กรุงเทพฯ 21 มกราคม 2025 - เซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ผู้นำอันดับหนึ่งของโลกด้านระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI วันนี้ ได้เผยแนวโน้มในการพัฒนา AI ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจไทยสำหรับปี 2025
โดยปี 2024 ที่ผ่านมาเป็นปีแห่งการก้าวสู่คลื่นลูกที่สามของ AI ด้วยความก้าวหน้าในการพัฒนาเจ้าหน้าที่เอเจนต์อัจฉริยะ (AI Agent) ซึ่งทำงานได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ (Autonomous) สามารถตัดสินใจและดำเนินงานโดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องคอยกำกับการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานอย่างแท้จริง โดยปี 2025 นี้จะเป็นปีที่ AI จะสร้างผลลัพธ์ให้เกิดขึ้นจริง และจะมีการออกแบบ AI Agent ซึ่งเน้นทำงานที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของกระบวนการทำงานในองค์กรแต่ละแบบ และมอบผลลัพธ์ที่ทำให้องค์กรสามารถพัฒนาก้าวไปเกินกว่าการทดลองใช้งาน AI เท่านั้น
คุณเดวิด โมลด์ (David Mould) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี และผู้อำนวยการด้านโซลูชัน ของ Salesforce ประจำประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวว่า "AI Agent คือการพัฒนาความสามารถขององค์กรธุรกิจให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เป็นแนวทางที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มอบประสบการณ์เฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละคน และขับเคลื่อนการเติบโตให้กับองค์กร" พร้อมเสริมว่า "ปี 2025 นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในวิวัฒนาการของ Autonomous AI เนื่องจากองค์กรธุรกิจทั้งในระดับโลกและในประเทศไทยซึ่งได้เริ่มลงทุนใน AI Agent จะเริ่มได้รับประโยชน์จากการใช้งานที่สามารถจับต้องและวัดผลได้จากเทคโนโลยีนี้"
เทรนด์ด้าน AI ที่สำคัญสำหรับปี 2025
1. Autonomous Agents จะสร้างโอกาสการเติบโตทางรายได้ให้กับธุรกิจ
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา องค์กรธุรกิจต่างมุ่งเน้นมาตรการลดต้นทุนเพื่อตอบสนองต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและการเติบโตที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Autonomous Agent ในปัจจุบันได้เพิ่มโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ในช่องทางใหม่ ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากองค์กรสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งในรูปแบบมีที่โครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง (Structured and Unstructured Data) จากทั่วทั้งองค์กร ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างแนวทางรูปแบบใหม่เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาช่องทางรายได้ใหม่ให้กับธุรกิจ
Autonomous Agent จะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตของบริษัทเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น หากธนาคารที่ทำงานร่วมกับลูกค้าธุรกิจหลายพันราย ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายเบื้องต้นและเข้าใจว่าลูกค้าที่เป็นธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่นั้นมีระดับการใช้จ่ายต่ำ แต่หากวิเคราะห์ลงลึกมากยิ่งขึ้นข้อมูลอาจเผยให้เห็นว่าธุรกิจเหล่านี้ได้กระจายการใช้จ่ายและธุรกรรมไปยังธนาคารหลาย ๆ แห่ง ในกรณีนี้การปรับเปลี่ยนทีมพนักงานเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าทุก ๆ รายให้ครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั้นอาจทำได้ยาก แต่หากธนาคารนำ Autonomous Agent มาใช้พัฒนาการมีส่วนร่วมกับลูกค้าและสร้างการปฏิสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์เข้ามาควบคุมดูแลตลอดเวลา การพัฒนาการบริการในลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ง่ายกว่ามาก นอกจากนี้ Agent ยังสามารถทำงานได้ทุุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ธนาคารจึงสามารถมอบการบริการให้ลูกค้าได้ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะช่วยยกฐานการสร้างรายได้ขององค์กรให้สูงยิ่งขึ้น ซึ่งธนาคารอาจต้องสูญเสียโอกาสให้กับคู่แข่งหากไม่สามารถมอบการบริการลักษณะเช่นนี้ได้
AI Agent ยังสามารถช่วยคัดกรองโอกาสการขายจากผู้ที่มีแนวโน้มหรือความสนใจในสินค้า (Lead) เบื้องต้นให้กับพนักงานของบริษัทได้แบบอัตโนมัติ ก่อนที่จะส่งต่อให้ทีมขายซึ่งเป็นมนุษย์ให้บริการต่อไป ช่วยให้พนักงานไม่เสียเวลาไปกับโอกาสการขายที่ไม่มีการตอบสนอง การตอบคำถามพื้นฐานทั่ว ๆ ไป หรือการใช้เวลาไปกับโอกาสการขายที่มีปฏิสัมพันธ์ต่ำ AI Agent จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและปรับปรุงผลการดำเนินงานทางธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
2. โซลูชันด้าน AI และ Agentic AI ที่สร้างสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน และการผสานรวมข้อมูล จะเป็นพื้นฐานความสำเร็จของการใช้งาน AI
ในโลกที่องค์กรต่างแข่งขันเพื่อพัฒนาการใช้งาน AI อย่างเต็มรูปแบบ ผู้ชนะจะเป็นองค์กรที่สามารถละทิ้งแนวทางการใช้งาน AI แบบ DIY (Do It Yourself) หรือ AI ที่สร้างขึ้นมาเองเพื่อใช้งานภายในองค์กร และหันมาใช้โซลูชันสำเร็จรูปที่มีทั้งความรวดเร็ว ความสะดวกในการติดตั้งและใช้งาน พร้อมทั้งให้ความแม่นยำถูกต้องที่เหนือกว่า ธุรกิจที่ใช้งานโซลูชันแบบสำเร็จรูป จะสามารถเน้นใช้ทรัพยากรขององค์กรกัยบการติดตั้งและใช้งานระบบ AI เพื่อบรรลุเป้าหมายการทำงานและสร้างคุณค่าให้เกิดกับองค์กรได้ในทันที ในทางตรงกันข้าม องค์กรที่พยายามสร้าง AI ด้วยตัวเองมักจะพบกับปัญหาเรื่องต้นทุนแฝงซึ่งไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าและความล่าช้าในสร้างผลลัพธ์ได้อย่างเต็มศักยภาพของเทคโนโลยี AI
การพัฒนา AI บนพื้นฐานของการมีข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสม ถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญสำหรับการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนใน AI ขององค์กร โดยระบบจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลทั้งในรูปแบบที่มีโครงสร้าง เช่น บันทึกธุรกรรมต่าง ๆ ของลูกค้า และข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง เช่น อีเมลบทสนทนาของลูกค้า ข้อมูลสินค้า และเอกสารนโยบายต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อร่วมกันสร้างมุมมองข้อมูลลูกค้าที่มีความครบถ้วนรอบด้านและพร้อมสำหรับการทำงาน หากไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วน AI จะไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับบริบทในการทำงานได้ รวมทั้งไม่สามารถสร้างผลการทำงานที่องค์กรและลูกค้าสามารถเชื่อถือได้ โดยความสามารถในการทำสำเนาเป็นศูนย์ (Zero-Copy) ของ Salesforce นั้นจะทำให้องค์กรสามารถใช้ข้อมูลข้ามระหว่างระบบ
และแอปพลิเคชันต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องทำสำเนาข้อมูลขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย ช่วยให้องค์กรใช้ทรัพยากรที่มีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดต้นทุนในการเตรียมข้อมูลเพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้ถูกต้อง
3. AI ที่พัฒนาโดยคนไทย เพื่อประเทศไทย กับระบบนิเวศการพัฒนา AI ที่กำลังเติบโต
AI ได้กำลังนำพาทุกภาคส่วนสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคปัจจุบัน โดยได้สร้างทั้งรูปแบบการบริการ บทบาทการทำงาน และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นมากมาย เช่นเดียวกับการที่สมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้เคยสร้างระบบนิเวศที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องให้กับนักพัฒนาแอปพลิเคชันมาแล้ว การเติบโตของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี AI นั้นได้กำลังสนับสนุนให้เกิดนักพัฒนา AI รุ่นใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเปิดโอกาสให้นักพัฒนาชาวไทยร่วมกันสร้างเครื่องมือ AI ที่ตอบสนองต่อความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของประเทศ เช่น โมเดลภาษาขนาดเล็ก (Small Language Models: SLMs) ที่สนับสนุนภาษาไทย หรือโมเดลเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถแก้ปัญหาธุรกิจแบบเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมหลักต่าง ๆ ของประเทศ เช่น การท่องเที่ยวและการคมนาคม เป็นต้น
การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI ในภูมิภาคนี้ไม่เพียงแต่จะดึงดูดการลงทุนจากบริษัทระดับโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวของสตาร์ทอัพในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้บทบาทเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนา AI ที่มักเกิดขึ้นในโลกตะวันตกนั้นย้ายมาสู่ในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับแรงงานในอนาคต
4. AI Agent พลิกโฉมรูปแบบการบริการแบบเดิม ด้วยการขยายขีดความสามารถ เสริมความชาญฉลาด และสร้างประสบการณ์เฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละบุคคล
ในประเทศที่มีต้นทุนแรงงานไม่สูงมากอย่างเช่นประเทศไทย องค์กรธุรกิจมักใช้วิธีเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อปรับปรุงการบริการและพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าให้ได้รับบริการที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนพนักงานเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหา หรือนำไปสู่ความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้าที่สูงขึ้นเสมอไป
AI Agent ได้มอบแนวทางใหม่ในการปรับปรุงการทำงานให้กับองค์กรอย่างแท้จริง ด้วยการจัดการกับคำขอรับบริการจากลูกค้าได้แบบอัตโนมัติ และช่วยปรับปรุงการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น มากไปกว่าการเพิ่มปริมาณพนักงานเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแต่ยังเป็นการมอบบริการที่มีคุณภาพสูงให้กับลูกค้า เนื่องจาก AI Agent จะใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงจากแหล่งต่าง ๆ ในระบบแบบเรียลไทม์ เพื่อมอบการบริการที่ถูกต้องและสัมพันธ์กับเรื่องที่ลูกค้าขอรับบริการ สามารถตัดสินใจและลงมือดำเนินการได้ตามความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ (London Heathrow Airport) ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามบินที่มีจำนวนผู้โดยสารมากที่สุดในโลก มีเที่ยวบินเฉลี่ยมากถึงวันละ 1,300 เที่ยวบิน เดินทางสู่จุดหมาย
ปลายทางมากกว่า 230 แห่งทั่วโลก และต้องจัดการกับผู้เดินทางระหว่างประเทศจำนวนมหาศาลในช่วงเทศกาลต่าง ๆ
สนามบินได้ใช้ Agentforce ซึ่งสามารถดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์จากฐานความรู้และระบบเชื่อมต่อ API ที่นำข้อมูลเที่ยวบินมาใช้ตอบคำถามให้กับผู้โดยสารได้หลายพันคำถามในเวลาเดียวกันได้ในทันที ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องเสียเวลาค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยครั้ง หรือรอสายเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ และสามารถรับทราบข้อมูลสถานะเที่ยวบิน การนำทาง และสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงบริการต่าง ๆ ในสนามบินได้ในทันที ช่วยให้เจ้าหน้าที่ของสนามบินได้เน้นใช้เวลาเพื่อแก้ไขปัญหาการเดินทางที่มีความซับซ้อน จากการประมาณการณ์พบว่า Agentforce มีความแม่นยำในการตอบสนองมากถึง 95% และช่วยลดความเครียดของผู้โดยสารที่กำลังเดินทางผ่านสนามบินฮีทโธรว์ได้เป็นอย่างมาก
Agentforce ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างสรรค์การบริการลูกค้าในแบบใหม่ซึ่งมอบคำตอบได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเพิ่มความซับซ้อนในกระบวนการทำงานหรือเพิ่มการฝึกอบรมพนักงานที่ใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมาก Agent จะช่วยให้องค์กรในประเทศไทยก้าวข้ามโมเดลการให้บริการแบบเดิม สร้างประสบการณ์ที่มีความเฉพาะสำหรับแต่ละลูกค้าแต่ละบุคคล ได้รับความสะดวกง่ายดายในการใช้งาน พร้อมมอบคุณค่าที่จะคงอยู่ยืนยาวต่อไปให้กับลูกค้า ผ่านการให้บริการแบบเรียลไทม์ที่มีความชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น
5. การให้ Agent ช่วยสร้าง Agent และการที่ Agent สนทนากันเอง จะกลายเป็นเรื่องปกติ
เช่นเดียวกับการที่องค์กรมีพนักงานซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละหน้าที่ ในปี 2025 นี้เราจะได้เห็น AI Agent ได้รับมอบบทบาทเฉพาะเพื่อทำงานภายในเครือข่ายขององค์กร Agent เหล่านี้จะทำงานร่วมมือกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ พร้อมกับสื่อสารพูดคุยกับ Agent ต่าง ๆ และสร้าง Agent ขึ้นมาใหม่ตามความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแต่ละ Agent จะมีหน้าที่เฉพาะซึ่งองค์กรกำหนดไว้อย่างชัดเจน ช่วยให้ระบบเครือข่ายสามารถจัดการงานที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภายในเครือข่ายการทำงานของ Agent นี้ Meta-Agent จะมีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่าง Agent ต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการทำงานมีความราบรื่น ตัวอย่างเช่น Agent ที่เป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาหรือ Concierge Agent อาจทำงานร่วมกับผู้ใช้งาน เพื่อให้คำแนะนำในฟังก์ชันงานที่ Agent สามารถให้ความช่วยเหลือได้ และส่งอัปเดตความคืบหน้าของการดำเนินงานให้ทราบเป็นระยะ ส่วน Agent ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหรือ Orchestration Agent จะทำหน้าที่ประเมินความต้องการของผู้ใช้งาน และส่งคำร้องต่อไปยัง Agent ที่เหมาะสมกับหน้าที่นั้น ๆ เพื่อให้จัดการกับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานในรูปแบบเครือข่ายนี้จะยิ่งเสริมสร้างการทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้นบนแพลตฟอร์มการสื่อสารเช่น Slack ซึ่งเป็นระบบที่มนุษย์สามารถทำงานร่วมกับ AI Agent ได้แบบผสานรวมเป็นทีมเดียวกัน เพิ่มทั้งความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการประสานงานที่ดียิ่งขึ้นโลกยุคใหม่ซึ่งเป็นยุคแห่ง Agent จะเปลี่ยนแปลงนิยามของการทำงานร่วมกัน ด้วยการสร้างพื้นที่ซึ่งทั้งมนุษย์และ Agent ทำงานเคียงคู่กันในสภาพแวดล้อมที่ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อร่วมกันยกระดับผลการทำงาน ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ ผ่านกระบวนการดำเนินงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
Salesforce (NYSE: CRM) ผู้นำ CRM AI ชั้นนำของโลก ได้ประกาศแผนการขยายโอกาสในการพัฒนาทักษะ ด้วยการเปิดให้ทุกคนสามารถเข้ารับการฝึกอบรมด้าน AI ได้ฟรีแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย โดย Salesforce จะเปิดอบรมหลักสูตร AI ขั้นสูงและให้การรับรองมาตรฐานด้าน AI ผ่านทางแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ Trailhead ซึ่งจะเปิดให้บริการฟรีจนถึงสิ้นปี 2025
นอกจากนี้แล้ว Salesforce ยังจะเปิดพื้นที่ใหม่ ณ สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งจะประกอบด้วยศูนย์ AI Center ชั่วคราวสำหรับจัดการฝึกอบรม AI เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้กันได้ภายในสถานที่ ในพื้นที่เหล่านี้ยังจะมีการจัดฝึกอบรมเพิ่มทักษะการใช้เครื่องมือ AI และ Agent ต่าง ๆ สำหรับพนักงาน โครงการทั้งหมดนี้นับเป็นการลงทุนมูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1.6 พันล้านบาท) เพื่อช่วยยกระดับความสามารถให้กับพนักงาน และลดช่องว่างทางทักษะด้าน AI ที่กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น
ผลการวิจัยโดย Slack พบว่า ผู้บริหารระดับสูงมองว่าการนำเครื่องมือ AI มาใช้ในการดำเนินธุรกิจเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วนมากขึ้นถึง 7 เท่า ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือนที่ผ่านมา และมองว่าเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในขณะนี้ มากกว่าปัญหาเงินเฟ้อหรือสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยฉบับนี้ยังพบว่าพนักงานกว่าสองในสามยังไม่ได้ใช้งานเทคโนโลยี AI ในการทำงาน และมีเพียง 15% ของพนักงานเท่านั้นที่มองว่าตนเองได้รับความรู้และทักษะที่เพียงพอสำหรับการใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ
ไบรอัน มิลแฮม (Brian Millham) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Salesforce กล่าวว่า “การมาถึงของเทคโนโลยี AI และ Agent เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของพวกเรา และสิ่งนี้จะเปลี่ยนวิธีการทำงานของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง” และเสริมว่า “เราจำเป็นต้องมั่นใจว่าทุกคนมีทักษะที่จำเป็น เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในยุคใหม่ซึ่งเป็นโลกของ AI”
ขยายโอกาสในการฝึกอบรมด้าน AI
ปัจจุบัน Salesforce ได้ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญหลายแสนคนสามารถพัฒนาทักษะเชิงเทคนิค ผ่านการฝึกอบรมขั้นสูงด้วยเนื้อหาที่มีคุณภาพซึ่งนำการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญ พร้อมมอบใบรับรองที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับประวัติการทำงาน ทั้งนี้บริษัท Salesforce ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้เรียนถึง 100,000 คนที่ผ่านการอบรมเหล่านี้ พร้อมทั้งช่วยให้ผู้นำในชุมชนของ Salesforce หรือ Trailblazer ทุก ๆ คนได้พัฒนาสู่การเป็น Agentblazer ซึ่งคือผู้นำในการใช้ Agent
นอกเหนือจากเนื้อหาขั้นสูงที่มีคุณภาพแล้ว ล่าสุดแพลตฟอร์ม Trailhead ยังได้ขยายคอร์สออนไลน์ฟรีต่าง ๆ เพิ่มเติม สำหรับการฝึกอบรมทักษะด้าน AI โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรด้าน พื้นฐานของ AI และ การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม รวมไปถึงการสร้าง คำสั่งพรอมต์ (Prompt) และหลักสูตรอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 ทำให้ทั้งพนักงานของ Salesforce รวมถึงผู้ที่กำลังสมัครงาน และผู้สนใจเรียนรู้รวมกว่า 2.6 ล้านคนได้รับใบรับรองด้าน AI และข้อมูล เพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น
สร้างพื้นที่เพื่อพัฒนาทักษะ AI ให้พนักงาน ด้วยการฝึกอบรมแบบลงมือปฏิบัติจริง Salesforce ได้เริ่มจัดตั้งพื้นที่สำหรับการฝึกอบรมด้าน AI ขึ้นในสำนักงานของบริษัททั่วโลก โดยได้เปิดศูนย์ AI Center ในเมืองลอนดอน เป็นแห่งแรกในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้วางแผนที่จะสร้างศูนย์ AI Center แบบชั่วคราวแห่งใหม่ขึ้นที่สำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโกในปี 2025 นอกจากนี้ยังได้วางแผนขยายพื้นที่ศูนย์ฝึกเหล่านี้ไปยังศูนย์กลางที่สำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก เช่น เมืองชิคาโก โตเกียว และซิดนีย์ โดยศูนย์จัดอบรมเหล่านี้จะสอนหลักสูตร AI จากทางแพลตฟอร์ม Trailhead แบบที่ผู้เรียนสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ในสถานที่โดยตรง รวมถึงเป็นพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม พาร์ทเนอร์ และลูกค้าของ Salesforce เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรม AI ให้ก้าวหน้า และเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทักษะด้าน AI ได้อย่างรวดเร็ว
เสริมทักษะให้กับพนักงาน 72,000 คน ด้วย AI ที่มีความน่าเชื่อถือ
Salesforce ได้กำลังสนับสนุนให้พนักงานกว่า 72,000 คนของบริษัทสามารถยกระดับทักษะ ด้วยการจัดกิจกรรม “วันแห่งการเรียนรู้ AI” ที่จัดขึ้นทั่วโลกในทุก ๆ ไตรมาส เพื่อให้พนักงานได้ฝึกใช้นวัตกรรม AI ล่าสุดด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งรวมถึงการใช้นวัตกรรม Agentforce ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือ AI Agent อัจฉริยะที่ทำงานได้ด้วยตัวเองแบบอัตโนมัติ ช่วยเสริมความสามารถในการทำงานให้พนักงานได้ในหลากหลายหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริการ การขาย การตลาด หรือการค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้ Salesforce ยังเตรียมที่จะเปิดศูนย์ “AI Knowledge Center” ซึ่งจะใช้พื้นที่ทั้งชั้นของสำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก เพื่อให้พนักงานทั่วโลกได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างเต็มรูปแบบ
ปัจจุบันบริษัทได้เปิดตัวเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากกว่า 100 รายการ เพื่อช่วยให้พนักงานทั่วโลกสามารถใช้ AI และมุ่งเน้นการทำงานที่มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งพนักงานของ Salesforce เองก็ได้ใช้แพลตฟอร์ม Trailhead เรียนรู้วิธีการใช้ AI และ Agent ในการทำงาน โดยเกือบ 40% ของจำนวนการออกใบรับรองด้าน AI และข้อมูล บนแพลตฟอร์ม Trailhead ทั้งหมดซึ่งมีมากถึง 2.6 ล้านรายการนั้นมาจากการฝึกอบรมของพนักงานบริษัท Salesforce
นอกจากนี้ ในฐานะผู้ที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของตนเองเป็นกลุ่มแรก พนักงาน Salesforce หลายพันคนได้ใช้เทคโนโลยี Agent ของ Agentforce ที่สามารถเชื่อถือได้ ให้ทำงานที่มีความซ้ำ ๆ จำเจ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน โดยตั้งแต่ที่บริษัทได้เปิดตัว Slack AI ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมีอินเทอร์เฟซแบบสนทนาเพื่อหาคำตอบ สรุปข้อมูล และสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ ๆได้ช่วยให้พนักงาน Salesforce ลดเวลาในการทำงานลงได้รวมเกือบ 3 ล้านชั่วโมง
นาทาลี สการ์ดิโน (Nathalie Scardino) ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบุคคลของ Salesforce กล่าวว่า “เช่นเดียวกับการปฏิวัติทางเทคโนโลยีอื่น ๆ AI จะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเรา รวมทั้งสร้างตำแหน่งงาน และโอกาสใหม่ ๆ ซึ่งปัจจุบัน AI ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของเราในฐานะนายจ้าง ที่จะมอบโอกาสในการฝึกฝนพัฒนาให้กับพนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขามีทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในบทบาทใหม่ ๆ เหล่านั้น” และกล่าวเสริมว่า “Salesforce เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงโดยตลอดมา และด้วยค่านิยมที่เป็นพื้นฐานของเรานี้ Salesforce จึงได้นำพลังและศักยภาพของเรา ทั้งเทคโนโลยี พื้นที่ และพนักงาน มาร่วมนำพาทุกคนให้ก้าวไปด้วยกัน”
Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) บริษัท AI CRM อันดับ 1 ประกาศความก้าวหน้ายิ่งใหญ่ของโซลูชั่น Einstein เทคโนโลยีเอไอภายใต้เอกสิทธิ์เฉพาะของบริษัท และ Data Cloud โซลูชั่นข้อมูลไฮเปอร์สเกลแบบเรียลไทม์ที่งาน Dreamforce 2023 ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวนี้จะมุ่งพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้าพร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงานมากยิ่งขึ้น
ผลการศึกษาล่าสุดจาก IDC เผยว่าคลื่นลูกใหม่จาก Generative AI จะช่วยเร่งโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับเซลส์ฟอร์ซและระบบนิเวศของบริษัท โดย IDC คาดการณ์ว่า Salesforce AI Economy จะสร้างรายได้สุทธิ 2.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากรายได้ของธุรกิจทั่วโลก และสร้างงานใหม่ 11.6 ล้านตำแหน่งทั่วโลก ระหว่างปี พ.ศ. 2565 - 2571
Einstein รุ่นใหม่ล่าสุด สู่การเป็นผู้ช่วยการสนทนาที่น่าเชื่อถือพร้อมทั้งขับเคลื่อนด้วย Generative AI
โซลูชั่น Einstein ของเซลส์ฟอร์ซเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้นวัตกรรมจาก Generative AI อย่าง Einstein Copilot ซึ่งจะเป็นผู้ช่วยเอไอสำหรับการสนทนา ฟีเจอร์ดังกล่าวติดตั้งอยู่บนแอป CRM ทั้งหมดเพื่อสนับสนุนทุกการใช้งานของลูกค้า โดยฟีเจอร์ Einstein Copilot จะช่วยสร้างเวิร์กโฟลว์การทำงานที่ไร้รอยต่อ พร้อมช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านการใช้ Natural Language ในการถามคำถาม และรับข้อมูลคำตอบที่มีความเกี่ยวข้องและเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยอ้างอิงจากข้อมูลเอกสิทธิ์ของเซลส์ฟอร์ซที่ปลอดภัยจาก Data Cloud
นอกจากนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เจาะจงของแต่ละธุรกิจ เซลส์ฟอร์ซได้เปิดฟีเจอร์ Einstein Copilot Studio ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่ง (Customise) ฟีเจอร์ Einstein Copilot ผ่านพร้อมท์ (Prompts)ที่เจาะจง หรือผ่านทักษะและโมเดลเอไอที่เจาะจง ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถปิดดีลได้ไวยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับงานบริการลูกค้า ไปจนถึงการปรับแต่งพร้อมท์รูปแบบ Natural Language ให้กลายเป็นโค้ด เป็นต้น มากไปกว่านั้น ฟีเจอร์ Einstein Copilot Studio ยังสามารถตั้งค่าให้ Einstein Copilot สามารถใช้งานนอกแอปพลิเคชันของเซลส์ฟอร์ซได้อีกด้วย เพื่อใช้บนช่องทางติดต่อลูกค้าอื่น ๆ อาทิ ช่องทางเว็บไซต์, Slack, WhatsApp หรือ SMS เพื่อขับเคลื่อนแชทแบบเรียลไทม์
ฟีเจอร์ Einstein Copilot และ Einstein Copilot Studio จะใช้งานภายใต้ Einstein Trust Layer ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเอไอที่ปลอดภัยและสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มของเซลส์ฟอร์ซ เพื่อสร้างผลลัพธ์อันมีคุณภาพจากเอไอโดยอ้างอิงจากข้อมูลลูกค้า ในขณะเดียวกันยังสามารถรักษามาตรฐานความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลบริษัทไปพร้อมกันสำหรับธุรกิจที่ใช้งาน
ใหม่! Einstein 1 Platform ใช้คู่กับ Data Cloud รองรับ Big Data และขับเคลื่อน Low-Code Metadata บนแอปพลิเคชันเอไอ Einstein 1 Platform สร้างขึ้นบนเฟรมเวิร์คเมตาดาต้าของเซลส์ฟอร์ซ โดยเป็นอีกขั้นของความก้าวหน้าสำหรับ Data Cloud และ Einstein แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยบริษัทต่าง ๆ เชื่อมต่อ จัดระเบียบ และทำความเข้าใจข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชันเซลส์ฟอร์ซต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังสร้างการมองเห็นข้อมูลที่ทั่วถึงของทั้งองค์กร ไม่ว่าข้อมูลจะมีโครงสร้างอย่างไรในระบบภายใน ทั้งยังสามารถช่วยองค์กรในการปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้และข้อมูลการดำเนินการโดยใช้บริการแพลตฟอร์มแบบ low-code อื่น ๆ อาทิ: · การใช้ Einstein สำหรับคาดการณ์และสร้างเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ · การใช้ Flow สำหรับการทำออโตเมชั่น · การใช้ Lightning สำหรับส่วนต่อประสานกับผู้ใช้งานหรือ user interfaces
Date Cloud รุ่นใหม่ล่าสุดถูกผสานเข้ากับ Einstein 1 Platform เพื่อช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถปลดล็อกการใช้ข้อมูลในการสร้างโปรไฟล์ลูกค้าพวกเขาให้สมบูรณ์และมีความเป็นหนึ่งเดียว พร้อมส่งมอบประสบการณ์ CRM แบบใหม่ให้แก่ผู้ใช้งาน
· Data at Scale: Einstein 1 Platform รองรับข้อมูลเมตาดาต้า (Metadata-enabled objects) เป็นพันรายการ โดยแต่ละอ็อบเจ็กต์สามารถมีแถวได้หลายล้านล้านแถว นอกจากนี้ Marketing Cloud และ Commerce Cloud ยังมีการอัปเกรดใหม่ให้สามารถใช้งานได้บนแพลตฟอร์มนี้อีกด้วย
· Automation at Scale: ข้อมูลจำนวนมหาศาลสามารถถูกนำไปใช้งานได้ทันทีในรูปแบบเซลส์ฟอร์ซออบเจ็กต์บน Einstein 1 Platform โฟล์วต่าง ๆ ของงานสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สูงสุด 20,000 เหตุการณ์ต่อวินาที และยังสามารถโต้ตอบกับระบบอื่น ๆ ภายในองค์กร รวมถึงระบบเดิมที่มีอยู่ผ่าน Mulesoft
· Analytics at Scale: โครงสร้างข้อมูลของข้อมูลเมตาดาต้า (Metadata Schema) แบบทั่วไปบน Einstein 1 Platform และแอคเซสโมเดลช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกและโซลูชั่นวิเคราะห์มากมายของเซลส์ฟอร์ซ อาทิ Reports and Dashboards, Tableau, CRM Analytics, และ Marketing Cloud Report สามารถใช้งานข้อมูลเดียวกันได้อย่างทั่วถึง
“เราอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลตลอดเวลา ความสำคัญและการที่ AI เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพราะ AI จะเข้ามาปฏิวัติพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์และนำไปสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่" คุณอามิท ซักซีน่า รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียน เซลส์ฟอร์ซ กล่าวต่ออีกว่า "ในเวลานี้ ธุรกิจในประเทศไทยจำเป็นต้องควบคุมและประเมินถึงความเหมาะสมของการใช้งาน AI, Data และ CRM เพื่อสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ในขณะเดียวกันยังต้องสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้าของพวกเขาได้เช่นกัน ความไว้วางใจของลูกค้ามีผลต่อแบรนด์ได้ ดังนั้นความสามารถในการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมต่อลูกค้าจึงมีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแห่งอนาคต”
ไฮไลท์สำคัญอื่น ๆ จากงาน Dreamforce 2023:
· Slack เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ขับเคลื่อนแพลตฟอร์มส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานอย่างชาญฉลาด
o นวัตกรรมใหม่ที่เพิ่มเข้ามาบน Slack จะนำเอาเอไอ, ระบบออโตเมชั่น และการแบ่งปันความรู้มารวมไว้ในที่เดียว เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงาน
§ Slack AI มาพร้อมความสามารถในการสรุปเธรดต่าง ๆ, สรุปไฮไลท์บนชาแนล, และค้นหาคำตอบภายในข้อความทั้งหมดของผู้ใช้
§ Workflow Builder รุ่นพัฒนาจะช่วยให้ทีมสามารถสร้างระบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องเขียนโค้ดใด ๆ โดยใช้งานตัวเชื่อมต่อจาก Google, Asana, Jira และแพลตฟอร์มอื่น ๆ
§ Slack lists จะช่วยติดตามงาน, ติดตามคำขอคัดแยก(Triage requests) และติดตามการจัดการโปรเจ็คข้ามสายงานได้
· Einstein สำหรับ Net Zero Cloud เพื่อช่วยให้การทำรายงานเกี่ยวกับ ESG ง่ายขึ้นสำหรับบริษัทต่างๆ
o ฟีเจอร์ Einstein สำหรับ Net Zero Cloud นั้นจะแนะนำข้อมูลที่เชื่อถือได้ตอบสนองต่อคำสั่งหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรายงาน ESG แบบเรียลไทม์ โดยการตอบสนองต่างๆ จะอ้างอิงมาจากข้อมูลที่อยู่ในกรอบการรายงานโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถที่จะปรับปรุงกระบวนการเขียนรายงาน ESG ได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น Einstein สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล ESG ของบริษัทที่ถูกเผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว หรืออาจดึงข้อมูลจากเอกสารที่อัปโหลดเอาไว้ก่อนหน้านี้ (เช่น รายงานผลกระทบกว่าหนึ่งหมื่นฉบับ เอกสารการปฏิบัติตามข้อกำหนด) หรืออาจใช้ประโยชน์จากข้อมูล Net Zero Cloud อื่นๆ เช่น ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท เป็นต้น Einstein จะใช้ข้อมูลนี้ระบุลงไปในแต่ละส่วนรายงาน ESG สำหรับปีล่าสุดโดยอัตโนมัติ
· Salesforce ขยายความร่วมมือทางอุตสาหกรรม เปิดตัวพาร์ทเนอร์ชิพกับ Google, AWS, McKinsey, Databricks, Genesys และ Snowflake: o Google partnership: เปิดตัวการใช้งานรูปแบบ Bidirectional Integration ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรวมบริบทจาก Salesforce และ Google Workspace เข้าด้วยกัน ผู้ใช้จะสามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มได้อย่างไร้รอยต่อทั่วทั้งแพลตฟอร์มผ่านผู้ช่วย Generative AI ของ Salesforce และ Google Workspace, Einstein Copilot และ Duet AI
o AWS partnership: เปิดตัว Bring Your Own Lake (BYOL) และ Bring your Own Large Language Model (BYO LLM) ซึ่งเป็นการผสานโซลูชั่นระหว่าง AWS และ Salesforce Data Cloud สร้างขึ้นบน AWS โดยนำ Generative AI ที่มีอยู่ของเซลส์ฟอร์ซเข้ามาพาร์ทเนอร์ด้วย ซึ่งการผสานโซลูชั่นดังกล่าวนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรวมข้อมูลของตนผ่าน Data Cloud และบริการของ AWS ได้อย่างไร้รอยต่อและมีความปลอดภัย เพื่อใช้ประโยชน์จากชุดโมเดลพื้นฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่บน Amazon Bedrock และ Amazon SageMaker อย่างปลอดภัยภายในแพลตฟอร์มเซลส์ฟอร์ซ o McKinsey partnership: เปิดตัวการนำเทคโนโลยี Einstein และ Data Cloud ของเซลส์ฟอร์ซมาผสานเข้ากับโมเดลและเอไอของ McKinsey โดยการร่วมงานกันครั้งนี้จะช่วยเร่งการเปิดตัว Generative AI ที่น่าเชื่อถือสำหรับการขาย การตลาด การพาณิชย์ และการบริการ
o Databricks partnership: เปิดตัวการแชร์ข้อมูลแบบไร้รอยต่อระหว่าง Salesforce Data Cloud และ Databricks Lakehouse ที่จะช่วยลดต้นทุนและลดความซับซ้อนในการย้ายและคัดลอกข้อมูลสำหรับลูกค้า รวมทั้งสร้างความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ช่วยปลดล็อกการใช้ข้อมูลเชิงลึกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อการส่งมอบประสบการณ์ของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น o Snowflake partnership: เปิดตัววางจำหน่าย Bring Your Own Lake (BYOL) ซึ่งเป็นเครื่องมือการแชร์ข้อมูลผ่าน Snowflake Data Cloud จาก Salesforce Data Cloud ที่จะช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลและส่งเสริมการนำข้อมูลเชิงลึกไปใช้งาน เสริมความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนการทำงานด้วยข้อมูลหรือ Data-driven ให้แก่ลูกค้า
o Genesys partnership: เปิดตัว CX Cloud โซลูชั่นการจัดการความสัมพันธ์และประสบการณ์ลูกค้าที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอแบบครบวงจร ซึ่งเป็นการผสานระบบระหว่าง Genesys Cloud CXTM และ Salesforce Service Cloud เพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ลูกค้าและประสบการณ์พนักงานแบบครบวงจรให้ชาญฉลาดยิ่งขึ้น
Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) ประกาศเปิดตัว AI Cloud
Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) ร่วมมือกับ 8 นักวาดการ์ตูนในอาเซียนจากประเทศไทย ประเทศสิงคโปร์ และประเทศมาเลเซียเพื่อนำเสนอการ์ตูนสั้น 24 เรื่องโดยมีศิลปินไทยที่เข้าร่วมแคมเปญ อาทิ Wawawawin และ Sa-ard เซลส์ฟอร์ซสนับสนุนศิลปินทุกท่านในการวาดการ์ตูนตามจินตนาการและสไตล์ของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยทุกชิ้นงานสื่อให้ผู้อ่านเห็นว่าในอนาคตเทคโนโลยีจะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเราและสร้างแรงบันดาลใจให้ธุรกิจ รวมถึงนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้อย่างไร
ตลอดช่วงการระบาดของโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมีผลต่อมุมมอง และวิสัยทัศน์ด้านอนาคตของธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนโดยตรง การ์ตูนสั้นทั้ง 24 เรื่องจึงสร้างขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ 'Future, Illustrated' ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ธีมหลัก ได้แก่ Digital Transformation (การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล), Future of Work (อนาคตของการทำงาน) และ Business as a Platform for Good (ธุรกิจในฐานะแพลตฟอร์มส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงที่ดี) โดยซีรีส์การ์ตูนแต่ละเรื่อง ผู้อ่านจะเข้าถึงมุมมองว่าเทคโนโลยีนั้นหล่อหลอมชีวิต และแรงบันดาลใจของผู้คนอย่างไร รวมถึงว่าธุรกิจสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางโลกดิจิทัล และธุรกิจจะเข้ามามีบทบาทตรงไหนได้เพื่อนำขบวนการเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสังคมโดยรวมในอาเซียน
คุณสุจิธ อับบราฮัม รองประธานอาวุโส ผู้จัดการทั่วไปประจำเซลส์ฟอร์ซ อาเซียน กล่าวว่า "มุมมองที่เป็นเอกลักษณ์จากศิลปินที่เราร่วมงานด้วยได้บอกเล่าความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในภูมิภาคได้อย่างดีเยี่ยม การ์ตูนทุกชิ้นบอกเล่าความเป็นไปได้จากศักยภาพของเทคโนโลยีที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้คนและพื้นที่ได้ พร้อมทั้งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างแรงบันดาลใจที่น่ารัก ๆ ให้ผู้อ่านได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความหมายและสร้างสรรค์ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนมากขึ้นในอนาคตของเรา”