

เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ประกาศความสำเร็จภายหลังการปรับองค์กร กางแผนกลยุทธ์ปี 2025-2027 มุ่งขยายช่องทางจำหน่าย ลุยลงทุนด้านเทคโนโลยี ขับเคลื่อนความเป็นเลิศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่เปลี่ยนไป พร้อมยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน สอดรับแนวคิดเจนเนอราลี่ กรุ๊ป LIFTTIME PARTNER 27 : DRIVING EXCELLENCE ตั้งเป้าสู่ความเป็นเลิศในทุกมิติงานประกัน
นาย อาร์ช คอลมิ (Mr. Arsh Kaumi) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาถือเป็นก้าวสำคัญของเจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จากการวางรากฐานที่แข็งแกร่งใน 3 เสาหลัก ได้แก่ Distribution focused มุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางการขาย เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า ผ่านช่องทางและแพลตฟอร์มทั้งหมด ด้วยรูปแบบการให้คำปรึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมพร้อมเครื่องมือที่ครบครัน Customer FIRST เพิ่มศักยภาพด้านงานบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับความรวดเร็ว เข้าถึงง่าย และสะดวกสบายกว่าเดิม ผ่านเครื่องมือดิจิทัลและกระบวนการที่คล่องตัว และสุดท้ายคือ People Empowerment สร้างรากฐานการขับเคลื่อนธุรกิจและองค์กรด้วยบุคลากรคุณภาพ มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในองค์กรเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์
การวางรากฐานที่สำคัญเหล่านี้ ส่งผลให้ในปี 2024 เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโตสูงสุดในกลุ่มบริษัทประกันชีวิตชั้นนำของไทย ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 24.6% โดยเฉพาะการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่เรามุ่งเน้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจัยการเติบโตนี้ มาจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง รวมถึงการเพิ่มศักยภาพของช่องทางการจำหน่าย ทำให้สามารถขยายและเข้าถึงฐานลูกค้าหลากหลายกลุ่มอย่างทั่วถึง นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการ จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้า ส่งผลให้คะแนนสำรวจความพึงพอใจผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ (Relational Net Promoter Score- RNPS) คงครองอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง

“เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ เชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจประเทศไทยในระยะยาว และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยในปี 2025 เราได้กำหนดทิศทางการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกค้าและพันธมิตร ดังนี้ 1. เสริมสร้างพันธมิตรเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถขยายตลาด และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้าการเติบโตแบบดับเบิลดิจิ (Double Digits) ในปี 2025-2027 2.มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ตามความต้องการที่หลากหลาย แต่ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถดูแลลูกค้าได้ในระยะยาว รองรับเทรนด์สังคมสูงวัยและ แนวคิดด้าน ESG ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3. เพิ่มศักยภาพด้านงานบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในทุกช่องทาง พร้อมขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เห็นได้ว่าปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชัน มีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีและเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ จึงได้ลงทุนพัฒนา แอปพลิเคชันสำหรับลูกค้าโดยเฉพาะ อย่าง GEN 365 เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าและการให้บริการของทีมขายเพื่อมอบประสบการณ์การด้านบริการที่ดีกว่า รวมไปถึงการพัฒนาฝ่ายปฏิบัติการด้านบริการด้วยการใช้ RPA (Robotic Process Automation) และ AI ปัญญาประดิษฐ์ที่มาช่วยให้การบริการด้านสินไหม รวดเร็วครอบคลุมพื้นที่ ที่ลูกค้าต้องการใช้บริการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างสะดวก มีประสิทธิภาพ ทำให้กระบวนการทำงานมีความคล่องตัว ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ เจนเนอราลี่ ยังคงเดินหน้าลงทุนในการพัฒนาบุคลากรและตัวแทนจำหน่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งสร้างการเติบโตและเพื่อให้มีความพร้อมที่จะให้บริการลูกค้า
ในความมุ่งมั่นของเราในการตอบแทนสังคม เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ได้ดำเนินโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดได้ร่วมมือกับ The Human Safety Net (THSN) องค์กรโครงข่ายความร่วมมือเพื่อมวลมนุษยชาติ สนับสนุนพ่อแม่ Gen Y และ Gen Z ที่อาจขาดความพร้อมและโอกาสในสังคมไทย ได้พัฒนาเสริมศักยภาพการเลี้ยงดูบุตรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการร่วมมือกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) สนับสนุนการเติบโตและความยั่งยืนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSME) ในประเทศไทย

นายอาร์ช กล่าวต่อว่า “สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในประเทศไทยดังกล่าว สอดรับกับกลยุทธ์ใหม่ของ เจนเนอราลี่ กรุ๊ป ปี 2025-2027 LIFTTIME PARTNER 27 : DRIVING EXCELLENCE ขับเคลื่อนความเป็นเลิศในทุกมิติเสมือนเพื่อนผู้เคียงข้างทุกช่วงเวลาของชีวิตลูกค้า
“สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ คือ “Deliver on Promise” หรือการส่งมอบบริการตามคำมั่นสัญญากับลูกค้า พันธมิตร และสังคม ด้วยความมุ่งมั่นและความซื่อสัตย์ เพื่อสร้างความไว้วางใจสูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ส่วนสำคัญที่สุดคือการเป็น Life time partner อยู่เคียงข้างกับลูกค้า และพันธมิตรผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งหมดของเรา” นายอาร์ช กล่าวทิ้งท้าย
นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย (ที่ 4 จากขวา) ให้การต้อนรับผู้บริหารของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิติพงษ์ ยอดมงคล รองอธิการบดี (ที่ 4 จากซ้าย) คุณนารีรัตน์ จันทรมังกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน (ที่ 3 จากซ้าย) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ทศพร พิชัยยา รองอธิการบดี (ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมด้วยคณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในโอกาสเข้าเยี่ยมกิจการเพื่อศึกษาระบบการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ.กสิกรไทย พร้อมรับฟังการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “แนวทางการจัดสรรเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Asset Allocation) เพื่อโอกาสสร้างความมั่งคั่ง แม้ในภาวะตลาดผันผวนด้วย K-WealthPLUS” ณ ชั้น 12 ธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่พหลโยธิน เมื่อเร็วๆ นี้
คณะกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มบริษัทเอไอเอ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่:
ผลประกอบการของธุรกิจใหม่
มูลค่าพื้นฐานของกิจการ
รายงานทางการเงิน (IFRS)
เงินกองทุนส่วนเกิน
เงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน
นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า:“เอไอเอมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมมากในปี 2567 จากผลกำไรของธุรกิจใหม่ การเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง และเงินกองทุนส่วนเกิน เรายังคงมุ่งสร้างมูลค่าผลตอบแทนผู้ถือหุ้นจากการดำเนินงานและอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเราได้คืนผลตอบแทนจำนวนมากให้แก่ผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 เป็นมูลค่ากว่า 4,712 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยทุกภาคส่วนธุรกิจมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายและความแข็งแกร่งของธุรกิจของเรา ธุรกิจใหม่ที่สร้างผลกำไรต่อเนื่องส่งผลให้รายได้และกระแสเงินสดเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีต่อหุ้นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12 และมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกินต่อหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัยต่อหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 หลังจากการจ่ายคืนผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นมูลค่า 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐผ่านเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืน
“ตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้าของเอไอเอ คณะกรรมการได้แนะนำให้เพิ่มเงินปันผลประจำปีร้อยละ 10 คิดเป็น 130.98 เซ็นต์ฮ่องกงต่อหุ้น ซึ่งส่งผลให้ยอดเงินปันผลรวมต่อหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ในปี 2567 นอกจากนี้ ตามนโยบายการจัดการทุนที่ปรับปรุงใหม่ของเรา คณะกรรมการได้ประกาศการซื้อหุ้นคืนใหม่มูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกด้วย ซึ่งประกอบด้วยเงินจำนวน 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอัตราส่วนการจ่ายปันผลร้อยละ 75 ของเงินกองทุนส่วนเกินสุทธิประจำปี (Net FSG) และเพิ่มอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามการตรวจสอบสถานะเงินทุนของกลุ่มบริษัทเป็นประจำ เมื่อรวมกันแล้ว การจ่ายเงินปันผลและโครงการซื้อหุ้นคืนจะทำให้เกิดอัตราผลตอบแทนรวม(6) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 6 สำหรับผู้ถือหุ้น
“เอไอเอ อยู่ในตำแหน่งที่ดีและแตกต่างอย่างโดดเด่น ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพการเติบโตเชิงโครงสร้างระยะยาวในตลาดที่มีความน่าสนใจที่สุดในโลกสำหรับธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ผ่านการดำเนินการตามกลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีเป้าหมายอันแน่วแน่ของเรา ผมมั่นใจว่าโอกาสทางธุรกิจในระยะยาวของเอไอเอยังคงยอดเยี่ยม เราจะยังคงเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของเราได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อคว้าโอกาสที่อยู่ข้างหน้าและสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนของเรา”
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดโครงการพิเศษเพื่อสังคมนำเบี้ยประกันภัยโรคมะเร็งส่วนหนึ่งบริจาคเงินให้แก่องค์กรการกุศล โดยเมื่อลูกค้าซื้อกรมธรรม์ประกันภัยโรคมะเร็ง บริษัทฯ จะหักเบี้ยประกันภัยจำนวน 50 บาทต่อกรมธรรม์ มอบให้แก่ชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงทั้งก่อนและหลังผ่าตัดให้เกิดการปรับตัวกับสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น พร้อมเสริมสร้างกำลังใจในการดำเนินชีวิต โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2568
ลูกค้าสามารถซื้อประกันภัยโรคมะเร็งที่กำหนดผ่านช่องทางดังนี้
- ประกันภัยโรคมะเร็งซูเปอร์เซฟ ซื้อผ่านบริษัทฯ โดยตรงได้ที่โทร. 0 2285 8888 / เว็บไซต์บริษัทฯ bangkokinsurance.com / LINE @bangkokinsurance รวมถึงสาขากรุงเทพประกันภัย และ BKI Care Station จุดบริการประกันภัยในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ
- ประกันภัยโรคมะเร็ง CA 1st ซื้อผ่านธนาคารกรุงเทพ
ทั้งนี้ การทำประกันภัยโรคมะเร็ง นอกจากลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองตามเงื่อนไขของกรมธรรม์แล้ว เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีประจำปีในหมวดประกันสุขภาพได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด
สำหรับโครงการพิเศษดังกล่าว บริษัทฯ ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องจากปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการให้ลูกค้ามีส่วนร่วมบริจาคเงินให้องค์กรการกุศล โดยนอกจากประกันภัยโรคมะเร็งแล้ว เมื่อซื้อประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA Holiday แผน 3 กรมธรรม์ใหม่ ผ่านเว็บไซต์บริษัทฯ สามารถเลือกการบริจาคเงินจำนวน 300 บาท แทนการรับของสมนาคุณ โดยมอบให้แก่ศิริราชมูลนิธิ เพื่อผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลศิริราช และชมรมผู้ไร้กล่องเสียงรามาธิบดี
โรงแรมเมสัน โรงแรมระดับลักชูรี่พูลวิลล่าประกาศจับมือโรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เปิดแคมเปญ "Balance within, Brilliance Beyond" ยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ พร้อมเดินหน้าผลักดัน เมืองพัทยา นาจอมเทียน เป็นศูนย์กลาง Wellness Tourism ระดับโลก
คุณพรพรรณ รัตนพิทักษกุล, ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเมสัน กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า "เราเชื่อว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่สำคัญของการท่องเที่ยวระดับลักชูรี่ในอนาคตอันใกล้ และเราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา เพื่อมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ครบวงจร ทั้งในด้านการพักผ่อนและการฟื้นฟูร่างกาย โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพสูง และเป็นการดูแล Wellness แบบองค์รวม ที่จะไม่เพียงมอบประสบการณ์พักผ่อนที่เหนือระดับจากเมสัน แต่ยังผสานกับการให้บริการด้าน Wellness ที่มีความเป็นมืออาชีพด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์การบริการระดับโลก จากโรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา”

โดยโปรแกรม Wellness ภายใต้แคมเปญ "Balance within, Brilliance Beyond" - สมดุลภายใน เปล่งประกายเหนือระดับ มุ่งเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกาย และจิตใจ ผ่านการบริการที่ครอบคลุมทั้งการพักผ่อนและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งในปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวนี้ มักมองหาประสบการณ์ที่มีคุณค่าและลึกซึ้งมากขึ้น โดยไม่เพียงต้องการการพักผ่อนในบรรยากาศที่สะดวกสบายเป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังต้องการให้การพักผ่อนนั้นช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจอย่างยั่งยืน ซึ่งเมสันมีความแข็งแกร่งและมีจุดเด่นในด้านการเป็นที่พักพูลวิลล่าหรู ติดหาดนาจอมเทียน มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และบริการเหนือระดับ เน้นความเป็นส่วนตัว และมีความพร้อมในการมอบประสบการณ์การพักผ่อนริมทะเลให้กับนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็น เมสันสปา กิจกรรมสันทนาการต่างๆทั้งในและนอกเมสัน เมนูอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ พร้อมบริการผู้ช่วยส่วนตัว เมื่อผนวกรวมกับความแข็งแกร่งโดดเด่นในด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาแคมเปญนี้จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์การดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม สมดุล และแตกต่างอย่างลึกซึ้งและส่งต่อคุณภาพสูงสุดให้กับแขกที่เข้าพัก และลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างหลากหลายได้อย่างแท้จริง

โปรแกรม Wellness ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 แพ็กเกจหลัก ได้แก่ 1. Stress Relief package เหมาะสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาความเครียดสะสม และการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ผ่านเทคนิคการผ่อนคลายเชิงลึกและการดูแลสุขภาพจิตใจ 2. Detoxifying Restore package – มุ่งเน้นการขจัดสารพิษในร่างกายและฟื้นฟูสุขภาพจากภายในสู่ภายนอก โดยใช้ศาสตร์การล้างพิษและโภชนาการเพื่อเพิ่มพลังชีวิต 3. Glow & Grow Rejuvenation package – เสริมสร้างความงามจากภายใน พร้อมเติมเต็มพลังงานให้กับร่างกายและจิตใจ ผ่านศาสตร์การชะลอวัยและการดูแลสุขภาพอย่างองค์รวม
ขณะที่ พญ.ปิยาภรณ์ ทิพยะรัตน์, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจอมเทียน กล่าวว่า “ความร่วมมือในวันนี้เกิดจากแนวคิดที่ว่า “สุขภาพดีเริ่มต้นจากการดูแลก่อนป่วย” เราจึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) และเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging & Regenerative Medicine) ซึ่งจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพที่สำคัญในอนาคต โดยในปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของ Wellness Tourism ระดับโลก จากข้อมูลของ Global Wellness Institute คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรม Wellness จะเติบโตเฉลี่ย 12-14% ต่อปี และจะมีมูลค่าถึง 8.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 นี้ ดังนั้นการจับมือกันกับเมสันภายใต้แคมเปญดังกล่าว จึงจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมให้พัทยาเป็นจุดหมายปลายทางของการดูแลสุขภาพที่ครบวงจรสำหรับนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้อย่างแน่นอน”

เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักของเมสันเป็นกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติระดับไฮเอนด์ โดยเป็นกลุ่มคู่รัก, กลุ่มเพื่อน, ครอบครัวขนาดเล็ก, นักธุรกิจ หรือ Expat ที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ลึกซึ้งและสมบูรณ์แบบ โดยจากเทรนด์รักสุขภาพในปัจจุบันพบว่า นักท่องเที่ยวและแขกที่เข้ามาพักที่โรงแรมให้ความสนใจและมีความต้องการในเรื่องการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น

คุณพรพรรณ รัตนพิทักษกุล, ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเมสัน กล่าวเพิ่มเติมว่า “Wellness is the New Luxury ดังนั้นการสร้างความแตกต่างโดยเพิ่มเรื่องสุขภาพและ Wellness เข้ามาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของการทำธุรกิจ จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางหรือเลือกใช้บริการ ในวันนี้เรามีความพร้อมเป็นอย่างมาก จากแคมเปญความร่วมมือด้าน Wellness ดังกล่าว เราจะช่วยผสมผสานจุดแข็งของ Ultra-Luxury Hospitality และ World-class Healthcare เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีทั้งความสะดวกสบายและการดูแลสุขภาพที่ครบวงจรอย่างยั่งยืนให้แก่แขกที่เข้าพักและลูกค้าทุกท่าน”
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานงานแถลงข่าว ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยนายสมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กรณีพบว่ามีกลุ่มบุคคลวางแผนจัดทำประกันภัยรถยนต์หลายฉบับ และสร้างสถานการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน รวมมูลค่ากว่า 14 ล้านบาท ตามที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ นั้น

จากการตรวจสอบพบว่า รถกระบะ 3 คันที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว มีกรมธรรม์ประกันภัยซ้ำซ้อนรวม 34 ฉบับ จากบริษัทประกันภัย 15 แห่ง โดยกรมธรรม์ส่วนใหญ่จัดทำขึ้นภายใน 10 วัน ก่อนเกิดเหตุ และบางฉบับทำขึ้นในวันเกิดเหตุ นอกจากนี้ ไม่มีการแจ้งเหตุไปยังบริษัทประกันภัยทั้ง 15 แห่งในวันเกิดเหตุ และไม่พบรายงานการเข้าตรวจสอบจากหน่วยกู้ชีพ ขณะที่ลักษณะบาดแผลของผู้เสียชีวิตไม่สอดคล้องกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น อีกทั้งญาติของผู้เสียชีวิตไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตและปฏิเสธการชันสูตรพลิกศพ ความร้ายแรงที่เกิดขึ้นจึงอาจเข้าข่ายเป็นการฉ้อฉลประกันภัย เพราะถือเป็นกรณีที่ไม่เคยได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยมีเจตนาทุจริตจากการทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจหลายฉบับซ้ำซ้อนกันดังเช่นกรณีนี้มาก่อน โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้หารือร่วมกับบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้อง และมีมติให้แจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจภูธรเมืองสกลนคร ในข้อหาฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย โดยได้พัฒนาและจัดทำระบบฐานข้อมูลรายงานการฉ้อฉลด้านการประกันภัยด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย อาทิ การทำประกันภัยซ้ำซ้อนในระยะเวลาสั้น ๆ หรือการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยด้วยรถยนต์ทะเบียนเดียวกันสูงผิดปกติ ภายในระยะเวลา 90 วัน หรือตรวจพบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนบ่อยครั้งในช่วงระยะเวลา 90 วัน เป็นต้น ซึ่งเมื่อระบบดังกล่าวตรวจพบความผิดปกติ จะมีการแจ้งเตือนให้ทราบทันที และจะมีการเรียกบริษัทประกันภัยที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือก่อนดำเนินการในลักษณะเช่นเดียวกับกรณีนี้ โดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถปรับเงื่อนไขการตรวจจับการฉ้อฉลประกันภัยได้ตลอดเวลา เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการติดตามและดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำความผิด โดยสำนักงาน คปภ. จะส่งสำนวนให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ การกำกับของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเป็นผู้ดำเนินคดี หรือแจ้งความร้องทุกข์ต่อสถานีตำรวจที่มีเขตอำนาจ โดยดำเนินคดี ฉ้อฉลประกันภัยไปแล้วกว่า 46 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท และเตรียมดำเนินการเพิ่มเติมอีก 21 คดี

“สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่กับการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย โดยจะมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูลรายงานการฉ้อฉลด้านการประกันภัย ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อใช้ตรวจจับกรณีที่มีความผิดปกติให้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และรวดเร็วได้แบบ Real Time แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองประชาชนที่มีการเรียกสินไหมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
วันไวท์เดย์ (White Day) มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญที่ต่อเนื่องมาจากวันวาเลนไทน์ เดิมมีที่มาจากแผนการตลาดที่พยายามสร้างไอเดียดึงดูดลูกค้าให้ตอบแทนผู้ที่มอบของขวัญในวันวาเลนไทน์ จนในที่สุดได้มีการจัดตั้งวันไวท์เดย์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1978 และกลายเป็นที่นิยมมาถึงปัจจุบัน
วันไวท์เดย์ ถือเป็นวันแห่งการให้คำตอบ ซึ่งแต่ก่อนได้ถูกระบุให้ผู้ชายที่ได้รับช็อกโกแลตและการสารภาพรักในวันวาเลนไทน์ใช้เวลาคิดทบทวนก่อนจะมอบของขวัญที่สื่อถึงคำตอบแก่ฝ่ายหญิงในวันนี้ และยังมีธรรมเนียมว่าสิ่งนั้นควรมีมูลค่ามากกว่าที่เคยได้รับ 3 เท่า อีกด้วย แต่สิ่งที่ฝ่ายหญิงควรให้ความสำคัญจริง ๆ คือชนิดขนม เชื่อกันว่าหากได้รับมาร์ชแมลโลว์ จะเป็นการสื่อว่าไม่สนใจพัฒนาความสัมพันธ์นี้ และการให้ลูกอมรสหวานคือการตกลงคบกันนั่นเอง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันค่านิยมดังกล่าวได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถเป็นฝ่ายสารภาพรักและมอบของแทนใจก่อนได้ อีกทั้งของขวัญหรือชนิดขนมก็อาจมีความแตกต่างออกไป แล้วแต่ความสะดวกและความชอบทั้งผู้ให้และผู้รับ ดังนั้นของหวานชนิดอื่น ๆ ก็อาจกลายมาเป็นสิ่งที่ช่วยสื่อความหมายจากทั้งสองฝ่ายได้เช่นกัน
วันเดอร์พัฟฟ์จึงมาแนะนำอีกหนึ่งไอเทมดี ๆ ที่เหมาะจะมอบให้คนรู้ใจแทนความรู้สึกหวาน ๆ ที่คุณอยากจะส่งไป กับ วันเดอร์พัฟฟ์ ข้าวโพดอบกรอบเคลือบคาราเมลผสมถั่วคุณภาพพรีเมียมที่มีให้เลือกถึง 7 รสชาติ เพลิดเพลินกับความกรุบกรอบของป๊อปคอร์นและถั่ว หอมกรุ่นด้วยคาราเมลที่เคลือบมาพอดีคำแบบฟิน ๆ ให้รสหวานอร่อยยาวนานไม่แพ้ความรักของคุณ สามารถหาซื้อวันเดอร์พัฟฟ์ได้แล้ววันนี้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ LINE Official: @heritagethailand, Shopee: Heritage Official, Lazada: Heritage Official, และ TikTok Shop: HeritageGroupTH สอบถาม เพิ่มเติมโทร 02-813-0954-5 หรือติดตามกิจกรรมและข่าวสารได้ที่ www.facebook.com/wonderpuff.th และ IG: wonderpuff.th
อ้างอิง: