

รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชนสัญจร ลงพื้นที่ทางเดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของประชาชนตลอดแนวคลองแสนแสบ รวมถึงส่งเสริมการใช้จักรยานและการเดินเท้าเป็นทางเลือกในการสัญจรในเมืองอย่างยั่งยืน
โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และลดปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองแสนแสบควบคู่ไปกับการก่อสร้างทางเดินและทางจักรยาน ตั้งแต่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปจนถึงเขตหนองจอก ปลายสุดของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) พร้อมทางเดินและทางจักรยานแล้วเสร็จรวมระยะทางประมาณ 60.38 กิโลเมตร (60,380 เมตร)

ในส่วนของการดำเนินงานในปัจจุบัน อยู่ระหว่างการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 4.72 กิโลเมตร (4,720 เมตร) ประกอบด้วย งานปรับปรุงขยายเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณถนนพระรามที่ 6 ถึงบริเวณสะพานเฉลิมหล้า โครงการก่อสร้างเขื่อนและปรับปรุงเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณทางด่วนเฉลิมมหานครถึงประตูระบายน้ำคลองตัน และโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและประตูเรือสัญจรคลองแสนแสบตอนคลองบางชัน
ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครยังอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 12.7 กิโลเมตร (12,700 เมตร) ในสองช่วง ได้แก่

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีแผนดำเนินการในระยะถัดไป โดยจะดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 17.2 กิโลเมตร (17,200 เมตร) แบ่งออกเป็นสองโครงการสำคัญ ได้แก่
โครงการ “ทางเท้าเลียบคลองพร้อมเลนจักรยาน” ถือเป็นนโยบายสำคัญของกรุงเทพมหานคร ภายใต้แผนพัฒนา “เดินได้ ปั่นปลอดภัย” ที่ริเริ่มจากเขตพระนครถึงเขตหนองจอก โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ริมคลองแสนแสบและคลองสายรองในเขตเมืองให้เป็นเส้นทางสำหรับการเดินเท้าและปั่นจักรยานอย่างปลอดภัย ครอบคลุมระยะทางรวมกว่า 47.5 กิโลเมตร (47,500 เมตร) โดยในช่วงต้นของโครงการ ได้ดำเนินการก่อสร้างทางเท้าควบคู่กับแนวเขื่อนริมคลอง พร้อมติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีจุดเริ่มต้นที่เขตพระนครถึงเขตหนองจอก และแผนขยายต่อไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่น ลาดพร้าว พร้อมพงษ์ ท่าพระ และสามยอด เพื่อเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ รถไฟฟ้า MRT เรือ และ BTS ได้อย่างสะดวก ตั้งเป้าโครงการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2570 เพื่อสร้างเมืองที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีสุขภาวะที่ดีในระยะยาว

หลังจากการให้ข้อมูล เกี่ยวกับแผนการพัฒนาส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ เพื่อให้ได้เห็นภาพมากขึ้น รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเส้นทางริมน้ำในเขตกลางเมืองกรุงเทพฯ ไม่เพียงแต่ตั้งอยู่ใกล้กับย่านชุมชนแน่นหนาและสถาบันการศึกษาสำคัญอย่างมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดที่มีการสัญจรทางเรือหนาแน่นและเชื่อมต่อกับพื้นที่เศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ
โดยเส้นทางนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็น ทางเดินเท้าและทางจักรยานเลียบคลอง ที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน โดยมีการปรับปรุงผิวทางเดินให้เรียบเสมอ ติดตั้งราวกันตกในจุดเสี่ยง เพิ่มแสงสว่างตลอดเส้นทาง และจัดให้มีทางลาดสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ใช้รถเข็น สามารถใช้งานร่วมกันได้โดยไม่ถูกรบกวนจากการจราจรบนถนนหลัก

อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความเงียบสงบกว่าพื้นที่ถนนภายนอก ทำให้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเช้าและเย็น ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากใช้เส้นทางนี้เป็นทางลัดระหว่างบ้าน ที่เรียน หรือที่ทำงาน และยังนิยมใช้ในการออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน โดยเฉพาะนักศึกษาและบุคลากรของ มศว ที่สามารถเดินเชื่อมถึงท่าเรือได้อย่างสะดวก
ตลอดการดำเนินโครงการ กรุงเทพมหานครได้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่ จุดเชื่อมต่อ ทางลาด ทางข้าม และพื้นที่พักผ่อนต่าง ๆ ตลอดแนวคลอง เพื่อให้เกิดการใช้งานจริงอย่างยั่งยืน โดยมีการประเมินผลตอบรับจากพื้นที่นำร่อง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นจากโครงสร้างทางเท้าและเลนจักรยานที่มีการจัดสรรอย่างเป็นระบบ
ทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ (TRUE CJ Creations) บริษัทร่วมทุนไทย-เกาหลีใต้ ผู้ผลิตคอนเทนต์ไทยชั้นนำ ที่มีผลงานสร้างสรรค์ครอบคลุมทั้งภาพยนตร์ซีรีส์ ภาพยนตร์สารคดี และรายการวาไรตี้ ประกาศการร่วมมือครั้งสำคัญกับ ราคูเท็น วิกิ (Rakuten Viki) แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ส่งซีรีส์คุณภาพของไทย 5 เรื่อง รวมกว่า 82 ตอน คิดเป็นเวลาฉายกว่า 80 ชั่วโมง หรือ 5,070 นาที บุกตลาดอเมริกาและยุโรป ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายฐานผู้ชมไปยัง 170 ประเทศทั่วโลก ผ่านแพลตฟอร์ม Rakuten Viki เพื่อเผยแพร่คอนเทนต์ไทยคุณภาพสูงสู่ตลาดสากล
ไมเคิล จอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ กล่าวว่า "การร่วมมือกับ Rakuten Viki ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของทรู ซีเจ ครีเอชั่นส์ ในการขยายตลาดคอนเทนต์ไทยสู่เวทีโลก เรามุ่งมั่นที่จะส่งมอบคอนเทนต์ไทยที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์ ให้แก่ผู้ชมทั่วโลกได้รับชม ซึ่งจะช่วยยกระดับการรับรู้และความเข้าใจในวัฒนธรรมไทยในระดับสากล การเลือกซีรีส์ 5 เรื่องนี้ เป็นการคัดสรรผลงานที่มีความหลากหลายทั้งแนวโรแมนติก ดราม่า และสยองขวัญ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมในตลาดต่างประเทศ เรามั่นใจว่าการร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในการนำคอนเทนต์ไทยไปสู่ตลาดสากล และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงไทยอีกด้วย”

สำหรับซีรีส์ไทย 5 เรื่อง ที่จะนำไปเผยแพร่เพื่อสร้างชื่อให้แก่ประเทศไทยในตลาดโลกบนแพลตฟอร์ม ราคูเท็น วิกิ (Rakuten Viki) ได้แก่
การจับมือครั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพและคุณภาพของคอนเทนต์ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย Rakuten Viki เป็นแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงในการนำเสนอเนื้อหาเอเชียคุณภาพสูงสู่ผู้ชมทั่วโลก จึงเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ไทยและขยายการรับรู้วัฒนธรรมไทยในเวทีโลก
นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัยได้มอบหมายให้ นางสาวพิชยาพร ด่านทวีศิลป์ รักษาการหัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารองค์กร พร้อมด้วยบุคลากรกองทุนประกันวินาศภัย เข้าร่วมจัดกิจกรรมในโครงการ “ยุวชนนักสื่อสารประกันภัยรุ่นใหม่ ปี 2568 (Insurefluencer the new GEN 2025)” ณ โรงเรียนท่าเรือ “นิตยากุกูล” ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี นางสาววีณาภรณ์ เคารพาพงษ์ รองผู้อำนวยการ กลุ่มงานบริหารกิจการนักเรียนเป็นประธานกล่าวเปิดงาน เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านประกันภัยแก่เยาวชนในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้พื้นฐานด้านระบบประกันภัย ให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งส่งเสริมให้นักเรียนสามารถเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดความรู้สู่ครอบครัว ชุมชนและสังคม เพื่อปลูกฝังความเข้าใจถึงความสำคัญของระบบประกันภัยในชีวิตประจำวัน โดย กองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) ได้เข้าร่วมจัดกิจกรรมในรูปแบบฐานการเรียนรู้ ที่มุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ และภารกิจของ กปว. ในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของเจ้าหนี้ตามสัญญาประกันภัย พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับ “ค่าสินไหมทดแทนที่ล่วงพ้นอายุความ” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้เอาประกันภัยควรทราบ เพื่อการใช้สิทธิตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

ภายในงานยังประกอบไปด้วยการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเนื้อหาครอบคลุมหัวข้อสำคัญ เช่น ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับประกันภัย ทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนแนวทางการออมเงินอย่างมีวินัย อีกทั้งยังมีการจัดบูธประชาสัมพันธ์จากหลากหลายหน่วยงาน และการเรียนรู้แบบฐานปฏิบัติอีก 4 ฐาน ซึ่งออกแบบมาให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติ

ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของกองทุนประกันวินาศภัยถือเป็นบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจด้านระบบประกันภัย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อระบบประกันภัย และมีส่วนช่วยพัฒนาให้ระบบประกันภัยของประเทศมีความมั่นคง และเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการดูแลและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้รับประกาศนียบัตรเครื่องหมาย “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร” (Carbon Footprint for Organization หรือ CFO) ในพิธีมอบประกาศนียบัตรเครื่องหมายรับรองฉลากคาร์บอน จัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ณ ห้อง Conference Hall สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568
พิธีมอบประกาศนียบัตรดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติและขอบคุณองค์กรต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยกรุงเทพประกันภัยให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมภายในองค์กรโดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะด้านการจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่สนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อร่วมรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน
ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (Tokyo Metropolitan Small and Medium Enterprise Support Center) ประกาศความสำเร็จในการจัดงานสัมมนาเชิงธุรกิจ “Tokyo-Thailand Business Partnership Seminar” ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการขยายต่อยอดธุรกิจในโตเกียว ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้ประกอบการและนักธุรกิจไทย ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานทั้ง Onsite และ Online ผ่านระบบ ZOOM กว่า 120 ราย ภายในงานมีผู้เข้าร่วมฟังสัมมนาแบบหน้างานเป็นจำนวนมาก บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนใจและการมีส่วนร่วมจากผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเรียนรู้และสร้างเครือข่ายกับภาคธุรกิจจากกรุงโตเกียว
ความพิเศษของงาน “Tokyo-Thailand Business Partnership Seminar” ในปีนี้ คือการได้รับเกียรติและการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA (National Innovation Agency) ให้ร่วมจัดงานสัมมนานี้ภายในงานมหกรรมนวัตกรรมและเครือข่ายสตาร์ทอัพไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ “Startup x Innovation Thailand Expo 2025” (SITE 2025) ซึ่งช่วยยกระดับและสร้างความน่าสนใจให้กับสัมมนาในปีนี้เป็นอย่างยิ่ง

Mr. KIMURA Masayuki - General Manager, Professional Career Development Support Section, Globalization Support Desk (Organization & HR) ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า
“ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Small and Medium Enterprise Support Center) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมในกรุงโตเกียวมากว่า 50 ปี เราได้จัดตั้งสำนักงานประจำประเทศไทยขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ในปี 2015 และทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างบริษัทญี่ปุ่นในกรุงโตเกียวและบริษัทในประเทศไทยตั้งแต่นั้นมา

นอกเหนือจากการสนับสนุนให้บริษัทในโตเกียวขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศแล้ว ตั้งแต่ปี 2019 เรายังได้ริเริ่มจัดสัมมนาในลักษณะนี้ขึ้นในหลายเมืองทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพและต้องการขยายธุรกิจไปยังกรุงโตเกียว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่การจัดงานในกรุงเทพฯ ปีนี้ ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวนมากเช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ เราได้รับเกียรติและการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน SITE Thailand 2025 ผมจึงขอใช้โอกาสนี้กล่าวขอบคุณ NIA มา ณ ที่นี้อีกครั้ง
กรุงโตเกียวไม่เพียงเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชีย แต่ยังเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรกว่า 14 ล้านคน มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน อีกทั้งเป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ทำให้บริษัทชั้นนำทั่วโลกต่างเลือกโตเกียวเป็นฐานในการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงสตาร์ทอัพและนวัตกรรม ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งจากภาครัฐและเอกชน
ทั้งนี้ เรายังได้พัฒนาระบบสนับสนุนสำหรับบริษัทต่างชาติ ให้ได้รับบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาด้านการจัดตั้งบริษัท การจัดหาสำนักงาน ตลอดจนการให้คำปรึกษาด้านกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว รวมถึงยังมีบุคคลากรและเครือข่ายที่พร้อมให้การสนับสนุนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อขจัดความกังวลด้านการสื่อสารและวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน
อุตสาหกรรมในโตเกียวยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกไกล ผมจึงอยากเชิญชวนทุกท่านมาร่วมลงทุนในกรุงโตเกียว เพื่อนำธุรกิจของท่านไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

ในการสัมมนาครั้งนี้ บริษัท CT Asia Robotics จะมาแชร์ประสบการณ์อันมีค่าในการดำเนินธุรกิจ และท่านจะได้ฟังการบรรยายจาก Startup Strategy Promotion Headquarters ของกรุงโตเกียว ที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่แก่บริษัทต่างชาติที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังโตเกียว เราหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความสนใจและความกระตือรือร้นในการขยายธุรกิจสู่กรุงโตเกียว
หลังจบการบรรยาย เราจะมีการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว ซึ่งท่านสามารถหารือเกี่ยวกับธุรกิจโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของกรุงโตเกียว เรายินดีต้อนรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าเช่นกัน"
ศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ได้เปิดสำนักงานในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2015 เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น และให้การสนับสนุนนักลงทุนไทยในการลงทุนในกรุงโตเกียว โดยทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันเรื่อยมา เห็นได้จากการที่สินค้าไทยมากกว่า 10% ถูกส่งออกไปยังญี่ปุ่น นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวไทยอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน กรุงโตเกียวถือเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มี GDP สูงเป็นอันดับที่ 16 ของโลก ติดอันดับ 3 ในฐานะเมืองมหาอำนาจ Global Power City และได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอันดับ 1 ในปี 2020 เป็นศูนย์รวมของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนจดทะเบียนมากกว่า 1,000 ล้านเยน กว่า 3,000 แห่ง (คิดเป็นครึ่งหนึ่งของบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่น) แม้จะมีโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบนี้ แต่ต้นทุนการดำเนินงานที่สูง ปัญหาแรงงาน และภาระภาษีกลับเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในญี่ปุ่น อีกทั้งค่าเงินเยนก็อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขข้อเสียเหล่านี้ รัฐบาลกำลังส่งเสริมนโยบายต่างๆ เช่น การดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถจากต่างประเทศมาทำงานในญี่ปุ่น เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคการผลิต

หนึ่งในข้อได้เปรียบของกรุงโตเกียวในการเป็นจุดหมายการลงทุนคือการเป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัย, สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการวิจัยและพัฒนา, ความเชี่ยวชาญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี, ทรัพยากรมนุษย์ที่มีทักษะสูง และพันธมิตรทางการวิจัยต่างๆ นอกจากนี้ Business Development Center TOKYO (BDCT) ยังให้บริการครบวงจรสำหรับธุรกิจต่างชาติที่ต้องการเข้ามาตั้งบริษัทในโตเกียว โดยมีการสนับสนุนทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทและการระดมทุน ไปจนถึงการขยายช่องทางการขาย เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถตั้งตัวในโตเกียวได้อย่างรวดเร็ว
Tokyo One-Stop Business Establishment Center (TOSBEC) ที่พร้อมให้คำปรึกษารายบุคคลโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทแก่ธุรกิจต่างชาติหรือธุรกิจร่วมทุน เพื่อให้สามารถดำเนินขั้นตอนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การรับรองข้อบังคับบริษัท, การแจ้งจดทะเบียนบริษัท, การจัดการด้านภาษี, การยื่นประกันสังคม และการจัดการด้านเอกสาร การตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น รวมถึงส่งเสริมด้านการหาพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งพร้อมรับฟังความต้องการต่างๆ ของบริษัทต่างชาติ เพื่อดำเนินการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ให้กับผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจในกรุงโตเกียว โดยจะดำเนินการค้นหาคู่ค้า, ซัพพลายเออร์ หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อแนะนำพาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ พร้อมเชิญคุณเข้าร่วมงานต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยกรุงโตเกียว เพื่อขยายโอกาสในการพบปะคู่ค้าที่มีศักยภาพต่อไป
และ Startup Ecosystem Tokyo Consortium ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากภาคส่วนต่างๆ อาทิ บริษัท, หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ, มหาวิทยาลัย, สถาบันวิจัย, กิจการร่วมค้า และภาคการปกครองส่วนท้องถิ่น ยังมีบริการให้คำปรึกษาฟรี เช่น การวิเคราะห์และกลยุทธ์การตลาด แก่บริษัทต่างชาติในภาคอุตสาหกรรม 4.0 และธุรกิจการเงินเทคโนโลยีขั้นสูงที่ต้องการขยายการดำเนินงานในเขตมหานครโตเกียว นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนการจับคู่ทางการค้าระหว่างบริษัทต่างชาติและบริษัทที่ตั้งอยู่ในโตเกียว ผ่านโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อหาพันธมิตรทางธุรกิจ อีกทั้งรัฐบาลกรุงโตเกียวยังมีโปรแกรมที่สนับสนุนบางส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งสำนักงานใหม่ในพื้นที่โตเกียวอีกด้วย

ในงานนี้ นอกเหนือจากตัวแทนของศูนย์ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งมหานครโตเกียว ยังมีผู้ที่ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งบริษัทในโตเกียวมาบรรยายเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการบรรยายหัวข้อ "Business Environment and Industrial Trends in Tokyo" โดย Mr. ASAMA Gempei - General Manager, Access to Tokyo Program & Director Deloitte Tohmatsu Venture Support Co., Ltd. และ Ms. HASHIBA Kiyoko, Director for Global Promotion Startup Strategy Promotion Headquarters Tokyo Metropolitan Government นอกจากนี้ยังมีการสัมภาษณ์พิเศษกับ ดร.เฉลิมพล ปุณโณทก ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีที เอเซีย โรโบติกส์ จำกัด ในหัวข้อ "ประสบการณ์ความสำเร็จในการขยายธุรกิจสู่ตลาดโตเกียว" และมีการให้คำปรึกษาโดย Tokyo SME Support Center
สำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจในกรุงโตเกียว สามารถติดต่อสอบถามและรับคำปรึกษาได้ที่ Tokyo SME Support Center ทางเว็บไซต์: https://www.tokyo-kosha.or.jp/english/index.html
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ให้การต้อนรับ คุณพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) พร้อมคณะผู้บริหาร ในโอกาสร่วมแสดงความยินดีกับการดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM คนใหม่ ณ BAM สำนักงานใหญ่
บริษัท อุตสาหกรรมทำเครื่องแก้วไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์แก้ว หรือ BJC Glass ภายใต้ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณสมพร ณ สุพรรณ รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการ และรองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมแก้วและกระจก ร่วมเป็นสักขีพยานในการทำข้อตกลงความเข้าใจ ในการลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (โฟมและหลอดพลาสติก) ร่วมกับเครือข่ายเกาะยั่งยืนประเทศไทยกว่า 33 เกาะ, สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์กรภาคีเครือข่ายอีกกว่า 30 องค์กร ในงาน “วันมหาสมุทรโลก (World Oceans Day)”

ภายใต้หัวข้อ “Wonder: Sustaining What Sustains Us – ดูแลทะเลที่หล่อเลี้ยงเรา” โดยได้รับเกียรติจาก คุณณัฐพงษ์ สงวนจิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานเปิดงาน เพื่อร่วมมอบความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นำไปสู่การบริหารจัดการขยะทางทะเล ฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนชายฝั่งอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ BJC Glass ได้ร่วมกับชาวเกาะอีกกว่า 30 แห่ง เก็บขยะขนาดใหญ่ “30+ Islands Clean-Up: So Cool Mission” เพื่อรักษามหาสมุทร ในวันมหาสมุทรโลก รวมถึงร่วมแสดงนิทรรศการเพื่อสร้างความเข้าใจถึงความยั่งยืนของบรรจุภัณฑ์แก้ว ที่ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพียงคัดแยกขยะให้ถูกต้อง ณ เกาะช้าง จ.ตราด
ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ ผนึกกำลังสมาคมการค้าไทยมุสลิม (Thai Muslim Trade Association - TMTA) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ ด้วยการขยายตลาดและช่องทางการจำหน่ายสินค้าฮาลาล หวังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจสินค้าฮาลาลของไทยทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

นายสรโชติ อำพันวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า "จากการที่ตลาดสินค้าฮาลาลเป็นตลาดใหญ่ และมีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในฐานะที่ Shop Global มีความเชี่ยวชาญในด้าน TV Shopping และแพลตฟอร์ม Live Commerce การร่วมมือกับสมาคมการค้าไทยมุสลิมในครั้งนี้ เป็นการผสานจุดแข็งของภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจฮาลาลของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในระดับประเทศและระดับภูมิภาค นอกจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้มีช่องทางการจำหน่ายที่เข้มแข็ง เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อมกัน ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างโอกาสและพัฒนาช่องทางธุรกิจฮาลาลในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน"
นายมารุต เมฆลอย นายกสมาคมการค้าไทยมุสลิม (TMTA) กล่าวว่า "TMTA เป็นองค์กรที่ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจของชาวมุสลิมในประเทศไทย มีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับนักธุรกิจและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฮาลาลทุกภาคส่วน การร่วมมือกับ Shop Global E-Commerce ซึ่งเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซ จะช่วยติดอาวุธด้วยเครื่องมือและช่องทางที่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กของเรา สามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และขยายช่องทางการจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากการขยายตลาดแล้ว เรายังจะได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งจะช่วยสร้างความรับรู้และประโยชน์ร่วมกันแก่ทั้งสองฝ่าย รวมถึงพัฒนาเศรษฐกิจของชาติในภาพรวม"

ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการการสร้างช่องทางการตลาดใหม่ และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการสินค้าฮาลาลด้วยการเพิ่มช่องทางการขายผ่านแพลตฟอร์มของ Shop Global E-Commerce รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกัน โดยร่วมมือกันในการจัดหา คัดเลือก และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนสินค้าเทรนด์ใหม่จากประเทศไทยและจากประเทศที่ TMTA มีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องอีกด้วย