

Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ประกาศความสำเร็จในการจัดงานแข่งขันแฮกกาธอนและการประชุมด้านนวัตกรรมสุขภาพต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีผู้สมัครทะลุ 1,000 คน จาก 33 สัญชาติ สามารถคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันได้มากกว่า 200 คนร่วมคิดค้นไอเดียนวัตกรรมเปลี่ยนโลกการแพทย์ ท่ามกลางการแนะแนวจากเมนเทอร์ผู้เชี่ยวชาญคับคั่ง พร้อมต่อยอดระบบนิเวศให้ไอเดียได้ไปต่อในโลกสตาร์ทอัพกับกิจกรรม Beyond Hack และการประชุมเสวนาทางวิชาการที่รวบรวมวิทยากรจากองค์กรเอกชน องค์กรภาครัฐ และสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศอีกมากกว่า 30 ท่าน
![]()
ศ. นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า การจัดงาน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ซึ่งโรงพยาบาลศิริราช และ MIT Hacking Medicine ได้ร่วมกันจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2568 ประสบผลสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน เมนเทอร์ผู้ให้คำปรึกษา วิทยากร และผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายเพิ่มขึ้นจากปีก่อนในทุกกิจกรรม
![]()
สำหรับกิจกรรมการแข่งขันแฮกกาธอนนั้นสามารถดึงดูดผู้สมัครได้มากกว่า 1,000 คน จาก 33 สัญชาติ โดยมีผู้สมัครจากนานาประเทศ เช่น เมียนมา อินโดนีเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อินเดีย จีน เป็นต้น และคณะกรรมการได้คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันที่มีคุณภาพได้มากกว่า 200 คนที่มีความหลากหลายในทุกๆ ด้านทั้งประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน โดยพบว่ามีถึง 66% ของผู้เข้าแข่งขันที่เป็นวัยทำงานที่มีประสบการณ์จากหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น บุคลากรด้านการแพทย์, วิศวกร, นักวิทยาศาสตร์, นักพัฒนาซอฟต์แวร์, บุคลากรในแวดวงธุรกิจ/การเงิน, ผู้กำกับนโยบายภาครัฐ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าประสงค์ของการแข่งขัน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ที่ต้องการเปลี่ยนทัศนคติต่อการแข่งขันแฮกกาธอนให้เป็นสนามแข่งขันสำหรับผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่สนใจการสร้างไอเดียให้ไปสู่การปั้นธุรกิจสตาร์ทอัพได้จริง
สำหรับผลการแข่งขันแฮกกาธอน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ได้ผู้ชนะ 3 ทีมจาก 2 หัวข้อการแข่งขัน ดังนี้
หัวข้อ: โรคเรื้อรัง (Chronic Diseases)
· รางวัลชนะเลิศ ทีม “Unreliable LLM” (สมาชิกทีม: นพ.อรุษ ลีลาทวีวุฒิ, Dr. Jing Liu, ณัฐชยา หงษ์ศรีทอง, ดร.ปุญภัช ศักดิ์สุภาพชน, ณจรีย์ จันทร์เจิดศักดิ์, ชาร์ลี ไพโรจน์มหากิจ) ผลงาน: แพลตฟอร์มเพื่อฟื้นฟูสุขภาพนอกโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม “Ruj.ai” (สมาชิกทีม: บุญญาภิวัฒน์ สมบูรณ์ทรัพย์, Marcus Lee, Kong Kei-lyn, Kieran Tran, ประภาพร สมวงษ์, Dayang Nurul Asyiqin Mustafa) ผลงาน: ผ้าปิดตาอัจฉริยะที่ผสานการตรวจต้อหินเข้ากับกิจวัตรการนอนหลับของผู้ป่วยโรคเบาหวาน
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม “Now U Can See Cancer” (สมาชิกทีม: ภก.นันทพันธ์ จงปติยัตต์, ณัฐดนย์ อริยธนาพงศ์, ญาดา สิริเพาประดิษฐ์, นนทกร บรรลือศรีเรือง, พญ.วิลาสินี คุปต์นิรัติศัยกุล) ผลงาน: การตรวจหาโปรไฟล์ของเนื้องอกในรูปแบบใหม่ที่ตรวจได้หลายชนิดในครั้งเดียว
หัวข้อ: สุขภาพจิต (Mental Health)
· รางวัลชนะเลิศ ทีม “KoQo” (สมาชิกทีม: วรรณฑิฏา เผือกพูลผล, สุนัย วชิรวราการ, เมธาวี รอดเสม, วัลคุ์รภา เสถบุตร, ธนิศา สัจจเดว์, ภัณฑิลา ทรัพย์สอน) ผลงาน: แอปพลิเคชันที่ใช้ AI ช่วยสนับสนุนผู้ดูแลและครอบครัวให้รับมือกับผู้มีภาวะออทิซึมได้
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม “QuitBuddy” (สมาชิกทีม: สิรภพ เสกสรรค์วิริยะ, Sahar Ghaffar, Mahsa Adelifar, นิธิศ สุนทรหงส์, ชาญ ชัยยศลาภ) ผลงาน: ประสบการณ์ใหม่ในการเลิกบุหรี่ไปพร้อมกับคนที่คุณรัก
· รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีม “Mind Odyssey” (สมาชิกทีม: ทพญ.ประทานพร ยันตรศรี, ญาณวี ธารธารานุกุล, น.สพ.มิ่งรัฐ เมฆวิชัย, ทพญ.พรทิพย์ วิบูลย์ศิริวงศ์, ศุภฤกษ์ แซ่เติ้น) ผลงาน: สร้างการตระหนักรู้และลดระยะเวลาการวินิจฉัยโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)
ภายในงานยังมีการประกาศรางวัลจากผู้สนับสนุนกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นรางวัล InterSystems Prize และรางวัล PNF Special Prize รวมถึงยังมีรางวัลสำหรับผู้ชนะประเภทบุคคลที่มีความโดดเด่นในการแข่งขัน 3 ท่านที่ได้รับสิทธิ Golden Ticket เข้าร่วมการแข่งขันแฮกกาธอน MIT Grand Hack 2026 ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ได้แก่ Kieran Tran, Eugene Wang และ ศุภณัฐ เวทสรณสุธี
ความพิเศษของงาน Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ในปีนี้ยังไม่สิ้นสุดเพียงแฮกกาธอน แต่ยังมีการจัดงาน “Beyond Hack Day” ซึ่งได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เพื่อจัด “มาสเตอร์คลาส” แลกเปลี่ยนความรู้ทั้งในด้านการแพทย์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และธุรกิจสตาร์ทอัพ พร้อมจัดช่วงเวลาให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้รับคำแนะนำสำหรับเติบโตในสายอาชีพหรือพัฒนาสตาร์ทอัพของตนเองได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยกิจกรรม Beyond Hack ปีนี้มีผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมให้ความรู้และคำปรึกษามากกว่า 30 ท่านจากองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ บรรษัทขนาดใหญ่ สตาร์ทอัพ นักลงทุน ตลอดจนสถาบันการศึกษา เช่น คุณธนศักดิ์ ฮุ่นตระกูล Program Director (Thailand) จาก MIT Hacking Medicine, Dr. Rebecca Mitchell, Managing Partner จาก Scrub Capital คุณนาเดีย สุทธิกุลพานิช Head of Fuchsia Innovation Center เมืองไทยประกันชีวิต, Evgeny Shvarov, CVC Fund Manager จาก InterSystems, รศ. ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT), คุณชาร์ลี ไพโรจมหากิจ, CTO บริษัท CloudNurse เป็นต้น
นอกจากงาน Beyond Hack Day ซึ่งจัดขึ้นทันทีหลังจากงานแฮกกาธอนแล้ว ศ. นพ. ดร.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า โรงพยาบาลศิริราช และ MIT Hacking Medicine ยังเตรียมการจัดกิจกรรมต่อเนื่องทั้งปี 2569 เช่น กิจกรรม Beyond Hack Fireside Chat, Officer Hour, และ Spark AI ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพด้านเฮลธ์แคร์ได้รับการสนับสนุนต่อเนื่องผ่านการอบรม แลกเปลี่ยนความรู้ และการให้คำแนะนำ ด้วยความมุ่งมั่นของทั้งสองสถาบันที่จะร่วมทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อบ่มเพาะสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม และยินดีร่วมทำงานกับองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมวงการเฮลธ์แคร์อย่างแท้จริง
โครงการ Siriraj x MIT Hacking Medicine 2025 ยังปิดท้ายความยิ่งใหญ่ด้วยการจัดงาน “การประชุมวิชาการ” ครั้งสำคัญภายใต้หัวข้อ AI Today, Transforming Tomorrow’s Healthcare ซึ่งเป็นการประชุมวิชาการเพื่อค้นหาความเป็นไปได้และนำเสนอหรือแปลกเปลี่ยนผลลัพธ์ของการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในนวัตกรรมด้านสุขภาพ การประชุมครั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ วิศวกร ผู้ประกอบการ และผู้นำความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ระดับสากลเข้าร่วมบรรยายปาฐกถาและเสวนา เช่น Prof. Eric Grimson, Chancellor for Academic Advancement จาก MIT, Prof. Michael McConnell จาก Stanford University, Prof. Jorge Cardoso จาก King’s College London, คุณผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย, ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เป็นต้น โดยมีผู้บริหารระดับสูงกว่า 250 ท่านในแวดวงการแพทย์ วิศวกรรม และธุรกิจเข้าร่วมรับฟังการบรรยายอย่างคับคั่ง และได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายวงการนวัตกรรมสุขภาพที่แข็งแรงซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ที่ปฏิรูปวงการการแพทย์ได้ในอนาคต
โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVDs) กำลังกลายเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะกับผู้ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี แม้โรคนี้จะเคยพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุจากความเสื่อมตามวัย แต่ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตสมัยใหม่เป็นตัวเร่งให้เกิดโรคเร็วขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล เช่น อาหารไขมันสูง การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ นำไปสู่โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ ความผิดปกติแต่กำเนิดและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อก็มีส่วนในการก่อโรคด้วยเช่นกัน สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) รายงานว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมถึงโรคลิ้นหัวใจ ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี (1)
โรคลิ้นหัวใจคือความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อลิ้นหัวใจ โดยหลัก ๆ แล้วคือภาวะลิ้นหัวใจตีบ (stenosis) หรือลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ซึ่งเป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจแคบลงจนขัดขวางการไหลของเลือดจากหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงอาจมีอาการเหนื่อยผิดปกติ แน่นหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้ามืดเป็นลม หรือขาบวม อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณให้ต้องไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีภัยเงียบที่น่ากังวลนั่นก็คือ ผู้ป่วยภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงถึง 33–50% ไม่มีอาการใด ๆ ในขณะที่ได้รับการวินิจฉัย (2,3) โดยการวินิจฉัยประกอบด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและความเร่งด่วนในการรักษา

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจถือเป็นแนวทางการรักษามาตรฐาน (gold standard) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรง รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า ข้อดีของการผ่าตัดคือการฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ ผลวิจัยยังชี้ว่าการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมได้ (4) ทุกวันนี้ เทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยทำให้การผ่าตัดลิ้นหัวใจปลอดภัยยิ่งขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะการผ่าตัดแผลเล็ก (minimally invasive) และการใช้กล้องส่อง (endoscopic) ที่ช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว เจ็บน้อย และลดระยะเวลาพักในโรงพยาบาล
การเปลี่ยนลิ้นหัวใจใช้ลิ้นหัวใจเทียมได้สองประเภท คือ ชนิดเนื้อเยื่อ (bioprosthetic) หรือชนิดโลหะ (mechanical) ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อซึ่งทำจากเนื้อเยื่อเยื่อหุ้มหัวใจวัวหรือลิ้นหัวใจหมู มีลักษณะและการทำงานใกล้เคียงกับลิ้นหัวใจธรรมชาติ และที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต ทำให้เหมาะสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออก หรือผู้ที่ไม่สามารถจัดการการใช้ยาได้ แม้ลิ้นหัวใจชนิดนี้จะมีอายุใช้งานประมาณ 10–20 ปี ซึ่งทำให้ผู้ป่วยอายุน้อยอาจต้องเปลี่ยนซ้ำ แต่ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อรุ่นใหม่มีความทนทานมากขึ้น ก็ถือเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้ยาวนานและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตหลังการผ่าตัดได้ดีขึ้น
นอกจากแนวทางการรักษามาตราฐานด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกโดยผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation - TAVI) เป็นหัตถการแผลเล็กที่สอดลิ้นหัวใจใหม่เข้าไปผ่านสายสวน ซึ่งมักทำผ่านหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ TAVI ได้รับการแนะนำเป็นหลักสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัดเปิดหน้าอก และยังเปิดโอกาสให้สามารถทำหัตถการแบบ Valve-in-Valve ในอนาคตได้อีกด้วย
ความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคลิ้นหัวใจไปสู่แผนการดูแลระยะยาวที่เน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิต รศ.นพ.ปรัญญา กล่าวว่า การบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจคือกระบวนการต่อเนื่องที่ครอบคลุมมากกว่าการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว

"การบริหารจัดการตลอดช่วงชีวิต" (Lifetime Management) นับเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในไทย เพราะการเลือกลิ้นหัวใจเทียมในครั้งแรก ส่งผลต่อทางเลือกการรักษาในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากสตรีวัยเจริญพันธุ์ได้รับลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อ อาจมีอายุยืนยาวกว่าอายุการใช้งานของลิ้นหัวใจนั้น ดังนั้น การวางแผนเผื่อการทำหัตถการ TAVI แบบ Valve-in-Valve ในอนาคต จึงกลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา
การนำหลักการ Lifetime Management มาใช้ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา (Heart Team) และการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วย ปัจจัยสำคัญได้แก่:
แนวทาง Lifetime Management แบบบูรณาการนี้ ได้รับการสนับสนุนจากความก้าวหน้าทั้งด้านทักษะการผ่าตัดและเทคโนโลยีลิ้นหัวใจ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติก โดยมอบทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้ป่วย รวมถึงคนรุ่นใหม่ นอกเหนือจากการรักษาแบบเดิม ๆ ท้ายที่สุดแล้ว แผนการรักษาจะถูกกำหนดผ่านการตัดสินใจอย่างรอบด้านระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพที่ยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง:
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ นำโดย นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วยนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และนายชู ชง ชาน ผู้อำนวยการกลุ่มด้านกิจกรรมกลุ่มบริษัท มอบเงินสมทบทุนในการสร้างศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุศิริราช จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 10 ล้านบาท โดยมี ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล (คนที่ 5 จากซ้าย) และ ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วยคณะแพทย์ศิริราช เป็นผู้รับมอบ