December 05, 2025

ปี 2025 บริบทสำคัญที่มีอิทธิพลและเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางอุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ คือ เทรนด์ผู้บริโภคทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ทั่วโลกต่างมองหาแพ็กเกจจิ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการมาของเทรนด์รักสุขภาพและความเป็นอยู่ดี (Food Wellness) จากการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือแม้แต่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ฯลฯ

ในอุตสาหกรรมแพ็กเกจจิ้งสำหรับบรรจุอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) และอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมียม (Pet-Food) ซึ่งเป็นคอร์ธุรกิจหลักของ บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) ก็เช่นเดียวกัน ผู้บริโภคก็มีแนวโน้มการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสุขอนามัยและความปลอดภัย (Food Safety) และการออกแบบที่สะดวกสะบาย เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

“เอกา โกลบอล” ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ “LIVE A HEALTHIER LIFESTYLE : การกินอยู่อย่างมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น” ได้มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคนิวดิจิทัล โดยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ช่วยยืดอายุอาหาร “เอกา โกลบอล” ออกแบบและผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวางไว้นอกตู้เย็นได้นานกว่า 2 ปี พร้อมรักษาคุณภาพของอาหาร คงรสชาติ คงสีสัน และความปลอดภัยทางอาหารตามมาตรฐานระดับสากล

ทั้งนี้ ยังเพิ่มคุณค่าสินค้าให้กับผู้ประกอบ ด้วยโซลูชั่นบรรจุภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ตอบโจทย์ความยั่งยืนและตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารยุคใหม่โดยเฉพาะ

“เรียกได้ว่าบรรจุภัณฑ์ของเอกา โกลบอล ถูกพัฒนามาเพื่ออำนวยความสะดวกให้ชีวิตประจำวันของเราง่ายขึ้น ทั้งยังมีน้ำหนักเบา มีหลากหลายรูปทรงให้เลือกใช้ สามารถเข้าไมโครเวฟได้ เพียงเปิดแล้ว นำเข้าไมโครเวฟ อุ่นให้ร้อน ก็นำมารับประทานได้ทันที เป็นการเพิ่มโอกาสและติดอาวุธให้ธุรกิจ สามารถตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ และตอบโจทย์ความยั่งยืน โดยสามารถรีไซเคิลได้ 100%” ‘ชัยวัฒน์ นันทิรุจ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) กล่าวเสริม

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกลุ่มบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) ที่ผลิตจากวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น มันสัมปะหลัง ข้าวโพด หรือ อ้อย เป็นต้น บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล ฯลฯ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบผู้สนใจสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค พร้อมยกระดับภาพลักษณ์ธุรกิจให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ และยกระดับธุรกิจสู่มาตรฐานใหม่ระดับโลกด้วย Longevity Packaging ของเอกา โกลบอล บรรจุภัณฑ์อาหารที่ทันสมัยเก็บรักษาคุณภาพความอร่อยได้ยาวนาน ตอบโจทย์ความยั่งยืน และที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด สะดวกใช้ สามารถเยี่ยมชมบูธ “เอกา โกลบอล” ได้ที่งาน “ProPak Asia 2025” งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีด้านกระบวนการผลิต แปรรูปและบรรจุภัณฑ์อันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 11 – 14 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 – 18.00 น. ณ บูธหมายเลข AD65 ฮอลล์ 101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eka-global.com สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่เบอร์โทร. 038-574-187

ปัจจุบัน “งานหัตถศิลป์ทองคำ” กลายเป็นของตกแต่งบ้านยอดนิยม ที่ได้รับความนิยมในฐานะของขวัญ ของมงคล หรือของสะสม โดยมักนำเสนอในรูปลักษณ์ที่หรูหรา งดงาม โดยมักนำเสนอในรูปแบบภาพหรือสิ่งที่เป็นมงคลตามความเชื่อที่ได้รับความนิยมตามศาสตร์ต่าง ๆ โดยมักนำเสนอในรูปแบบภาพหรือสิ่งที่เป็นมงคลตามความเชื่อตามศาสตร์ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยม

เพื่อสร้างความรู้เท่าทันและเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) โดยนายทนง ลีลาวัฒนสุข รองผู้อำนวยการ และ นายจักรพันธ์ สุวรรณวิจิตร หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบโลหะมีค่า ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทคนิคการผลิตภาพหัตถศิลป์ทองคำ และข้อแนะนำสำคัญในการเลือกซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ด้วยความเข้าใจ

สำหรับเทคนิคในการผลิตงานหัตถศิลป์ทองคำนั้น นายจักรพันธ์ สุวรรณวิจิตร หัวหน้าฝ่ายตรวจสอบโลหะมีค่า สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ อธิบายว่า ผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ทองคำนั้น เกิดจากการใช้เทคนิคการผลิตที่เรียกว่า PVD: Physical Vapor Deposition (พีวีดี) และ Electroforming (อิเล็คโทรฟอร์มมิ่ง) โดยมีรายละเอียดดังนี้

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคนิค PVD คือการทำเทคโนโลยีฟิล์มบางลงบนวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้าเช่น ภาพงานหัตถศิลป์ตกแต่งบ้านด้วยหลักการ

§ ใช้สารเคลือบ (ทองคำ 99.99%) หรือโลหะอื่น ๆ ที่ทดแทนโลหะมีค่าได้

§ นำมาระเหยด้วยกระแสไฟฟ้าและผสมกับแก๊สที่สภาวะที่เหมาะสม

§ ทำให้เกิดเป็นสารประกอบเพื่อสามารถยึดเกาะชิ้นงาน

§ ระเหยเคลือบลงบนพื้นผิวชิ้นงาน

§ ความหนาที่ยึดเกาะประมาณ 0.1-0.2 ไมครอน

§ หากนำมาหลอมจะไม่เห็นด้วยตาเปล่าเพราะมีปริมาณทองน้อยมากเมื่อเทียบกับชิ้นงานที่นำมาหลอม

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคนิค Electroforming คือการฟอร์มตัวเครื่องประดับ โดยข้างในชิ้นงานจะมีลักษณะกลวงและน้ำหนักเบา เช่นตุ๊กตาปี่เซี๊ยะ ด้วยหลักการ

§ นำแวกซ์มาขึ้นเป็นรูป

§ เคลือบด้วยแลคเกอร์ของโลหะเงินหรือทองแดงเพื่อให้นำไฟฟ้า

§ เจาะรูเพื่อต้มด้วยใช้ความร้อนนำแวซ์ออก

§ นำไปชุบด้วยทองคำ 99.99%

§ ความหนาที่ยึดเกาะประมาณ 0.1-0.2 มิลลิเมตร

§ หากนำมาหลอมจะเหลือทองให้เห็นมีปริมาณใกล้เคียงตามน้ำหนักของชิ้นงาน

โดยผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นรูปด้วย PVD หรือ Electroforming นั้นส่วนใหญ่จะวิเคราะห์เปอร์เซ็นต์ด้วยวิธี XRF (X-ray Fluorescence) ซึ่งสามารถใช้วิเคราะห์ได้ทั้งชนิดและปริมาณของธาตุ แต่ข้อจำกัดของเทคนิคนี้คือสามารถวิเคราะห์โลหะบนพื้นผิวชิ้นงานได้ไม่เกิน 15 ไมครอน (สำหรับทองคำ) โดยสถาบันฯ มีการตรวจวิเคราะห์อ้างอิงตามมาตรฐาน ISO/IEC17025 และ GIT Standard อย่างครบถ้วนและได้ผลถูกต้องทุกประการตามข้อจำกัดของเทคนิคและผลิตภัณฑ์ที่ระบุไว้ ซึ่งหากนำมาตรวจด้วยเทคนิค XRF แล้วพบว่าได้ 99.99% นั้นก็เนื่องจากเป็นความบริสุทธิ์ของทองคำที่วิเคราะห์จากผิวชิ้นงานจากการทำ PVD ซึ่งเป็นความบริสุทธิ์ของทองคำที่เคลือบไว้นั่นเอง แต่จะมีปริมาณทองคำน้อยและบางมาก ต่างจากกรณีการทำ Electroforming ซึ่งเป็นการขึ้นรูปด้วยทองคำ 99.99% น้ำหนักของชิ้นงานที่ได้ก็คือน้ำหนักของทองคำนั่นเอง

“งานที่ใช้เทคนิค PVD ด้วยทองคำ 99.99% นั้น ต้องใช้เทคโนโลยีและเทคนิคในการแปรรูปทองคำให้อยู่ในอนุภาคเล็กเพื่อให้สามารถพ่นเคลือบลงไปในวัสดุรูปต่าง ๆ ได้ จึงมีต้นทุนในการผลิต เช่นเดียวกันหากจะนำชิ้นงานมาแปรรูปกลับไปเป็นทองคำเช่นเดิมก็ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาด้วยว่าคุ้มค่ากับมูลค่าทองคำที่จะได้กลับมาหรือไม่ ดังนั้น ผู้บริโภคควรตั้งคำถามก่อนว่า เราซื้อสินค้าประเภทนี้เพราะอะไร เป็นของขวัญตกแต่งบ้านใช่หรือไม่ หากซื้อเพื่อการสะสมหรือการลงทุน นอกจากต้องขอใบรับรองและตรวจสอบวัสดุให้ชัดเจนแล้ว อาจพิจารณาการลงทุนด้วยด้วยผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่นทองคำแท่ง หรือทองคำรูปพรรณ เป็นต้น” นายจักรพันธ์ สุวรรณวิจิตร กล่าว

ด้าน นายทนง ลีลาวัฒนสุข รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ กล่าวว่าในฐานะสถาบันวิจัยชั้นนำของประเทศ GIT มีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของวัสดุที่ใช้ในอัญมณีและเครื่องประดับ รวมถึงโลหะมีค่า ด้วยเครื่องมือมาตรฐานระดับสากล ผู้บริโภคสามารถนำสินค้ามาวิเคราะห์องค์ประกอบเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ หรือขอคำปรึกษาเรื่องการซื้อขายทองคำในเชิงวิชาการ

“ภาพหัตถศิลป์ทองคำ” เป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม แต่ในเชิงพาณิชย์ ผู้บริโภคจำเป็นต้องรู้เท่าทันข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถเลือกซื้อได้ตรงตามความต้องการ โดย GIT พร้อมเป็นหน่วยงานกลางในการให้ความรู้และวิเคราะห์องค์ประกอบทางวัสดุ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและเสริมสร้างความโปร่งใสในตลาดอัญมณีและเครื่องประดับไทย” นายทนง ลีลาวัฒนสุข กล่าวเสริม พร้อมแนะนำหลักง่าย ๆ ในการเลือกซื้อภาพหัตถศิลป์ทองคำ ว่าควรพิจารณา 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้:

1. เข้าใจกลุ่มผลิตภัณฑ์ และมีวัตถุประสงค์ในการซื้อที่ชัดเจน

o พิจารณากลุ่มสินค้าที่ต้องการซื้อว่าเป็นประเภทใด เช่น หากต้องการซื้อเพื่อการสะสมหรือลงทุน ควรซื้อทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณ พร้อมใบรับรอง แต่หากเป็นสินค้าเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น ตกแต่งบ้าน สินค้าตามความเชื่อ ควรจะสอบถามถึงวัสดุในการผลิตสินค้า พร้อมพิจารณาราคาซื้อขายที่พอใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เป็นต้น

2. ผู้ผลิตและแหล่งที่ซื้อ

o ผู้ผลิตมีความน่าเชื่อถือ มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

3. การขอใบรับรอง และข้อมูลวัสดุอย่างละเอียด

o ผู้ซื้อควรถามหาข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ เช่น ความบริสุทธิ์ของทองคำ น้ำหนักทอง เทคนิค และกระบวนการการผลิตให้เกิดความชัดเจน จนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง

o หากเป็นทองคำแท้ ควรสามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ด้วยวิธีที่ถูกต้องจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือได้ เช่น GIT และควรมีใบรับรองผลิตภัณฑ์

o หรือมองหาสัญลักษณ์และใบรับรองภายใต้โครงการซื้อด้วยความมั่นใจ Buy with confidence (BWC)

o คำว่า “เคลือบทอง” หรือ “ทองพ่น” ล้วนมีความหมายที่แตกต่างจาก “ทองคำแท้เพื่อการลงทุน” เพราะแม้วัสดุที่ใช้ในการเคลือบชิ้นงานจะเป็นทองคำ 99.99% แต่มีความหนาเพียง 0.1-0.2 ไมครอนทำให้มีปริมาณทองน้อยมาก

o ควรพิจารณาคำอธิบาย และสอบถามข้อมูลจากผู้ขายอย่างละเอียด

· 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจ่ายค่าบริการกับการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน

· ผลวิจัยฉบับนี้เป็นตัวแทนผู้บริโภค 1.1 พันล้านราย ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G อยู่ 750 ล้านราย

· รายงานนี้ยังชี้ให้เห็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP)

ผลวิจัยล่าสุดจาก Ericsson (NASDAQ: ERIC) ConsumerLab เผยการใช้แอปพลิเคชัน Generative AI กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความสนใจกับการเชื่อมต่อที่แตกต่างตามการใช้งานที่จำเป็นของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ทั่วโลก พร้อมรับประกันว่าการเชื่อมต่อจะมีคุณภาพอยู่ในระดับไฮเอนด์และไม่สะดุดในเวลาที่ต้องการใช้งานมากที่สุด

จากจำนวนเจ้าของสมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Generative AI อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้สอดคล้องกับยูสเคสการใช้งานเครือข่ายที่มีความแตกต่างกันเช่นวิดีโอคอล สตรีมมิ่ง และการชำระเงินออนไลน์ ที่ผู้ใช้ระบุว่าพวกเขาเต็มใจจ่ายเพิ่มกับบริการในระดับพรีเมียม

บริการเชื่อมต่อที่มีความแตกต่างและผู้บริโภคที่เต็มใจจ่ายค่าบริการให้กับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร (CSP) เพื่อรับประกันว่าจะได้รับการเชื่อมต่อประสิทธิภาพสูงในการใช้งานแอปที่จำเป็น เป็นหัวข้อในรายงานระดับโลกล่าสุดจาก Ericsson ConsumerLab ในชื่อว่า Elevating 5G with Differentiated Connectivity ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

เกือบ 1 ใน 4 ของผู้ใช้ Gen AI ระบุว่ายินดีจ่ายค่าบริการเพิ่ม 35% กับบริการที่รับประกันว่าจะได้รับประสบการณ์การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและปลอดภัยระหว่างที่ใช้แอปพลิเคชันที่มีความจุสูง

ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า 35% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G สนใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการเชื่อมต่อที่แตกต่างกันสำหรับใช้งานแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่าง ๆ

รายงานฉบับนี้ ยังระบุถึงโอกาสต่าง ๆ ในการสร้างรายได้สำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสารอีกด้วย

แจสมีต เซธิ หัวหน้าฝ่ายวิจัย ConsumerLab ของอีริคสัน กล่าวว่า “ผลการวิจัยล่าสุดในรายงาน Ericsson ConsumerLab เผยว่า เมื่อแอปพลิเคชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น ความคาดหวังของผู้ใช้ต่อประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ดีก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคคาดหวังความสามารถในอนาคตของแอปพลิเคชัน AI ที่อาจเกี่ยวข้องกับ การสร้างภาพ เสียง หรือวิดีโอ และพวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายค่าบริการเพื่อให้ได้ความสามารถเหล่านั้นมาใช้ทำงานที่ได้ความรวดเร็วและมีคุณภาพสูง

นี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโอกาสของผู้ให้บริการทั่วโลกที่จะสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ด้วยการมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ปรับแต่งได้”

เซธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อผู้ให้บริการปรับใช้โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ จะมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากบริการเชื่อมต่อที่แตกต่าง รวมถึงการนำเสนอแพ็กเกจบริการที่สามารถปรับแต่งและการรับประกันคุณภาพการเชื่อมต่อที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มในตลาด”

“การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ของบริการ 5G เพิ่มขึ้น 5-12% เนื่องจากผู้ใช้งานต้องการประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้และมีการรับประกันสำหรับแอปพลิเคชันเฉพาะด้าน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสปลดล็อกช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากความต้องการอย่างมีนัยสำคัญของกลุ่มผู้ใช้บริการ 5G ที่ต้องการใช้แอปประสิทธิภาพสูง โดย 1 ใน 3 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G ยินดีจัดสรรงบประมาณ 10% จากค่าใช้จ่ายแอปมือถือในปัจจุบัน เพื่อมาซื้อแอปที่มีคุณภาพการเชื่อมต่อสูงอยู่ในตัว ด้วยการเปิดให้นักพัฒนาเข้าถึง Network APIs แบบ Quality on Demand (QoD) ทำให้ผู้ให้บริการฯ สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ และช่วยให้นักพัฒนาสามารถนำเสนอประสบการณ์ระดับพรีเมียมที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมปลดล็อกช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ในกระบวนการนี้ได้” เซธิ กล่าวเพิ่ม

ประเด็นสำคัญ:

· พร้อมจ่ายค่าบริการเพิ่ม: 35% ของผู้ใช้ 5G ทั่วโลก ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อรับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่างกัน เพื่อรับประกันประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกับงานที่มีความสำคัญ

· กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นใจ หรือ Assurance Seekers: แม้จะมีความเชื่อว่าผู้ใช้จะไม่ยอมจ่ายค่าบริการเครือข่ายเพิ่ม แต่ผลสำรวจพบว่า 20% ของผู้ใช้งาน ซึ่งเรียกว่า 'Assurance Seekers' กำลังมองหาการเชื่อมต่อคุณภาพสูงเพื่อใช้แอปพลิเคชันสำคัญและพวกเขาเต็มใจจะจ่ายเพิ่ม

· ความต้องการใช้แอป Gen AI: คาดว่าจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ใช้แอป Gen AI รายสัปดาห์จะเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดย 1 ใน 4 ของผู้ใช้ AI ในปัจจุบัน เต็มใจจ่ายค่าบริการเพิ่มถึง 35% เพื่อแลกกับบริการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพแตกต่าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประสิทธิภาพที่รวดเร็วและตอบสนองเป็นอย่างดีเมื่อใช้แอป AI

· ความสนใจระดับภูมิภาค: ตลาดอินเดีย ประเทศไทยและซาอุดีอาระเบีย มีสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่สนใจบริการเชื่อมต่อที่แตกต่างหรือ Differentiated Connectivity มากกว่าฝรั่งเศสและสเปนถึง 2 เท่า

· 5 ขั้นตอนสำหรับผู้ให้บริการ: รายงานฉบับนี้ยังได้นำเสนอการวางแนวทางสำหรับผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร เพื่อเปลี่ยนจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มือถือทั่วไป ไปสู่โมเดลที่ขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพและแพลตฟอร์ม ซึ่ง Network APIs จะช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างประสบการณ์การใช้แอปที่ปรับแต่งเฉพาะได้

การสำรวจนี้เป็นการสำรวจทางออนไลน์กับผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวนมากกว่า 23,000 ราย และมากกว่า 17,000 รายเป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G โดยมีอายุระหว่าง 15-69 ปี ครอบคลุมใน 16 ตลาดสำคัญทั่วโลก นักวิจัยของอีริคสันยังระบุว่าการสำรวจนี้เสมือนเป็นตัวแทนผู้ใช้บริการมือถือ 1.1 พันล้านคนโดยในจำนวนนี้เป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G 750 ล้านราย

ผู้ใช้บริการ 5G ที่ร่วมการสำรวจมาจาก: ออสเตรเลีย, บราซิล, แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, ฮ่องกง, อินเดีย, ซาอุดีอาระเบีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, สเปน, ไต้หวัน, ไทย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา

NielsenIQ (NIQ) บริษัทวิจัยผู้บริโภคชั้นนำของโลกด้านข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค ได้เปิดเผยถึงรายงานแนวโน้มผู้บริโภคในประเทศไทยช่วงกลางปี พ.ศ. 2567 ชี้ให้เห็นถึงมุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภค ในขณะชาวไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น 

ความเชื่อมั่นทางการเงินและความกังวลหลัก 

รายงานได้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เป็นจุดเด่นว่า ผู้บริโภคถึง 84% กำลังแสวงหาแหล่งรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ การเพิ่มขึ้นในจุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผลักดันให้ประเทศมีความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางตัวเลขการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ 29% ของผู้บริโภคได้รายงานว่าสถานะทางการเงินของตนนั้นดีขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 24% แต่มีผู้บริโภคถึง 35% รู้สึกว่าสถานะทางการเงินของตนแย่ลง ถึงแม้ว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นจาก 48% ในช่วงต้นปีก็ตาม อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ เนื่องจากผู้บริโภคถึง 36% ได้แสดงถึงความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 32% เมื่อปีที่แล้ว 

การใช้จ่ายเชิงกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล 

แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคชาวไทย 43% เชื่อว่าความมั่นคงทางการเงินของครอบครัวยังคงไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้จะมีความระมัดระวังมากขึ้นในการใช้จ่าย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 

เพื่อรับมือกับแรงกดดันด้านต้นทุน ผู้บริโภคชาวไทย 45% เลือกที่จะซื้อของออนไลน์เพื่อรับข้อเสนอที่ดีกว่า ลดการเดินทาง และประหยัดค่าน้ำมัน การเปลี่ยนแปลงนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสะดวกสบายและความสามารถในการตัดสินใจใช้จ่ายของผู้บริโภค  เนื่องจากงบประมาณครัวเรือนตึงตัว ผู้บริโภคชาวไทย 25% จึงเปลี่ยนมาซื้อสินค้าจำนวนมากเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากต้นทุนต่อการใช้งานที่ลดลง นอกจากนี้ 80% ของผู้บริโภคมีความชื่นชอบต่อผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้มีราคาจับต้องได้มากที่สุด ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสที่ธุรกิจต่างๆ จะสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยโซลูชันที่คุ้มต้นทุน 

สุขภาพและการเป็นอยู่ภายในบ้าน - Centric Lifestyles 

รายงานได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในทิศทางของมูลค่าระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด โดยผู้บริโภค 76% ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อผลิตภัณฑ์ที่ทนทานกว่า เพื่อลดความจำเป็นในการเปลี่ยนบ่อยครั้ง นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์ภายในบ้านมากกว่าความบันเทิงภายนอก ซึ่งเน้นย้ำถึงความชอบในการทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจที่บ้านเพื่อลดต้นทุนโดยรวม 

นอกจากนี้ การใช้จ่ายด้านสุขภาพก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย 74% ที่มีการเพิ่มการใช้จ่ายในวิตามินและอาหารเสริมเพื่อสนับสนุนความเป็นอยู่โดยรวม แนวโน้มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางต้นทุนการดูแลสุขภาพและการตระหนักรู้เกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้นด้วย

อิทธิพลของโลกดิจิทัลและการบริโภคอย่างชาญฉลาด 

อิทธิพลของโซเชียลมีเดียยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคชาวไทย 76% ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 46% อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ผู้บริโภค 22% ชอบใช้อุปกรณ์อัจฉริยะ อาทิ ตู้เย็นที่มีเซ็นเซอร์ เพื่อช่วยจัดการและเติมสิ่งของในครัวเรือนโดยอัตโนมัติ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มของการบริโภคที่เน้นความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้น 

แนวโน้มที่ต้องจับตามองในอนาคต 

การพาณิชย์ทางโซเชียล ประสบการณ์แบบ Omni-channel การผสานรวม AI และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน ทุกปัจจัยมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคในปี พ.ศ. 2568 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการคาดการณ์ว่าผู้บริโภคชาวไทย 1 ใน 3 จะเลือกซื้อของทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้แนวโน้มการค้าปลีกเปลี่ยนแปลงไปด้วย  

สำหรับธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดที่เปลี่ยนแปลงนี้ การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงให้แก่ผู้บริโภคและการเสนอข้อเสนอในหลายๆ วิธีถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เมื่อการฟื้นตัวของผู้บริโภคดำเนินไปอย่างช้าๆ ผลิตภัณฑ์ที่มอบทั้งความคุ้มราคาและนวัตกรรมจึงมีแนนโน้มที่จะสามารถดึงดูดความภักดีของผู้บริโภคในระยะยาวได้ 

APCO ส่งผลงานนวัตกรรม ByeByeHIV 50 รายแรกของโลก กำจัดเซลล์ติดเชื้อ HIV ไร้ผลข้างเคียง สุขภาพดีขึ้นต่อเนื่อง เผยแพร่ในวารสาร Clinical Immunology & Research ตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภค สร้างโอกาสความร่วมมือพันธมิตรใหม่ ตั้งเป้าช่วยเหลือผู้ติดเชื้อทั่วโลก

ศ. ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงาม ด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจัดจำหน่ายครบวงจร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เปิดเผยว่า นวัตกรรม ByeByeHIV จาก APCO ได้รับการยอมรับและเผยแพร่ในวารสาร Clinical Immunology & Research ซึ่งเป็นวารสารวิชาการแบบออนไลน์ ชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ที่บรรจุเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลกอย่างเป็นกลาง และได้รับการทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง (Peer-Review) จึงสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาติ และถือเป็นโอกาสที่ดีในการทำธุรกิจของ APCO รวมถึงส่งเสริมให้พันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ เชื้อ HIV ซึ่งจะกลายเป็นโรค AIDS ระยะลุกลาม เกิดขึ้นตั้งแต่ 40 ปีที่แล้ว จนบัดนี้ ยังไม่มียาใดที่สามารถจัดการโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย อีกทั้งความพยายามในการพัฒนาวัคซีนยังไม่ประสบความสำเร็จ จนถึงปัจจุบัน ByeByeHIV จึงเป็นถือเป็นนวัตกรรมของชาติไทยที่สร้างประวัติศาสตร์ของการจัดการกับเชื้อ HIV/AIDS ของโลก

คณะนักวิจัย Operation BIM ประสบความสำเร็จในการใช้สูตร ByeByeHIV ซึ่งเกิดขึ้นจากสูตรเสริมฤทธิ์ของสารสกัด มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และบัวบก จัดการกับปัญหานี้ได้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว สามารถทำให้ผู้ที่ติดเชื้อตรวจไม่พบเชื้อ และมีคุณภาพชีวิตเป็นปกติ รวมทั้งสิ้น 24 ราย นานที่สุด 8 ปี แม้ว่าจะหยุดใช้สูตร ByeByeHIV แล้วก็ยังมีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่อง โดยตรวจไม่พบเชื้อ นับเป็นความสำเร็จที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์จากประเทศใดทำได้สำเร็จเลย

ขณะเดียวกัน สูตร ByeByeHIV ได้ช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS 26 ราย ซึ่งอยู่ในระหว่างการรักษาด้วยยารักษาเอดส์ แต่ต้องทรมานจากผลข้างเคียงของยา สามารถหยุดการใช้ยาได้และมีคุณภาพชีวิตเหมือนคนปกติ แม้จะหยุดใช้สูตร ByeByeHIV ก็ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงและตรวจไม่พบเชื้ออย่างต่อเนื่อง ในจำนวนนี้มีผู้ที่ติดเชื้อจากมารดา รวมทั้งผู้ที่เป็นมะเร็งร่วมที่สมอง ช่องท้อง และไขสันหลัง ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่าจะเสียชีวิต ภายใน 3 เดือน แต่ก็สามารถกลับมีคุณภาพชีวิตเป็นปกติต่อเนื่องแล้วเป็นเวลากว่า 8 ปี โดยไม่ต้องใช้เคมีบำบัด และรังสีบำบัดจัดการกับมะเร็งเลย

จากประสบการณ์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็นทั้งเอดส์และมะเร็ง ให้กลับเป็นปกติ ทำให้คณะนักวิจัยฯ สามารถใช้ความรู้นี้ในการพัฒนาสูตรที่จัดการกับมะเร็งทุกๆ ระยะ ตลอดจนอยู่ในระหว่างการพัฒนาสูตรป้องกันมะเร็งที่ใช้ได้อย่างสะดวกในราคาที่เหมาะสม ซึ่งควรจะทำให้ APCO มีผลประกอบการที่เพิ่มมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click