ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อนวัตกรรมดิจิทัลล้ำยุคอย่าง AI ถูกนำมาใช้โดยหน่วยงานภาครัฐและอุตสาหกรรมต่างๆ กันมากขึ้น การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้มาใช้งานในหลากหลายรูปแบบ นำไปสู่ประสิทธิภาพที่เยี่ยมยอดยิ่งขึ้นสำหรับภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันยังก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางดิจิทัล และกลายเป็นกุญแจหลักในการขับเคลื่อนและบ่งชี้การเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต คำถามที่ตามมาคือ นวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกบ้าง และประเทศไทยพร้อมจะใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีเหล่านี้หรือยัง

ภายในงานสัมมนาหัวข้อ “การขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม” (Innovation Driving Thai for the New Future) เมื่อเร็วๆ นี้ นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนวัตกรรมที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยว่า “จากผลวิจัยโดยองค์กรอิสระด้านการวิจัย เมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่าภาคอุตสาหกรรม เช่น สุขภาพ การศึกษา การบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และการธนาคาร จะได้รับประโยชน์มหาศาลจากนวัตกรรมอย่าง AI ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มอีกกว่า 2.6 ถึง 4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐให้กับจีดีพีโลก ดังนั้น การเตรียมตัวให้พร้อมต่อนวัตกรรมเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศยิ่งขึ้น หลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ได้บูรณาการ AI เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของประเทศให้ใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพทางการผลิตที่เพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับการส่งเสริมการเติบโตในด้านใหม่ๆ ให้กับประเทศ และประเทศไทยก็สามารถเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและผู้ผลิตเทคโนโลยีระดับสูงในภูมิภาคนี้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากประเทศที่ต้องการบรรลุเป้าหมายไปสู่ยุคอัจฉริยะแห่งอนาคต สิ่งแรกที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญคือ กระบวนการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีและบุคลากร ทั้งนี้ แม้ว่าสังคมไทยจะเปิดรับการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้ แต่ประเทศไทยกลับมีบริษัทและสำนักงานเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัลเรียบร้อยแล้ว”    

จากรายงานสมุดปกขาวเกี่ยวกับบุคลากรทางด้านดิจิทัลของประเทศไทย ประจำปี 2565 (Thailand National Digital Talent White Paper 2022) พบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนชาวไทยในโลกดิจิทัลมีอัตราสูงถึง 68 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่างๆ รวมไปถึงความนิยมในการใช้งานโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม มีประชากรเพียง 16 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำงานหรือในสถานที่ทำงาน และมีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถสร้างเครื่องมือดิจิทัลได้เองหรือสามารถพัฒนา use case ใหม่ๆ ได้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังคงห่างจากเกณฑ์มาตรฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่มาก ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย รวมถึงบุคลากรของประเทศยังต้องการการพัฒนาศักยภาพอีกมาก ในส่วนของเทคโนโลยี AI จากข้อมูลสถิติระดับโลกพบว่า ผู้ใช้งาน AI สามารถสร้างรายได้โดยเฉลี่ยปีละ 5,000 ถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ผู้สร้าง AI สร้างรายได้ที่สูงกว่ามาก โดยเฉลี่ยปีละ 30,000 ถึง 40,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ เทคโนโลยีนวัตกรรมอื่นๆ เช่น 5G และคลาวด์ มีจำนวน use case ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการในหลากหลายอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ยังช่วยลดต้นทุนด้านการดำเนินงานได้มหาศาล พร้อมๆ กับช่วยให้หลายๆ ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าทุกประเทศจำเป็นต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีที่คล่องตัวและสอดประสานกัน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านแบบอัจฉริยะที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่มากขึ้นระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการลงทุนในระบบนิเวศด้านดิจิทัล และการบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลให้กับประเทศ

นายเดวิด หลี่ อธิบายเพิ่มเติมว่า “หัวเว่ยได้กำหนดปัจจัยหลัก 4 ประการเพื่อสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะแห่งอนาคต ประกอบด้วย ข้อมูล ระบบโครงสร้างพื้นฐาน อีโคซิสเต็ม และบุคลากร เรามุ่งพัฒนาทั้งสี่ปัจจัยนี้ด้วยการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการรวบรวมข้อมูลและระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลแบบบูรณาการ ผ่านการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมข้อมูลและเทคโนโลยี 5G ในประเทศไทย นอกจากนี้ หัวเว่ยยังมุ่งสนับสนุนอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลของประเทศไทย ด้วยการผนึกกำลังกับสตาร์ทอัพด้านดิจิทัลกว่า 100 บริษัท และพันธมิตรด้านเทคโนโลยีคลาวด์ในประเทศอีกกว่า 300 แห่ง รวมถึงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลในอนาคตให้กับประเทศไทย ทั้งนี้ เรามองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อประเทศต้องการที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาในอนาคตผ่านนวัตกรรม ทั้งนี้ จากโครงการความร่วมมือต่างๆ ที่เราดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการฝึกอบรมบุคลากรทางด้านดิจิทัลไปแล้วกว่า 70,000 คน และวางแผนที่จะบ่มเพาะนักพัฒนาซอฟท์แวร์ในด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคลาวด์ เพิ่มอีก 20,000 คน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านบุคลากรดิจิทัลของภูมิภาคในอนาคต”            

ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีไอซีทีที่มีประสบการณ์กว่า 24 ปีในไทย หัวเว่ยมีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดให้กับไทย พร้อมกับการบ่มเพาะบุคลากรทางด้านดิจิทัลและการลงทุนในศูนย์ข้อมูลภายในประเทศ และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จากการผนึกกำลังร่วมกับมหาวิทยาลัยและหน่วยงานภายในท้องถิ่น หัวเว่ยประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโมเดลภาษาขนาดใหญ่ “Pangu AI Model” ที่สามารถนำมาบูรณาการเข้ากับโมเดลพยากรณ์อากาศ โดยความร่วมมือกับกรมอุตุนิยมวิทยา โมเดล ‘Pangu Meteorology’ หรือ โซลูชัน ผานกู่ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความแม่นยำมากกว่าเทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศแบบดั้งเดิมถึง 20% ช่วยให้เตรียมความพร้อมรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงได้ดียิ่งขึ้น และลดความสูญเสียลงได้มาก      

นายเดวิด หลี่ กล่าวสรุปว่า “หัวเว่ย จะยังคงทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย สอดรับกับความตั้งใจของรัฐบาลไทย นอกเหนือจากโครงการที่ดำเนินการโดยภาคเอกชนแล้ว เราเชื่อว่าการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านนโยบายและการลงทุน จะนำไปสู่การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีอันแข็งแกร่ง ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความอัจฉริยะและเอื้อประโยชน์ในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ตลอด 24 ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เติบโตไปพร้อมๆ กับอุตสาหกรรมและสังคมดิจิทัลของประเทศไทย และมีความตั้งใจเสมอมาที่จะสนับสนุนประเทศชาติในการบรรลุศักยภาพทางด้านดิจิทัล สอดคล้องกับพันธกิจของเราในการเดินหน้าสร้างคุณค่าและขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมดิจิทัลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์”                      

พร้อมเปิดตัวสมาร์ทชาร์จเจอร์ตอบโจทย์ผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

เฟ้นหาสุดยอดนักรบไซเบอร์รุ่นใหม่จาก 2,323 คน จัดเต็มที่สุดในไทยและอาเซียน

ราคาเพียง 17,990 บาท พร้อมขยายโปรแจกของแถมถึง 31 ตุลาคม 2566

หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ประกาศเตรียมเปิดตัว HUAWEI WATCH GT 4 Series ในประเทศไทยในวันที่ 5 ตุลาคม 2566 หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการเปิดตัวล่าสุดในยุโรปและประเทศจีน สำหรับสมาร์ทวอทช์เรือธงอย่าง WATCH GT Series เจเนอเรชันใหม่นี้ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ "Fashion Forward " แสดงถึงวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นของหัวเว่ยในการรวมเทคโนโลยีและแฟชั่นเข้าด้วยกัน นับเป็นการประกาศสู่ยุคใหม่ของแฟชั่นสมาร์ทวอทช์ตอบโจทย์ทั้งการดูแลสุขภาพ การเล่นกีฬา ที่ยังคงมีดีไซน์แมทช์เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้สวมใส่ได้อย่างลงตัว

ดีไซน์เด่น มีสไตล์สะกดทุกสายตา

หัวใจสำคัญของปรัชญาการออกแบบของหัวเว่ยคือความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการ “ออกแบบที่มีจุดมุ่งหมาย” ซึ่งมีรากฐานและแนวทางที่คำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง HUAWEI WATCH GT 4 เป็นตัวแทนของผู้นำด้านแฟชั่นที่โดดเด่น ยกระดับการดีไซน์จาก GT Series แบบคลาสสิก เน้นองค์ประกอบการออกแบบที่สร้างสรรค์ในขณะที่ยังคงรักษาความสวยงามทางเรขาคณิตสมัยใหม่จากดีไซน์ของรุ่นก่อน

อุปกรณ์สวมใส่แต่ละชิ้นกลายเป็นไอเทมที่โดดเด่นเติมเต็มสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้  หัวเว่ยพัฒนาประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทวอทช์อย่างต่อเนื่องผ่านการใช้วัสดุคุณภาพสูงที่ทนทาน และการเพิ่มตัวเลือกให้เหมาะกับสไตล์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น

ตอบสนองทุกความต้องการด้านแฟชั่น

HUAWEI WATCH GT 4 Series มาพร้อมขนาด 46 มม. และ 41 มม. สะท้อนถึงงานฝีมือที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด ดีไซน์รูปลักษณ์ใหม่รวบรวมความสง่างามและศิลปะทางเรขาคณิต โดยคำนึงถึงความสะดวกสบายสูงสุดของผู้สวมใส่ อีกทั้งผลิตด้วยวัสดุระดับพรีเมียมและรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นโลหะอย่างมีสไตล์ การออกแบบนี้เน้นย้ำถึงประสบการณ์ของผู้ใช้ โดยผสานสมาร์ทวอทช์เข้ากับชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น สะท้อนหลักการของความสมดุล ความกลมกลืน และการออกแบบที่สร้างสรรค์

ประสบการณ์ผู้ใช้ได้รับการยกระดับด้วยหน้าจอแบบ Always-On Display (AOD) ที่ได้รับการพัฒนาช่วยเพิ่มความสวยงามของการมองเห็น พร้อมด้วยหน้าปัดนาฬิกาที่มีสไตล์และปรับแต่งได้หลากหลายสำหรับการปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ ด้วยตัวเลือกจากดีไซน์ใหม่ 12 แบบ และตัวเลือกจากนักพัฒนาบุคคลที่สามกว่า 25,000 แบบ บน HUAWEI Watch Face Store เปิดประตูสู่ความสร้างสรรค์ที่เป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะจับคู่กับชุดสูทธุรกิจที่หรือชุดลำลองสำหรับการไปเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์ สมาร์ทวอทช์เรือนนี้สามารถปรับได้อย่างง่ายดาย ช่วยเพิ่มรูปลักษณ์โดยรวมของผู้สวมใส่ให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

HUAWEI WATCH GT 4 ขนาด 46 มม. เท่ไม่เหมือนใครกับตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยม

ด้วยแรงบันดาลใจจากความแม่นยำของการเจียระไนเพชรที่แวววาวและไดนามิกของการออกตามหลักแอโรไดนามิกที่พบในรถยนต์สมรรถนะสูง ทำให้ HUAWEI WATCH GT 4 ในดีไซน์ขนาด 46 มม. ก้าวข้ามขีดจำกัดของสมาร์ทวอทช์แบบเดิมๆ

HUAWEI WATCH GT 4 ขนาด 46 มม. นำเสนอการออกแบบรูปทรงเรขาคณิตโดยใช้ตัวเรือนนาฬิกาทรงแปดเหลี่ยมซึ่งเป็นรูปทรงที่นำความชัดเจนทางเรขาคณิตและความสมมาตรมาสู่นาฬิกา ขณะเดียวกันก็สร้างรูปลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา การออกแบบหน้าปัด “แปดเหลี่ยม” อันเป็นเอกลักษณ์นี้เพิ่มสัมผัสถึงความแข็งแกร่งนอกเหนือจากดีไซน์ทรงกลมคลาสสิก ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่แข็งแกร่งและทนทาน ทำให้นาฬิกาเป็นที่จดจำได้ทันทีและเป็นสัญลักษณ์ซึ่งบ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ของผู้สวมใส่

HUAWEI WATCH GT 4 ขนาด 41 มม. รูปทรงจี้เครื่องประดับอันหรูหรา

ในขณะเดียวกัน HUAWEI WATCH GT 4 ขนาด 41 มม. เป็นตัวอย่างการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างแฟชั่นและความสง่างาม ด้วยรูปทรงจี้ที่ออกแบบเพื่อยกระดับให้กลายเป็นเครื่องประดับที่โดดเด่น ความงดงามที่โฉบเฉี่ยวและประณีตเป็นผลจากงานฝีมือที่พิถีพิถันซึ่งปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์เฉพาะตัวของผู้สวมใส่ได้อย่างลงตัว

การออกแบบลักษณะคล้าย “จี้” อันหรูหราตรงขานาฬิกาเสริมด้วยพื้นผิวส่วนโค้งรับเข้ากับดีไซน์ปุ่มควบคุม สายนาฬิกา และตัวเรือนนาฬิกาได้อย่างงดงาม การออกแบบนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการผสมผสานรูปแบบและฟังก์ชันที่ไร้รอยต่อสะท้อนถึงสไตล์ที่เหนือกาลเวลา

นอกจากนี้การออกแบบจี้บนกรอบด้านนอกยังช่วยเพิ่มสัมผัสพิเศษของความซับซ้อนและความแวววาว ไม่เพียงแต่เสริมรูปลักษณ์ที่ทันสมัยของนาฬิกาแต่ยังให้รูปลักษณ์ระดับไฮเอนด์ที่ทันสมัยอีกด้วย

สีสันอันเป็นเอกลักษณ์ที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดสายตา

HUAWEI WATCH GT 4 series ขนาด 46 มม. และ 41 มม. มาพร้อมตัวเลือกสีที่แตกต่างกัน รวมทั้งตัวเรือนสเตนเลสสตีลอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างปราณีตด้วยความใส่ใจในรายละเอียด เพื่อมอบนาฬิกาเฉพาะบุคคลที่เหมาะกับรสนิยมและความชอบที่หลากหลาย

HUAWEI WATCH GT 4 ขนาด 46 มม. มีให้เลือก 4 สี  ได้แก่ สีเทาพร้อมสายสแตนเลสในตัว สีเขียวพร้อมสายแบบทอสีเขียว สีน้ำตาลพร้อมสายหนังสีน้ำตาล และสีดำพร้อมสายฟลูออโรอีลาสโตเมอร์สีดำ ในขณะที่ HUAWEI WATCH GT 4 ขนาด 41 มม. มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงินพร้อมสายข้อมือเปียโนคีย์ทูโทน สีขาวพร้อมสายหนังสีขาว และสีดำพร้อมสายรัดฟลูออโรอีลาสโตเมอร์สีดำ โดย HUAWEI WATCH GT 4 แต่ละรุ่นนำเสนอการผสมผสานที่หรูหราระหว่างสไตล์ ความสะดวกสบาย และนวัตกรรม

HUAWEI WATCH GT 4 series มีให้เลือกมากมายเพื่อให้เหมาะกับทุกโอกาสและกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ตั้งแคมป์ดูดาว เดินป่าบนยอดเขา ไปจนถึงดินเนอร์สุดหรูก็ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์องคุณได้อย่างลงตัว

การบูรณาการรูปแบบและฟังก์ชันอย่างกลมกลืน

เสน่ห์ของ HUAWEI WATCH GT 4 series มีมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งรวบรวมจิตวิญญาณของนาฬิกาคลาสสิกไปพร้อมๆ กับการมอบฟังก์ชันการทำงานที่ล้ำสมัย อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 14 วัน[1]ในรุ่น 46 มม. และ 7 วัน[2]ในรุ่น 41 มม.  HUAWEI WATCH GT 4 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทนทานและความยืดหยุ่น ไม่ถูกจำกัดด้วยข้อจำกัดของอายุการใช้งานแบตเตอรี่อีกต่อไป แต่ยังช่วยให้ผู้สวมใส่ได้ใช้งานต่อเนื่องเดินทางออกไปทำกิจกรรมที่จะปลดปล่อยความเป็นคุณได้อย่างเต็มที่

อีกทั้งพัฒนาด้านคำแนะนำทางกีฬาและคุณสมบัติด้านสุขภาพแบบมืออาชีพ โดยอัปเกรดเทคโนโลยีการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกาย TruSeen™ 5.5+ ให้มีการอ่านค่าที่แม่นยำยิ่งขึ้นและการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับการวัดทางสรีรวิทยาของผู้สวมใส่

เพื่อให้สอดคล้องกับการให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น HUAWEI WATCH GT 4 series จึงมีมากกว่า 9 หมวดหมู่และแผนการฝึกอบรมทางวิทยาศาสตร์ส่วนบุคคลมากกว่า 200 รายการ ดาวน์โหลดใช้งานได้สะดวกและฟรีผ่านแอป HUAWEI Health App ซึ่งออกแบบมาเพื่อยกระดับการออกกำลังกายของผู้ใช้งาน

ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยาน โยคะกลางแจ้ง HUAWEI WATCH GT 4 Series มาพร้อมกับฟีเจอร์อัจฉริยะมากมาย เป็นเพื่อนร่วมทางปลุกแรงบันดาลใจให้คุณก้าวข้ามขีดจำกัดและปลดล็อคความนักกีฬาภายในตัวคุณ  อีกทั้งมีโหมดกีฬาที่หลากหลายมากกว่า 100 โหมดและครอบคลุมประเภทการออกกำลังกายมากขึ้น รวมถึงโหมดแบบกำหนดเองที่เพิ่มเข้ามาใหม่ 4 โหมดสำหรับฟุตบอล บาสเก็ตบอล พาเดลเทนนิส และอีสปอร์ต พร้อมด้วยโหมดกีฬามืออาชีพอีก 19 โหมดซึ่งรวมถึงการเดินในร่มและกลางแจ้ง วิ่ง โยคะ ปั่นจักรยาน และว่ายน้ำ

เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย HUAWEI WATCH GT 4 Series มาพร้อมกับความสามารถในการพัฒนาการติดตามสุขภาพ เช่น การแจ้งเตือนการออกกำลังกายรายวัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บรรลุเป้าหมายในการออกกำลังกายและปลูกฝังนิสัยการใช้ชีวิตที่แอคทีฟ คุณสมบัติ วงแหวนกิจกรรม (Activity Rings) ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อยกระดับการติดตามกิจวัตรประจำวันไปอีกระดับ

การพัฒนาระบบนำทางด้วยดาวเทียม GNSS อัจฉริยะใหม่ล่าสุดใน HUAWEI WATCH GT 4 Series เพื่อวางตำแหน่งที่มีความแม่นยำสูงแบบ Dual-Band รองรับดาวเทียม 5 ระบบ ที่จะติดตามทุกการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานเพื่อเป้าหมายในการมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงยิ่งขึ้น

รองรับฟีเจอร์ใช้งานใหม่ล่าสุด การส่งข้อความและการตอบกลับอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามที่เปิดใช้งานเพื่อเข้าถึงเพลง การนำทาง และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้สะดวกและชาญฉลาด ยิ่งไปกว่านั้น HUAWEI WATCH GT 4 สามารถจับคู่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ iOS และ Android ได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้แน่ใจว่าความเป็นส่วนตัวและข้อมูลของคุณได้รับการปกป้องตลอดเวลา ทำให้ผู้ใช้อุ่นใจในการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรม

ดึงไอคอนระดับโลกปฏิวัติวงการสมาร์ทวอทช์หัวเว่ย

ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างกีฬาและแฟชั่น Pamela Reif ผู้มีอิทธิพลด้านฟิตเนสและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก รวมถึง Sir Mo Farah ตำนานการวิ่งและผู้ชนะเลิศเหรียญทองหลายรายได้รับการเสนอชื่อให้เป็น HUAWEI Wearable Product Ambassadors

HUAWEI WATCH GT 4 Series เป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดที่ยึดหลักการออกแบบเชิงเรขาคณิตระดับพรีเมียม “Classics Evolved” แสดงออกถึงการผสมผสานเสน่ห์แห่งประเพณีเข้ากับความทันสมัยที่ไร้ขีดจำกัดของรูปแบบและฟังก์ชันเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

เตรียมพบกับการเปิดตัวในประเทศไทยพร้อมโปรโมช้นอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ได้ที่นี่  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อสินค้า คอมมิวนิตี้ และบริการ ง่ายๆ ในคลิกเดียว เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน My HUAWEI ใน AppGallery และติดตาม  HUAWEI Mobile TH 


[1] อิงตามผลลัพธ์จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการของ Huawei การใช้งานจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความคลาดเคลื่อนระหว่างรุ่น พฤติกรรมการใช้งาน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

[2] อิงตามผลลัพธ์จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการของ Huawei การใช้งานจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความคลาดเคลื่อนระหว่างรุ่น พฤติกรรมการใช้งาน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

X

Right Click

No right click