December 05, 2025

พร้อมมอบสิ่งของจำเป็นช่วยผู้ประสบอุทกภัย และสนับสนุนการสื่อสารทีมเจ้าหน้าที่ภาครัฐ กองทัพ ทีมแพทย์

ทรู ดีแทค 5G เตรียมวางจำหน่าย iPhone 17, iPhone Air, iPhone 17 Pro, iPhone 17 Pro Max โดยลูกค้าสามารถสั่งจอง iPhone รุ่นใหม่ทั้งหมดได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568เวลา 19.00 น. และจะพร้อมจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 โปรดตรวจสอบรายละเอียดวันวางจำหน่ายของ Apple Watch Series 11, Apple Watch SE 3, Apple Watch Ultra 3 และ AirPods Pro 3 อีกครั้ง ติดตามรายละเอียดราคา และการวางจำหน่ายเพิ่มเติมได้ที่ https://www.true.th/promotion/devices/iphone-17-pro

 

กรุงเทพฯ 6 กันยายน 2568 – บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น รวมพลังผู้บริหารและเพื่อนพนักงานในกิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2568” ซึ่งปีนี้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ภายใต้แนวคิดท้าทายสังคม “ไม่โกง ไม่เกิด...จริงหรือ?” ซึ่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น นำโดย นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร และนางมารยาท เดรเยอร์ หัวหน้าสายงานกำกับดูแลและตรวจสอบ ร่วมประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาลที่องค์กรยึดถือเป็นนโยบาย และปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบมาโดยตลอด

ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ร่วมสนับสนุนและต่อยอดโครงการต่อต้านการทุจริตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น
• โครงการยุวทูต ป.ป.ช. ของสำนักงาน ป.ป.ช.
• โครงการประกวดเพลง “ช่อสะอาดต้านทุจริต” (ปี 2560)
• โครงการประกวดมิวสิควิดีโอ “ช่อสะอาดต้านทุจริต” (ปี 2561)
• โครงการค่ายเยาวชนช่อสะอาดต้านทุจริต (ปี 2562)
• โครงการต่อต้านการทุจริตผ่านศิลปะการแสดงพื้นบ้าน (ปี 2563 และ 2565)
• โครงการประกวด “ต่อต้านการทุจริต ผ่าน TikTok” (ปี 2564)
• โครงการประกวด “ละครเพลงต่อต้านการทุจริต เดอะมิวสิคัล” (ปี 2566)
• โครงการประกวดวงดนตรีต่อต้านการทุจริต (ปี 2567)
รวมถึงการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายสื่อต่าง ๆ ของทรู อาทิ ทรูวิชั่นส์ ทรูโฟร์ยู TNN16 และแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อสร้างสังคมที่ตระหนักและร่วมกันปฏิเสธการทุจริต

ทรู คอร์ปอเรชั่น จัดทีมเน็ตเวิร์กพร้อมตั้งวอร์รูม 24 ชั่วโมง วิเคราะห์ “พายุคาจิกิ” พร้อมปฏิบัติการด่วนรับมือดูแลการสื่อสาร จากที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์จะกระทบไทยทำให้ฝนตกหนักถึงหนักมาก ทีมทรูห่วงใยเกรงซ้ำรอยพายุวิภาที่กระทบไทยช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา ตั้งทีมวางแผนวิเคราะห์พร้อมดูแลการสื่อสารทั้งมือถือและเน็ตบ้านในหลายจังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดเตรียมเครื่องปั่นไฟ น้ำมันสำรอง ประจำสถานีฐานหลักป้องกันกรณีถูกตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของชุมชนกรณีน้ำท่วม พร้อมนำโครงนั่งร้านตั้งอุปกรณ์สูงพ้นแนวน้ำท่วม

ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเรื่อง “พายุไต้ฝุ่นคาจิกิ” มีแนวโน้มเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ก่อนอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชัน จะปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของไทยในเช้าวันที่ 26 สิงหาคม และเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดน่านในช่วงเย็นวันเดียวกัน ส่งผลให้หลายพื้นที่มีโอกาสเผชิญฝนตกหนัก ลมแรง น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก

นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทีมเน็ตเวิร์กเราเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฉุกเฉินในทุกพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะจังหวัดน่าน พร้อมจัดตั้ง War Room ที่ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ BNIC ทำงานร่วมกับระบบ AI เพื่อเฝ้าตรวจสอบและบริหารจัดการเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนยังคงสื่อสารได้ในทุกสถานการณ์”

ทรู คอร์ปอเรชั่น นำบทเรียนจากการรับมือพายุวิภา (WIPHA) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มาปรับใช้กับแผนรับมือพายุไต้ฝุ่นคาจิกิ เพื่อให้ระบบสื่อสารทั้งมือถือและเน็ตบ้านยังคงใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดเสี่ยงน้ำท่วม ได้แก่ น่าน เชียงราย และแพร่ เป็นต้น

ผลกระทบของสถานีฐานในการให้บริการจากกรณีศึกษาของพายุวิภา (WIPHA) คือ กรณีถ้าเกิดฝนตกหนักติดต่อกัน และน้ำท่วม จะเกิดการตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ ทำให้สถานีฐานจะต้องถูกตัดกระแสไฟฟ้าตามไปด้วย ดังนั้น ทีมเน็ตเวิร์กได้เตรียมโครงนั่งร้านที่สูงพ้นแนวน้ำท่วมเดิมที่ได้รับ

ผลกระทบจากพายุวิภา สำหรับตั้งอุปกรณ์เครื่องปั่นไฟ พร้อมเตรียมน้ำมันสำรอง ณ สถานีฐานที่เป็นจุดหลักเพื่อให้การบริการมือถือใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

มาตรการเร่งด่วนของทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อรับมือพายุไต้ฝุ่นคาจิกิ

1. เตรียมเครื่องปั่นไฟ น้ำมันสำรอง และแบตเตอรี่เข้าสู่พื้นที่สถานีฐาน กรณีไฟฟ้าถูกตัดจากน้ำท่วม

2. เตรียมรถโมบายล์สถานีฐาน (Cell-On-Wheel: COW) เพื่อเสริมสัญญาณในจุดวิกฤต

3. เตรียมยานพาหนะ 4WD และเรือท้องแบนสำหรับเข้าพื้นที่น้ำท่วม

4. เตรียมอุปกรณ์สำรองและทีมซ่อมบำรุงฉุกเฉินเพื่อให้บริการได้ต่อเนื่อง

5. ประสานงานหน่วยงานรัฐและเอกชนเพื่อร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัย

6. BNIC ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ พร้อม AI พร้อมดูแลและบริหารเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังร่วมมือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast Service (CBS) และ SMS โดย ปภ. จะเป็นผู้กำหนดและออกประกาศเตือนภัยไปยังประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงมุ่งมั่นดูแลระบบสื่อสารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารได้แม้ในยามวิกฤต พร้อมทั้งทำงานใกล้ชิดกับ กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลกำไรหลังหักภาษีประจำไตรมาส 2/2568 เป็นมูลค่ากว่า 2.0 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่ผลการดำเนินงานของบริษัทพลิกกลับมาทำกำไร โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit) อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท ในส่วน EBITDA ยังคงมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการควบรวมกิจการ โดยเป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ (Synergy)

นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาสที่ 2 ยังคงทรงตัว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว โดยทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ตามความมุ่งมั่นของเราต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ การที่ทรูชนะการประมูลคลื่นความถี่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ทรูครอบครองคลื่นความถี่ครบและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะใช้ประโยชน์จากการจัดสรรคลื่นความถี่นี้มาเพื่อเพิ่มความสามารถของเครือข่าย รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแห่งอนาคต รวมถึงการเร่งผลักดันบริการทางดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร และเพื่อให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เราจึงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตแบบพลิกโฉม ผ่านการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และการเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดอย่างยั่งยืน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ จากความพยายามลดจำนวนผู้ใช้งานใหม่จากการหมุนเวียนของฐานลูกค้าเดิมลง (rotational gross adds) รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 2/2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47.5 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.9 ล้านเลขหมาย หรือลดลง 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส2/2567 ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 จำนวนผู้ใช้บริการ 5มีจำนวน 14.7 ล้านเลขหมาย

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้หลักชะลอตัวลงในระหว่างไตรมาสที่สอง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อรายได้จากบริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่

ไตรมาส 2/2568 รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC ลดลง 0.6% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก ชดเชยบางส่วนจากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และการลดลงของรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ รายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาสก่อน ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานรายได้รวมลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการ การลดลงของรายได้ค่าเช่าโครงข่ายอันเป็นผลจากการโอนย้ายผู้ใช้บริการออกจากคลื่น 850 MHz ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในเดือนสิงหาคม 2568 และรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลดลงจากปัจจัยตามฤดูกาล

สำหรับไตรมาส 2/2568 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A ลดลง 8.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต้นทุนโครงข่ายลดลง 7.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงและการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 12.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ จากการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัยและการริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืนและวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง”

ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.5 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ สะท้อนถึงความสามารถทางการเงินที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องของ EBITDA สำหรับ EBITDA ในไตรมาส 2/2568 ปรับตัวดีขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของรายได้ อันเป็นผลจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศที่ลดลง สำหรับ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน EBITDA ยังคงได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการรักษาวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้น 2.2 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 60.8% สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรของทรู คอร์ปอเรชั่น อยู่ที่ 4.0 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ลดลง 0.7 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 0.1 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

สำหรับไตรมาส 2/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานกำไรสุทธิหลังหักภาษี 2.0 พันล้านบาท ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 2.5 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย และการยุติบริการคลื่น 850 MHz เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวและผลประโยชน์ทางภาษีในไตรมาส 2/2568 จำนวน 368 ล้านบาท กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.2 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนการบูรณาการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย

จากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เป็นอุปสรรคต่อประเทศไทยในปี 2568 การปรับลดแนวโน้มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชี่วคราวต่อรายได้จากการให้บริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ คณะผู้บริหารบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2568 คณะผู้บริหารคาดว่ารายได้จากการให้บริการจะทรงตัว ถึงเติบโต 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC และการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศกับ NT แนวโน้ม EBITDA เติบโต 7-8% สำหรับทั้งปี ขณะที่เงินลงทุน (CAPEX) คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 2.8-3.0 หมื่นล้านบาทสำหรับปี 2568 (ไม่เปลี่ยนแปลง) และจะยังคงมีกำไรตลอดทั้งปี 2568 ตามรายงานงบการเงิน (ไม่เปลี่ยนแปลง)

ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับไตรมาส 2/2568

  • รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC: 1พันล้านบาท ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • EBITDA: 25.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการ: 60.8%
  • กำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT): 2.0 พันล้านบาท, ปรับปรุงรายการจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะอยู่ที่ 2 พันล้านบาท

เกี่ยวกับบริษัท

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย มุ่งมั่นเสริมสร้างศักยภาพเพื่อทุกคนและธุรกิจด้วยโซลูชันการเชื่อมต่อที่ช่วยพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน บริการด้านเสียงและดาต้าชั้นนำระดับโลกของทรู เปิดประตูสู่ระบบนิเวศด้านไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร ตั้งแต่ความบันเทิงระดับโลก สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับสมาชิก ไปจนถึงการเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อ ด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทรูมีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับสุขภาพ และเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม

Page 1 of 50
X

Right Click

No right click