่วยให้ไปรษณีย์ไทยเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้เพื่อพัฒนาบริการที่ดียิ่งขึ้น และ AI Object Detection ในการตรวจจับเอกสารที่ไม่ต้องรับรองเพื่อให้บริการได้อย่างรวดเร็ว

รางวัลชนะเลิศประเภท Empowerment หรือการเสริมสร้างประเทศให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ ทีม ATB Synergy ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘ธารรัฐ’ ในตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานภาครัฐที่มีมากกว่า 1 ล้านโครงการต่อปี ระบบนี้เปรียบเสมือนสายธารแห่งความโปร่งใส ที่ช่วยส่งเสริมความรู้และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการให้ข้อมูลต่างๆ โดยใช้ AI Agent

ผู้สนใจสามารถเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองได้ที่ AISkillsNavigator และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ THAI Academy ได้ที่เว็บไซต์ https://thai-academy.com/th/

สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” นำโดยนางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการ DGA  ร่วมเปิดตัวบริการการสมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีบนแอปฯ ทางรัฐ ในพิธีเปิด โครงการ “พลังสตรีเพื่อการพัฒนา เสริมสร้างโอกาส สร้างอนาคต” โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาววธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง

ภายในงาน DGA ได้แนะนำการสมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีผ่านแอปฯ ทางรัฐ ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันเดียวที่รวมบริการจากภาครัฐไว้กว่า 198 บริการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้หญิงยุคใหม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น โดยเปิดให้ใช้งานได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สืบเนื่องจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของสตรีและผลักดันให้สตรีเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ที่ซึ่งพลังของผู้หญิงจากทั่วประเทศได้มารวมตัวกันเพื่อแสดงให้เห็นว่า “ผู้หญิงไม่ได้อยู่เพียงเบื้องหลังของความสำเร็จ” แต่คือ “พลังของการเปลี่ยนแปลง” ที่พร้อมจะยืนอยู่แถวหน้าในการพัฒนา ทั้งเศรษฐกิจ ชุมชน และสังคมของประเทศ

ด้านนางสาววธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถสมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ผ่านแอปฯ ทางรัฐได้แล้ววันนี้ และในอนาคตอันใกล้นี้ สมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจะสามารถยื่นกู้ ตรวจสอบสถานะ รวมถึงติดตามผลการดำเนินการ ภายใต้แอปฯ ทางรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นการลดภาระให้กับสมาชิกทุกคน ที่ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง ไม่ต้องยื่นเอกสารซ้ำซ้อน เป็นนิมิตใหม่ที่ทุกคนจะได้เรียนรู้ และก้าวไปพร้อม ๆ กัน 

การพัฒนาข้างต้นไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำให้ระบบมีความทันสมัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางโครงสร้างกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีใหม่ทั้งระบบ เพื่อให้การเข้าถึงเป็นไปด้วยความโปร่งใส ปลอดภัย และตรวจสอบได้ ที่สำคัญคือสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกคน 

“โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน กองทุนฯ ของเราก็ต้องหมุนไปพร้อม ๆ กัน และนี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ที่เราทำให้เกิดขึ้นจริงในวันนี้แล้ว ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างกองทุนฯ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ดิฉันต้องขอขอบคุณ DGA ในความสำเร็จครั้งนี้” นางสาววธีรรัตน์ กล่าว

นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการ DGA  กล่าวว่า “นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ที่มุ่งเน้นการเข้าถึงบริการของภาครัฐอย่างเท่าเทียม สะดวก และโปร่งใส โดยเฉพาะกับพี่น้องสตรีในทุกพื้นที่ของประเทศไทย การสมัครเข้าร่วมกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีผ่านแอปฯ ทางรัฐ ไม่เพียงช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินเรื่องการสมัครสมาชิก แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงทั่วประเทศสามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาอาชีพ การเสริมสร้างศักยภาพ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนได้อย่างแท้จริง  จึงขอเชิญชวนผู้หญิงยุคใหม่ สมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีผ่านแอปฯ ทางรัฐ ประตูบานใหม่ที่จะเพิ่มโอกาสให้กับผู้หญิงยุคใหม่ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นและมีความทันสมัยมากขึ้น   นอกจากนี้แอปฯ ทางรัฐยังมีบริการจากภาครัฐอีกกว่า 198 บริการที่พร้อมให้บริการประชาชนชาวไทย และในขณะนี้แอปฯ ทางรัฐมีผู้ยืนยันตัวตนในการเข้าใช้งานซึ่งมีความปลอดภัยในระดับเดียวกับธนาคารมากกว่า 32 ล้านคน รวมถึงมีปริมาณการใช้งานเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 1.4 ล้านครั้ง ทาง DGA จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการให้บริการสมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีผ่านแอปฯ ทางรัฐ จะช่วยให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสามารถขับเคลื่อนโครงการและพัฒนาศักยภาพของสตรีไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 

การมีบริการสมัครสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีบนแอปฯ ทางรัฐจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะส่งเสริมให้สตรียุคใหม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในการพัฒนาศักยภาพได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ยังมีบริกาการแก้ไขข้อมูลของสมาชิกได้อีกด้วย เพียงดาวน์โหลดแอปฯ ทางรัฐ และสามารถยืนยันตัวตนเพื่อเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ที่ เคาน์เตอร์ไปรษณีย์ไทย  Big C โลตัส และเคาน์เตอร์เซอร์วิส ร้าน 7-11 

แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” เป็นแอปพลิเคชันของภาครัฐที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชนที่มีการเชื่อมข้อมูล และบริการจากส่วนราชการต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้ประชาชนในทุกช่วงวัยสามารถใช้บริการออนไลน์ของภาครัฐได้ในแอปฯ เดียวอย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมถึงเป็นช่องทางในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ดังนั้น การที่ประชาชนจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ว่าผู้ที่กำลังจะเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐ เป็นประชาชนตัวจริงหรือไม่ โดยการให้ประชาชนผู้นั้นถ่ายภาพใบหน้า และภาพบัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง เพื่อเอาไปเปรียบเทียบกับภาพใบหน้าและข้อมูลบัตรประชาชนของประชาชนผู้นั้นที่มีอยู่ในระบบของภาครัฐว่าตรงกันหรือไม่ หรือที่เรียกว่าการทำ KYC (Know Your Customer) เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าถึงข้อมูลของประชาชนผู้นั้น หรือสวมสิทธิ์ ซึ่งเป็นมาตรการการป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือแบบเดียวกับที่ธนาคารในประเทศไทยใช้ (IAL 2.3) ตามประกาศของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบัน แอปฯ ทางรัฐเป็นเพียงช่องทางในการเชื่อมโยงข้อมูลและบริการจากหน่วยงานต้นทางโดยไม่ได้เก็บข้อมูลประชาชนจากหน่วยงานต้นทางมาไว้ที่แอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด และข้อมูลส่วนบุคคลที่แสดงในแอปฯ ทางรัฐสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเจ้าของข้อมูล และผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น

นอกจากนี้ แอปฯ ทางรัฐมีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบและข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ และพัฒนาระบบที่มีการเข้ารหัสข้อมูลและใช้เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนที่ทันสมัยโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ร่วมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก โดยเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและระบบเป็นหลัก มีการตรวจสอบและทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทดสอบเจาะระบบและแก้ไขช่องโหว่ต่างๆ ทั้งก่อนให้บริการและระหว่างการให้บริการเพื่อป้องกันการแฮ็กและการเข้าถึงข้อมูลและบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ในระดับสูง (State-of-the-Art Cybersecurity Protection) ตลอดจนการบริหารจัดการและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้แนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กำหนด และเป็นไปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 รวมถึงตามมาตรฐานที่ DGA ได้รับการรับรอง เช่น ISO 27001 (Security Management) เป็นต้น นอกจากแอปฯ ทางรัฐยังให้บริการอยู่ในระบบที่มีความน่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพพร้อมทั้งมีการตั้ง war room เฝ้าระวังระบบและภัยคุกคามทางไซเบอร์ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของ DGA ร่วมกับ สกมช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามารถพิสูจน์ได้จากวันแรกที่เปิดรับลงทะเบียนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ซี่งมีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามโจมตีระบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างหนัก ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เปิดรับลงทะเบียน โดยเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกดเข้าใช้งานแอปฯ ทางรัฐเป็นจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน  แต่แอปฯ ทางรัฐก็ยังสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถรองรับการลงทะเบียนฯ ได้ถึง 18.8 ล้านคนภายใน 24 ชั่วโมงโดยระบบไม่ล่มและไม่มีปัญหาเรื่องข้อมูลรั่วไหล

สำหรับประเด็นข้อสงสัยที่ว่า แอปทางรัฐเป็นระบบเปิดที่เชื่อมต่อไปถึงบัญชีธนาคารของทุกคนหรือไม่นั้น ในปัจจุบัน แอปทางรัฐ ยังไม่มีการเชื่อมกับบัญชีธนาคารและไม่มีการเก็บข้อมูลบัญชีธนาคารของประชาชนแต่อย่างใด ทั้งนี้แอปฯ ทางรัฐ อนุญาตให้หน่วยงานของรัฐเชื่อมโยงข้อมูลและบริการของตนเข้าสู่แอปพลิเคชันทางรัฐเท่านั้น ภายใต้วิธีการเชื่อมต่อที่มีการควบคุมกำกับดูแล และมีความมั่นคงปลอดภัยสูง โดยไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไป หรือภาคเอกชน หรือธนาคารเชื่อมโยงข้อมูลบัญชีและระบบบริการกับแอปฯ ทางรัฐแต่อย่างใด  ซึ่งแอปฯ ของธนาคาร และผู้ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้าร่วมโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ต้องเชื่อมโยงและรับส่งข้อมูลกับแพลตฟอร์มการชําระเงินกลาง (Payment Platform) ของภาครัฐเพื่อรองรับการชำระเงินซึ่งเป็นคนละระบบกับแอปฯ ทางรัฐ

เพิ่มช่องทางเชื่อมต่อข้อมูลประกันภัยแบบไร้รอยต่อเพียงปลายนิ้วสัมผัส

สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) โดย พลอากาศตรี   อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) โดย นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และยกระดับทักษะด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งในรูปแบบการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ และการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ e-learning รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ ตลอดจนการดำเนินการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ร่วมกัน เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ณ ห้อง Confidential สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถ.แจ้งวัฒนะ

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า “หนึ่งในภารกิจหลักของ สกมช.คือการมุ่งมั่นลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์เพื่อยกระดับประเทศให้มีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเด็นเรื่องข้อมูลรั่วไหลและการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีจำนวนครั้งที่เกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านองค์ความรู้และทักษะ ทางดิจิทัลเริ่มส่งผลกระทบกับองค์กรต่าง ๆ อย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ดังนั้น สกมช. จึงเพิ่มความเข้มข้นของการทำงานโดยบูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนในการทำงานเพื่อวางรากฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของประเทศให้แก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถป้องกันและสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้และทักษะด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้เข้าถึงประชาชนทุกระดับทุกช่วงวัย ผ่านเครือข่ายของ สกมช. ในรูปแบบของการทำงานเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการจัดโครงการหรือการจัดอบรมต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับภูมิภาคไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านไซเบอร์ โดยท่านสามารถติดตามรายละเอียดโครงการดีๆ จาก สกมช. ได้ที่ Facebook NCSA Thailand

สุดท้ายนี้ สกมช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับ สพร. โดยหวังว่าความร่วมมือกันของทั้ง 2 หน่วยงาน จะนำพาไปสู่การเดินหน้ายกระดับทักษะและองค์ความรู้แก่ภาครัฐในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และก้าวสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัลอย่างมั่นคงปลอดภัย”

นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลกล่าวว่า การรู้เท่าทันด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในเชิงลึกของบุคลากรภาครัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่ต้องตอบสนองความต้องการของประชาชนที่คาดหวังว่าจะสามารถใช้บริการภาครัฐได้ตลอดเวลาแม้ไม่ใช่เวลาราชการ ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานราชการก็มีการปรับตัวสามารถให้ประชาชนหลากหลายช่องทางมากขึ้นทั้งแบบออนไลน์และให้บริการผ่านศูนย์บริการร่วมภาครัฐในวันเสาร์และอาทิตย์ การให้บริการภายในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ดังนั้นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงการสร้างความตระหนักถึงสถานการณ์เกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่สถาบัน TDGA ได้ร่วมจัดฝึกอบรมหลักสูตรสำคัญด้านความมั่นคงปลอดภัย อาทิ หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงภาครัฐในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัย หรือ Chief Information Security Officer: CISO หลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการที่เกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ หรือ Cyber war game  และหลักสูตรทางด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ หลักสูตร CISO สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการผลักดันขับเคลื่อนให้ทุกหน่วยงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาทักษะของบุคลากรภาครัฐด้านความมั่นคงปลอดภัยไซบอร์ ผ่านการสำรวจระดับความพร้อมรัฐบาลดิจิทัลหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย

นอกจากนี้ สถาบัน TDGA มีความยินดีที่จะแลกเปลี่ยนสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ในหลักสูตรที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และหลักสูตรด้านดิจิทัลอื่น ๆ ร่วมกับ สกมช. เพื่อการยกระดับทักษะด้านการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล Digital Literacy ไปสู่ Cyber Security Literacy ซึ่งจะช่วยสร้างความรู้ความเข้าใจและตระหลักถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ผู้ที่สนใจสามารถเรียนรู้หลักสูตรดังกล่าวผ่านระบบ Digital Government Learning Platform ซึ่งเป็นระบบการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านสื่อ e-Learning ที่ผู้เรียนสามารถเข้าเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา ปัจจุบันแพลตฟอร์มนี้เปิดให้บริการหลักสูตรด้านดิจิทัลแบบออนไลน์ ให้แก่บุคลากรภาครัฐ ตลอดจนประชาชนที่ ต้องการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย โดยหน่วยงานที่เป็นเครือข่ายความร่วมมือ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากศูนย์กลางการเรียนรู้นี้เพื่อการยกระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัลให้แก่กลุ่มเป้าหมายของหน่วยงานได้ด้วย ปัจจุบันมีผู้เข้าอบรมหลักสูตร e-Learning และได้รับใบประกาศนียบัตรดิจิทัลจากสถาบัน TDGA รวมแล้วมากกว่า 1.9 ล้านครั้ง สำหรับผู้ที่ต้องการ Upskill และ Reskill สามารถเข้าเรียนหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลตามความสนใจได้ที่เว็บไซต์ tdga.dga.or.th

 

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click