December 05, 2025

 

 มณฑลกุ้ยโจว ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ที่มีประชากรยากจนมากที่สุดในระดับมณฑลของประเทศจีน ได้เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรให้มีความโดดเด่นและเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการสร้างอุตสาหกรรมหลัก 3 ประเภท ได้แก่ เนื้อวัว ชา และพริก ควบคู่ไปกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมเด่น 5 ประเภท ได้แก่ สมุนไพรจีน เห็ด สาลี่หนาม ชาและน้ำมันจากคามิเลีย และไผ่ เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูชนบทและเพิ่มพูนรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่เมืองถงเหริน ในมณฑลกุ้ยโจว คว้าโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยอาศัยทรัพยากรการเกษตรที่มีความโดดเด่นในพื้นที่ ผลักดันให้อุตสาหกรรมมัทฉะกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนยกระดับอุตสาหกรรมชาให้มีความทันสมัย และพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร

ปัจจุบัน เมืองถงเหรินได้พัฒนาแหล่งปลูกชาเขียวคุณภาพสูงสำหรับการผลิตมัทฉะ ครอบคลุมพื้นที่ 61,600 หมู่ (ประมาณ 4,107 เฮกตาร์) พร้อมทั้งสร้างโรงงานผลิตมัทฉะระดับพรีเมียม ซึ่งนับเป็นโรงงานผลิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีกำลังการผลิตสูงถึง 4,000 ตันต่อปี

 เมืองถงเหริน ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาฟ่านจิ้งซาน แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ได้รับการยกย่องให้เป็น "เมืองหลวงแห่งมัทฉะของจีน" โดยผลิตภัณฑ์มัทฉะจากเมืองถงเหรินส่งออกไปยังหลากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน เมืองจุนอี้ ซึ่งในอดีตเคยเป็นสถานที่จัดการประชุมจุนอี้ (Zunyi Meeting) อันเลื่องชื่อ ในระหว่างการเดินทัพทางไกล (The Long March) ของกองทัพแดงแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมพริกอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์พริกอย่างหลากหลาย ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานการควบคุมคุณภาพ และการวางระบบสนับสนุนด้านนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ

เมืองจุนอี้ได้จัดตั้งตลาดขนาดใหญ่ในตำบลเซี่ยจื่อ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "เมืองพริกจีน" โดยสามารถผลิตพริกได้หลายแสนตันต่อปี เพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอิตาลี

เมืองจุนอี้จำหน่ายพริกแห้งได้มากกว่า 1 พันล้านหยวนต่อปี ขณะที่มูลค่าผลผลิตรวมของห่วงโซ่อุตสาหกรรมพริกทั้งหมดสูงกว่า 2 พันล้านหยวน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่มากกว่า 500,000 ครัวเรือน โดยในจำนวนนี้เป็นครัวเรือนที่เคยยากจนมากกว่า 100,000 ครัวเรือน

ทั้งนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลกุ้ยโจวมีภูมิประเทศแบบคาร์สต์ (Karst) ซึ่งส่งผลให้ดินมีลักษณะแข็งและไม่อุดมสมบูรณ์ สภาพภูมิประเทศเช่นนี้เคยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มณฑลกุ้ยโจวสามารถพลิกฟื้นพื้นที่เนินเขาแห้งแล้งให้กลายเป็นทรัพยากรอันมีค่าด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อำเภอปกครองตนเองเจิ้นหนิง กลุ่มชาติพันธุ์ปู้อี-เหมียว ในเมืองอันซุ่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำตกหวงกั่วซู่อันเลื่องชื่อระดับโลก โดดเด่นด้วยภูมิทัศน์อันงดงามของภูมิประเทศแบบคาร์สต์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อำเภอเจิ้นหนิงได้พลิกฟื้นพื้นที่เนินเขาแห้งแล้งให้กลับมามีชีวิต ด้วยการพัฒนาการปลูกลูกพลัมน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นผลไม้ประจำถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อำเภอเจิ้นหนิงมีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการปลูกพลัม โดยมีปริมาณน้ำฝนน้อย แสงแดดจัด และอุณหภูมิระหว่างกลางวันกับกลางคืนแตกต่างกันค่อนข้างมาก พลัมที่ปลูกในพื้นที่แห่งนี้มีรสชาติหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ คล้ายน้ำผึ้ง จนได้รับการขนานนามว่า "ลูกพลัมน้ำผึ้ง"

ปัจจุบัน พื้นที่ปลูกพลัมน้ำผึ้งขนาด 1 หมู่ สามารถสร้างรายได้มากกว่า 20,000 หยวน ส่งผลให้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รายได้ต่อหัวของชาวบ้านในพื้นที่เพิ่มขึ้นจากไม่ถึง 2,000 หยวน เป็นมากกว่า 22,000 หยวน ตำบลหลิวหม่า ในอำเภอเจิ้นหนิง ได้ก้าวขึ้นเป็น "ตำบลแรกของมณฑลกุ้ยโจวที่มีมูลค่าผลผลิตต่อปีเกิน 1 พันล้านหยวน" ขณะที่ลูกพลัมน้ำผึ้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ระดับชาติ และกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูชนบทของอำเภอเจิ้นหนิง

สำนักเกษตรและกิจการชนบทมณฑลกุ้ยโจวเปิดเผยว่า ด้วยทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอันอุดมสมบูรณ์ มณฑลกุ้ยโจวจึงสามารถต่อยอดและสร้างสรรค์นวัตกรรมในภาคการเกษตรได้อย่างหลากหลาย อาทิ ซุปเปรี้ยวสไตล์กุ้ยโจว และผลิตภัณฑ์จากบัควีท โดยมณฑลกุ้ยโจวจะเดินหน้าพัฒนาสินค้าประจำถิ่นต่อไป เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาอย่างทั่วถึง

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 รัฐบาลประชาชนมณฑลกุ้ยโจว  จัดการประชุมว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมณฑลกุ้ยโจว ครั้งที่ 18 (18th Guizhou Tourism Industry Development Conference) โดยรัฐบาลประชาชนมณฑลกุ้ยโจว ในหัวข้อ “ส่งเสริมการบูรณาการวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวในเชิงลึก และสร้างจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก” ได้จัดขึ้นที่เมืองซิงอี้ มณฑลกุ้ยโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน บนพื้นฐานของ “ความเรียบง่าย ความละเอียดอ่อน ความเอาใจใส่ และความปลอดภัย” เพื่อเป็นการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของมณฑลกุ้ยโจว พร้อมกับบ่มเพาะให้กลายเป็นอุตสาหกรรมหลัก การประชุมว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมณฑลกุ้ยโจวจึงจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา โดยจัดหมุนเวียนไปทั่วทุกเมืองและเขตในมณฑลกุ้ยโจว และประสบความสำเร็จในการจัดงานมาแล้ว 17 ครั้ง

ทั้งนี้ เขตปกครองตนเองชนชาติปู้อีและแม้ว เฉียนซีหนาน (Qianxinan Bouyei and Miao Autonomous Prefecture) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลกุ้ยโจว มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีชื่อเสียงจากทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามและได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดี รวมถึงวัฒนธรรมอันรุ่มรวยของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยทรัพยากรการท่องเที่ยวในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเทือกเขา วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ และโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ โดยภูมิประเทศแบบคาร์สต์ (Karst) ก่อให้เกิดจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ได้แก่ หุบเหวน้ำตกร้อยสายหม่าหลิงเหอ (Maling River Canyon), ป่าหมื่นยอดภูผาว่านเฟิงหลิน (Wanfeng Forest), ทะเลสาบว่านเฟิง (Wanfeng Lake) และกลุ่มหินหลงหัว (Guizhou Longhua Stone Group) นอกจากนั้นยังมีศิลปะการร้องเพลงพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ปู้อีที่เรียกว่า “Eight-Note Seated Singing” อีกด้วย

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขตปกครองตนเองเฉียนซีหนานได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยบูรณาการเข้ากับทรัพยากรการท่องเที่ยวภูเขาที่มีอยู่เดิม โดยมีการเปิดตัวโครงการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหลายโครงการ รวมถึงเส้นทางการท่องเที่ยวคุณภาพเยี่ยมหลายเส้นทาง เพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสุขภาพโดยเฉพาะ

 ที่มา: รัฐบาลประชาชนมณฑลกุ้ยโจว

X

Right Click

No right click