

ธนาคารกสิกรไทย ได้รับเลือกให้รับรางวัลธนาคารที่ดีที่สุดของไทย (Thailand’s Best Bank) ประจำปี 2568 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จากการประกวด Euromoney Awards for Excellence 2025 ซึ่งเป็นรางวัลในวงการการเงินที่ได้รับความเชื่อถือสูงสุดรางวัลหนึ่งของโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยการยกระดับและปลดล็อกศักยภาพของทุกชีวิตและธุรกิจ นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ พร้อมนวัตกรรมดิจิทัล ให้ลูกค้าได้ใช้บริการอย่างสะดวกและปลอดภัยในทุกที่ ทุกเวลา โดยใช้ยุทธศาสตร์ "3+1 and Productivity Strategy" พัฒนาโซลูชันทางการเงินที่ลูกค้าไว้วางใจและมีนวัตกรรม ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาค ASEAN+3
ยูโรมันนี่ (Euromoney) นิตยสารด้านการเงินชั้นนำระดับโลกได้เปิดเผยผลการพิจารณารางวัลในโครงการ Euromoney Awards for Excellence 2025 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องกว่า 30 ปี เพื่อยกย่องธนาคารและบุคลากรในแวดวงการเงินที่มีความโดดเด่น โดยปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในรางวัลสำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมการเงินระดับโลก ที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง โดยในปี 2568 นี้ มีธนาคารกว่า 600 แห่ง จากราว 100 ประเทศทั่วโลก ส่งข้อมูลเข้าร่วมรับการพิจารณารางวัล สำหรับประเทศไทย ยูโรมันนี่ได้ประกาศให้ธนาคารกสิกรไทยได้รับรางวัลธนาคารที่ดีที่สุดของไทย (Thailand’s Best Bank) ประจำปี 2568 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จากความสำเร็จในการดำเนินยุทธศาสตร์ ‘3+1 และ Productivity Strategy’ ที่ส่งผลให้ธนาคารมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่ง และความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมดิจิทัลสำหรับลูกค้ารายย่อย สามารถขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอนและความท้าทายทางเศรษฐกิจของไทย
รางวัลดังกล่าวตอกย้ำความสำเร็จของธนาคารกสิกรไทยที่สามารถครองความเป็นผู้นำบริการทางการเงินในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ #1 ด้านบริการธนาคารดิจิทัลในประเทศไทย #1 ด้านกองทุนรวม (มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร) #1 ด้านบริการไพรเวทแบงก์กิ้ง (จำนวนลูกค้า) #1 ด้านบัตรเครดิต (ยอดการใช้จ่าย) #1 ด้านคะแนนความนิยมของแบรนด์ (Brand Net Promoter Score) และ K PLUS แพลตฟอร์มโมบายแบงก์กิ้งของธนาคาร ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 23 ล้านราย และรองรับธุรกรรมออนไลน์มากกว่าหนึ่งในสามของทั้งประเทศ

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การได้รับรางวัลธนาคารที่ดีที่สุดของไทยจากยูโรมันนี่เป็นปีที่สองติดต่อกัน ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งและเป็นกำลังใจสำคัญให้ธนาคารมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่เกิดขึ้น อีกทั้งความสำเร็จในครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจของทุกคนในองค์กร ที่ยึดมั่นในยุทธศาสตร์ ‘3+1 และ Productivity Strategy’ ซึ่งเน้นการเติบโตอย่างสมดุล มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน เราเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ยังช่วยให้สามารถส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแท้จริง โดยตลอด 80 ปีที่ผ่านมา ความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นแรงผลักดันสำคัญ และเราจะยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้ ‘ทุกความประทับใจ...ยังคงไปได้อีก’ อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ "3+1 and Productivity Strategy" คือ แผนการดำเนินงานและเป้าหมายทางธุรกิจที่ธนาคารกสิกรไทยดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2567 โดยมุ่งเน้นไปที่การเติบโตอย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน คือ การยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพด้านสินเชื่อ การขยายธุรกิจที่สร้างรายได้ค่าธรรมเนียม การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับช่องทางต่าง ๆ และ 'บวกหนึ่ง' คือการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ในระยะกลางและระยะยาว โดยสิ่งที่ธนาคารเน้นเพิ่มขึ้นในปี 2568 นี้ คือ ยุทธศาสตร์ Productivity ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มผลิตภาพจากการดำเนินงาน และตอบโจทย์การใช้ชีวิต มอบประสบการณ์บริการอย่างไร้รอยต่อและปลอดภัยให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น
KBTG ในฐานะผู้พัฒนาแอปพลิเคชันจัดการเงิน MAKE by KBank พบเทรนด์การเงินของคนไทยกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เน้นเพียงการออมเงิน โดยปัจจุบันผู้ใช้งานส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับการ “แบ่งเงินเพื่อคุมรายจ่ายในชีวิตประจำวัน” มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงการมีวินัยทางการเงินที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำการพัฒนา Cloud Pocket ให้มีประสิทธิภาพ หนุนความนิยมต่อเนื่อง
นายเชษฐพันธุ์ ศิริดานุภัทร Managing Director กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานแอปพลิเคชัน MAKE by KBank ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญกับวางแผนบริหารเงินอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น โดยใช้วิธี “แบ่งเงินเพื่อคุมรายจ่ายในชีวิตประจำวัน” สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจาก “การออมเงินอย่างเดียว” ไปสู่ “การวางแผนใช้จ่ายอย่างมีระบบ” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของวินัยทางการเงินที่ยั่งยืน
จากข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน MAKE by KBank พบว่าประเภท Cloud Pocket หรือ “กระเป๋าย่อย” ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปีนี้ ได้แก่ “เงินใช้รายวัน/สัปดาห์/เดือน” “เงินค่าการเดินทาง” “เงินเพื่อจ่ายหนี้” และ “ค่าเบี้ยประกัน” แทนที่ประเภท “เงินเก็บ” ซึ่งเคยเป็น Cloud Pocket ประเภทยอดนิยมในปี 2567 โดย 6 ใน 10 ของ Cloud Pocket ที่ถูกสร้างขึ้นจะเกี่ยวกับ “รายจ่าย” เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ และค่าไฟ ส่วน Cloud Pocket ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ได้แก่ หมวดค่าที่อยู่อาศัย ที่มีการสร้างเพิ่มขึ้นถึง 9 เท่า และหมวดเกี่ยวกับกิจกรรมวิ่ง เช่น “รองเท้า” หรือ “มาราธอน” ที่โตขึ้นกว่า 3 เท่า ซึ่งการแบ่งเงินก่อนใช้ด้วย Cloud Pocket ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมรายจ่ายได้ดีขึ้น แต่ยังมีผลต่อการออมโดยตรง ผู้ใช้สามารถสร้างกระเป๋าเงินแยกได้ไม่จำกัดตามเป้าหมายได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะแบ่งเก็บออม หรือแบ่งใช้ตามค่าใช้จ่ายที่มี จากสถิติสะท้อนว่า ผู้ที่ใช้ Cloud Pocket สามารถเก็บเงินได้มากกว่าผู้ที่ไม่มี Cloud Pocket ถึง 40% โดยกลุ่ม Gen Z นิยมแบ่งเงินแบบรายสัปดาห์ ขณะที่ Gen Y เลือกจัดการแบบรายเดือน

ทั้งนี้ ในปี 2568 แอปพลิเคชัน MAKE by KBank ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดการการเงินด้วยการเปิดตัว Cloud Pocket ใหม่ 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. “Cloud Saving” หรือ Cloud ออมต่อเนื่อง ที่ออกแบบมาในรูปแบบปฏิทินออมเงิน สามารถกำหนดรูปแบบการออมได้แบบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนได้ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการสร้างวินัยการออมหรือวางแผนออมเงินสำรองฉุกเฉิน 2. “Cloud Wishlist” หรือ Cloud เก็บเงินตามความฝัน ที่จะทำให้ทุกเป้าหมายใหญ่เป็นจริงได้ง่ายขึ้น ด้วยการตั้งระยะเวลาของเป้าหมายและเฉลี่ยจำนวนเงินที่ต้องเก็บแบบรายเดือน เหมาะสำหรับการเก็บเงินเพื่อเป้าหมายที่มีระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น ท่องเที่ยว ซื้อของ หรือการเตรียมเงินเพื่อจ่าย 3. “Cloud Credit Card” หรือ Cloud เตรียมจ่ายบัตรเครดิต สำหรับแจ้งเตือนให้เตรียมเงินชำระบิลบัตรเครดิตอย่างเป็นระบบ สามารถเพิ่มรายการใช้บัตร และย้ายเงินเข้าตามรายการใช้บัตรพร้อมกันได้หลายรายการ ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถอัพเกรด Cloud Pocket เดิมมาใช้รูปแบบใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือสร้างซ้ำ เพียงเข้าไปที่ Cloud Pocket ที่ต้องการ เลือกสัญลักษณ์สามจุดมุมขวาบน จากนั้นเลือก ตั้งค่า Cloud Pocket เพื่อเปลี่ยนประเภท
นายเชษฐพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแบ่งเงินอย่างมีระบบเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นคงทางการเงินที่แท้จริง MAKE by KBank จึงมุ่งมั่นพัฒนาฟีเจอร์และประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการขยายพันธมิตรด้านการทำธุรกรรมทั้งการเติมเงิน-จ่ายบิล ครอบคลุมทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าอินเทอร์เน็ต และจ่ายชำระเงินบัตรเครดิต เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานให้การจัดการเงินในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องง่ายและสนุก สามารถวางแผน จัดการรายรับรายจ่าย และบรรลุเป้าหมายทางการเงินของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพในแอปเดียว
ผู้ที่สนใจต้องการเริ่มวางแผนบริหารจัดการการเงินผ่านแอป MAKE by KBank สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทาง App Store และ Google Play คลิก https://makebykbank.onelink.me/v9lf/MAKE2025 หรืออ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้ที่ https://makebykbank.kbtg.tech/
ธนาคารกสิกรไทย และบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (MOU) เชื่อมต่อแพลตฟอร์ม SKILLKAMP และ Chula Lifelong Learning (Chula X) เพื่อยกระดับศักยภาพการเรียนรู้และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงหลักสูตรคุณภาพที่อยู่บน 2 แพลตฟอร์ม รวมกว่า 1,000 รายวิชา ได้อย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมทั้งวิชาการและทักษะดิจิทัล รองรับการ Upskill-Reskill ทุกช่วงวัย โดยคาดหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยพัฒนาทักษะและสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปได้อีก พร้อมเดินหน้าเปิดให้บริการเรียนรู้เต็มรูปแบบในปี 2569
ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและ AI (Artificial Intelligent) ที่เข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม ตลาดแรงงานไทยจำเป็นต้องเร่งเพิ่มบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัล โดยคาดการณ์ว่าในอีก 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะต้องการบุคลากรด้านนี้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ตำแหน่ง ขณะที่องค์กรต่าง ๆ มีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะด้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกสิกรไทย จึงได้พัฒนา SKILLKAMP ขึ้นมา เพื่อเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาทักษะดิจิทัล ที่รวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์ชั้นนำ รวมถึงมีการสอบประเมินทักษะและต่อยอดโอกาสในการทำงานกับองค์กรชั้นนำอีกด้วย สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (MOU) กับบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาและพัฒนาแนวทางการเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม SKILLKAMP และ Chula Lifelong Learning หรือ Chula X ในครั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างการเข้าถึงหลักสูตรคุณภาพมากกว่า 1,000 รายวิชา ครอบคลุมทั้งวิชาการและทักษะดิจิทัล รองรับการ Upskill-Reskill ทุกช่วงวัย ส่งเสริมการเรียนของนักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับศักยภาพบุคลากรไทย สู่ตลาดแรงงานในอนาคต โดยผู้เรียนสามารถเข้าสื่อการเรียนการสอนระหว่าง 2 แพลตฟอร์มได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกและโอกาสการเรียนรู้ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น
รศ.ดร.ธิติ บวรรัตนารักษ์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีพันธกิจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Chula Lifelong Learning Ecosystem) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่หลากหลายและมีคุณภาพสำหรับคนไทยทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตและการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา อันเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสู่สังคมไทย เพื่อสร้างสมรรถนะและทักษะที่รองรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในศตวรรษที่ 21 โดยระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “Chula Lifelong Learning (Chula X) ได้พัฒนาเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่รวบรวมองค์ความรู้หลายศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและบูรณาการความร่วมมือข้ามศาสตร์ ครอบคลุมทักษะด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ การจัดการ การตลาด ภาษา สุขภาพ ศิลปะ และการพัฒนาตนเอง ซึ่งจัดการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์ พร้อมระบบการสะสมและเทียบโอนหน่วยกิตเข้าสู่หลักสูตรได้อย่างเป็นระบบ”
“Chula X” ไม่เพียงสร้างโอกาสในการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างผู้นำที่มีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต สามารถต่อยอดองค์ความรู้และสร้างโอกาสการทำงานในอนาคต สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ “Impactful Growth” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตอย่างรอบทิศ
เพื่อพัฒนาและช่วยเหลือสังคมอย่างเป็นรูปธรรม” และที่สำคัญความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ และธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล” รศ.ดร.ธิติ บวรรัตนารักษ์ กล่าวเพิ่มเติม
ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ กล่าวในตอนท้ายว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง การเชื่อมต่อของ 2 แพลตฟอร์มช่วยเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาและสร้างบุคลากรคุณภาพที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน และส่งเสริมระบบการเรียนรู้ที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของประเทศไทยต่อไป พร้อมเดินหน้าสู่การให้บริการเต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการในปี 2569 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.skillkamp.com หรือสอบถามที่ LINE OA: @skillkamp
ธนาคารกสิกรไทยร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านนวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัว D.E.A.L. (Digital Easy Application for Loan) แพลตฟอร์มสินเชื่อดิจิทัลครบวงจรที่ศุภาลัยพัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมได้ง่าย รวดเร็ว ตั้งแต่การประเมินความพร้อม เปรียบเทียบข้อเสนอ และยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารได้ครบจบในที่เดียว พร้อมมอบสิทธิพิเศษจากธนาคารกสิกรไทยสำหรับลูกค้าศุภาลัยโดยเฉพาะ อัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 1.80%* หรือเลือกฟรีค่าธรรมเนียมการจดจำนอง พร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3.30%** เมื่อสมัครและยื่นขอสินเชื่อผ่านแพลตฟอร์ม D.E.A.L ภายในวันที่ 1 ก.ย. 68 - 30 ก.ย. 68 และจดจำนองภายใน 31 ต.ค. 68 นี้
นายณัฐพล ลือพร้อมชัย รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “จากสถานการณ์ในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันและความท้าทาย โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่ 87.4% ของจีดีพี ความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกและภัยพิบัติที่กระทบความเชื่อมั่น ทำให้ครัวเรือนมีข้อจำกัดเรื่องการใช้จ่าย และต้องชะลอการใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ออกไป โดยเฉพาะภาคที่อยู่อาศัย ส่งผลให้การเติบโตของสินเชื่อบ้านปล่อยใหม่ของระบบแบงก์ ในครึ่งแรกของปีหดตัวลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำหรือไม่เติบโตในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่อยู่อาศัยในปีนี้ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยในฐานะพันธมิตร และศุภาลัย ในฐานะผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม “D.E.A.L.” จึงเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินเชื่อบ้านที่เหมาะสมได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งธนาคารกสิกรไทย ยังมอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมในโครงการของศุภาลัย ด้วยโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 1.80%* หรือเลือกฟรีค่าธรรมเนียมการจดจำนอง พร้อมอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3.30%** เมื่อสมัครและยื่นขอสินเชื่อผ่านแพลตฟอร์ม D.E.A.L ภายในวันที่ 1 ก.ย. 68 - 30 ก.ย. 68 และจดจำนองภายใน 31 ต.ค. 68 เพื่อบรรเทาภาระทางการเงิน และพร้อมเป็นแรงสำคัญในการผลักดันตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แพลตฟอร์ม ‘D.E.A.L.’ (Digital Easy Application for Loan) เป็นการปฏิวัติวงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้วยแพลตฟอร์มที่ศุภาลัยพัฒนาขึ้น เพื่อยกระดับกระบวนการขอสินเชื่ออย่างครบวงจร เป็นรายแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ โดยศุภาลัยมุ่งมั่นให้แพลตฟอร์ม D.E.A.L. เป็นบริการใหม่ที่เชื่อมโยง ลูกค้า-ธนาคาร-ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ให้ประสานกันอย่างสะดวก รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ ซึ่งผลลัพธ์ของแพลตฟอร์ม D.E.A.L. จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ทำให้การยื่นขอสินเชื่อเป็นเรื่องง่าย พร้อมยกระดับมาตรฐานบริการสินเชื่อ นอกจากนี้ ศุภาลัยร่วมกับธนาคารกสิกรไทยจัดทำอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับบ้านและคอนโดมิเนียม โดยจะมอบสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องทุกเดือน สำหรับลูกค้าศุภาลัยเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถในการผ่อนชำระได้อย่างแท้จริง
สำหรับแพลตฟอร์ม D.E.A.L. ของศุภาลัย เริ่มใช้งานจริงตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 ครอบคลุมทุกโครงการทั่วประเทศ และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยแพลตฟอร์มนี้มอบประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่าง ด้วยจุดเด่นในการวิเคราะห์คุณสมบัติลูกค้าล่วงหน้า แนะนำธนาคารที่เหมาะสม เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขสินเชื่อที่ตอบโจทย์ พร้อมติดตามผลอนุมัติ ช่วยให้กระบวนการยื่นขอสินเชื่อบ้านและคอนโดมิเนียมของลูกค้าเป็นไปอย่างสะดวก โปร่งใส ปลอดภัย และมั่นใจได้ในทุกขั้นตอน
ศุภาลัยเชื่อมั่นว่าแพลตฟอร์ม D.E.A.L. ไม่เพียงมอบความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใสแก่ลูกค้า แต่ยังยกระดับมาตรฐานการให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย พร้อมเป็นจุดเริ่มต้นสู่การพัฒนา Mortgage Technology ในประเทศไทย และสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืนในอนาคต สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร.1720 หรือ www.supalai.com”