

พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล นำระบบปฏิบัติการและฐานข้อมูลจัดเก็บผ่านคลาวด์เต็มรูปแบบ มุ่งสร้างความคล่องตัวและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เอื้อประโยชน์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้เร็วและดีขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์และการดูแลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
นางสาวเปสลารี ธีระสาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานเทคโนโลยีและปฏิบัติการ และสายงานสุขภาพ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดเผยว่า เราให้ความสำคัญและดำเนินธุรกิจตามเจตนารมณ์ For Every Life, For Every Future: ชีวิตมีกันทุกวันดีกว่า ด้วยความมุ่งมั่นในการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด ผ่านการบริการที่สะดวกรวดเร็วและเกินความคาดหวัง เห็นได้จากการที่เรามุ่งเน้นการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ และยกระดับมาตรฐานการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้การดำเนินธุรกิจมีความคล่องตัว รองรับการขยายระบบการดำเนินงานและการขยายฐานข้อมูล รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการจัดเก็บข้อมูลและการประมวลผลข้อมูล สามารถเชื่อมโยงข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อ พรูเด็นเชียล ประเทศไทยจึงได้ย้ายระบบงานที่สนับสนุนการปฏิบัติการของบริษัทฯ ทั้งหมด อาทิ แอปพลิเคชันสำหรับการนำเสนอขาย ระบบสำหรับลูกค้าในการใช้บริการของบริษัท ระบบให้บริการข้อมูลทางโทรศัพท์ รวมทั้งระบบสนับสนุนการทำงานของพนักงาน นำไปจัดเก็บไว้บนระบบคลาวด์ (Cloud) ซึ่งการปรับเปลี่ยนระบบกลางในการควบคุมการดำเนินงานในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัลของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับการขยายธุรกิจและการบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่อง การย้ายระบบงานต่างๆไปยังคลาวด์ เชื่อว่าจะทำให้พรูเด็นเชียล ประเทศไทย มีความคล่องตัวในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากขึ้น โดยนำระบบคลาวด์มาใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูล การบริหารจัดการแอปพลิเคชันของบริษัทฯ การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล ไม่เพียงเท่านั้นการใช้ระบบคลาวด์จะช่วยให้บริษัทฯ ลดปัญหาด้านการจัดการ สามารถปรับปรุงกระบวนการหรือปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ รวมถึงสร้างความพร้อมในการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Big Data, Machine Learning หรือ AI มาใช้เพื่อพัฒนาองค์กรและธุรกิจในอนาคต
ที่สำคัญการใช้ระบบคลาวด์นั้นจะช่วยให้บริษัทฯ สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น ลดปัญหาการบริการที่อาจต้องหยุดชะงัก ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าข้อมูลของตนเองจะได้รับการปกป้องอย่างดี ซึ่งพรูเด็นเชียล ประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า
“นับเป็นความสำเร็จและเป็นอีกก้าวย่างที่สำคัญของพรูเด็นเชียล ประเทศไทย ที่สามารถนำระบบคลาวด์มาใช้ (Cloud Adoption) ได้อย่างสมบูรณ์ 100% ความสำเร็จนี้จะทำให้เราเป็นองค์กรที่คล่องตัว ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายในอนาคต และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีจะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และพัฒนาได้ตามความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด นั่นหมายความว่าเราสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานเทคโนโลยีและปฏิบัติการ และสายงานสุขภาพ กล่าว
นายกฯ ‘แพทองธาร’ นำประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมระดับโลก ภายใต้ 3 กระทรวงหลัก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จับมือ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ “The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025” ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 24–27 มิถุนายน 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 104 ประเทศ โดยไทยร่วมแสดงบทบาทผู้นำระดับภูมิภาคในการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าพัฒนา AI อย่างมีธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติฯ โดยได้กล่าวถึงแนวทางสำคัญ 3 ประการในการกำหนดทิศทางอนาคตของ AI ในประเทศไทย ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ AI เพื่อประโยชน์ของสังคม โดยเฉพาะในด้านเกษตรกรรม สาธารณสุข และการศึกษา การป้องกันการใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การสร้างข่าวปลอมหรือ Deepfake ที่บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือในสังคม การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและการพัฒนา AI โดยยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อสนับสนุนแรงงาน ไม่ใช่แทนที่แรงงาน โดยรัฐจะร่วมมือกับภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษาในการยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
รัฐบาลไทยยังเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ชาติด้าน AI ภายใต้การกำกับของ “คณะกรรมการ AI แห่งชาติ” โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ AI เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และหลักจริยธรรมที่เข้มแข็ง รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจาก AI ได้ไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาทภายในปี 2570 พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมกันนี้ ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการนำ AI ไปใช้ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะด้านการแพทย์ เกษตรกรรม และการศึกษา เพื่อให้เทคโนโลยีนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในทุกมิติอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือทวิภาคีกับ Ms. Audrey Azoulay (นางออเดรย์ อาซูเลย์) ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในการตั้ง “ศูนย์ AI Governance Practice Center (AIGPC) หรือ ศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ระดับภูมิภาค” เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรม AI โดยเฉพาะในบริบทของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความร่วมมือนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศต่าง ๆ ในการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ ความร่วมมือนี้ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของภูมิภาคในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่เกิดจากการใช้ AI ในทางที่ผิด โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้เพื่อหลอกลวงประชาชน เช่น การปลอมเสียงและใบหน้าผ่านเทคโนโลยี Deepfake การส่งข้อความหลอกลวงผ่านระบบอัตโนมัติ และการสนับสนุนขบวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์หรือ Call center ซึ่งล้วนเป็นภัยที่เกิดขึ้นจริงและแพร่กระจายรวดเร็วในหลายประเทศ ซึ่งการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนนี้ เป็นการสะท้อนว่าประเทศไทยพร้อมเดินหน้าร่วมกับประชาคมโลกอย่างมั่นคง บนเส้นทางของการพัฒนา AI ที่มีจริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ยืนยันว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม ไม่ใช่เพียงแค่ในเชิงนโยบาย แต่เน้นการ “นำไปใช้จริง” โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และการบริการที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง โดยไทยยังได้ประเมินความพร้อมด้าน AI ผ่านเครื่องมือ UNESCO RAM (UNESCO Readiness Assessment Methodology) เพื่อให้เข้าใจสถานะปัจจุบันของประเทศอย่างเป็นระบบ พร้อมระบุจุดแข็ง จุดอ่อน และแนวทางปรับปรุงในมิติต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายข้อมูล และทักษะบุคลากร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับบริบทของไทย ทั้งนี้ นายประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดตั้ง ศูนย์ AIGPC ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จะเป็นศูนย์กลางสำคัญในการฝึกอบรม สร้างองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ และยกระดับบุคลากร AI ในระดับภูมิภาคต่อไป

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้รับเกียรติจากผู้นำหลากหลายประเทศ มาร่วมแชร์วิสัยทัศน์และมุมมองครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยี นโยบาย และนวัตกรรม พร้อมด้วยกิจกรรมคู่ขนาน (Side Event) จากพาร์ทเนอร์ทั้งไทยและต่างประเทศที่ร่วมกันจัดขึ้น กับงาน “Bangkok AI Week 2025” ภายใต้แนวคิด “AI Powered Nation: Unleashing the Digital Economy for All” โดยมีกิจกรรมมากมายทั่วกรุงเทพฯ เช่น นิทรรศการเทคโนโลยี AI เวิร์กช็อปการใช้งานจริง เสวนาแลกเปลี่ยนแนวคิดจากนักวิจัยและสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ รวมถึงโชว์เคส AI จากบริษัทชั้นนำ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทุกภาคส่วน รวมถึงประชาชนได้มีส่วนร่วมกำหนดอนาคตของ AI ที่ทุกคนได้ประโยชน์ไปด้วยกัน ผู้สนใจสามารถติดตามบทสรุปการประชุมนานาชาติ The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 และความเคลื่อนไหวของ Bangkok AI Week 2025 ได้ที่เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand
บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นางสาว ศริฐณี ศิริสมบูรณ์ ผู้จัดการอาวุโส ส่วนงานประชาสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม เดินหน้าสานต่อโครงการ “BLA ใส่ใจชุมชน” จัดฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Vaxigrip Tetra) ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. เตาปูน บางโพ และบางซื่อ รวมถึงประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว

ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นความ “ใส่ใจ” ตามหลักปฏิบัติในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในระยะยาวของกรุงเทพประกันชีวิต โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี และสอดคล้องตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และลดการสูญเสียกำลังพล โดยภายในงานยังมีบูท แจกยาดม และน้ำดื่ม ณ ห้องประชุมสถานีตำรวจเตาปูน กรุงเทพมหานคร เมื่อเร็ว ๆ นี้
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เชิญชวนประชาชนผู้ใช้บริการทางพิเศษที่ยังชำระค่าผ่านทางด้วยเงินสด หันมาใช้ระบบ Easy Pass เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทาง สมัครใช้ Easy Pass เพียง 300 บาทเท่านั้น ก็สามารถขับผ่านช่องทาง Easy Pass ได้โดยไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องใช้เงินสด ลดการสัมผัส และช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิทธิประโยชน์ของการใช้ Easy Pass
สมัครใช้งาน Easy Pass ได้แล้ววันนี้ที่
มาเริ่มต้นประสบการณ์เดินทางที่สะดวก ปลอดภัย และทันสมัยไปกับ Easy Pass
เครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ผนึกกำลังกระทรวงพาณิชย์ ช่วยเหลือเกษตรกร นำร่องเปิดพื้นที่ด้านหน้าวิหารเจ้าแม่กวนอิม (อี่ ทง เทียน ไท้) สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ให้เกษตรกรนำพืชผักผลไม้มาจำหน่าย
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า จากการที่ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูกาลที่ผลไม้สำคัญหลายชนิดออกสู่ตลาดพร้อมกัน ทำให้เกิดปัญหาด้านการตลาด เพื่อเป็นการสานต่อนโยบายภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร เพี่อบรรเทาความเดือดร้อนจากผลิตภัณฑ์ล้นตลาดและตัดปัญหาการบีบราคาจากพ่อค้าคนกลาง ทางเครือสหพัฒน์ จึงร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ด้วยการนำร่องเปิดพื้นที่ให้เกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี บริเวณหน้าวิหารเจ้าแม่กวนอิม (อี่ ทง เทียน ไท้)
สำหรับพี่น้องชาวเกษตรกรที่สนใจ สามารถติดต่อเพื่อนำผลผลิตทางการเกษตรไปจัดจำหน่ายได้ที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ กบินทร์บุรี ผ่านช่องทางการติดต่อที่ โทร.037-205203 หรือที่ตัวแทนสำนักงานพาณิชย์จังหวัด คุณเอื้อนจิตร ช่วยนก โทร. 063-2260365 ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ยังได้จัดกิจกรรมสั่งซื้อผลไม้ล่วงหน้า (Pre-order) จากเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่แหล่งผลิตอีกด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @ditthaifruits
เครือสหพัฒน์ชวนเต็มอิ่มกับประสบการณ์ “ช็อป ชิม โชว์” ในงาน “สหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ครั้งที่ 29” ภายใต้คอนเซปต์ “Big Shop Big Show” ระหว่างวันที่ 26–29 มิถุนายน 2568 ณ ไบเทค บางนา ฮอลล์ 98–100 ตั้งแต่เวลา 10.00–21.00 น. งานใหญ่ที่รวมความคุ้มค่ากับสินค้าใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ดังในเครือ อาทิ มาม่า, ฟาร์มเฮ้าส์, วาโก้, เปา, บีเอสซี, ลาคอสต์ และอีกมากมาย พร้อมโปรโมชั่นพิเศษและ Big Deal Set เฉพาะในงานกว่า 1,000 รายการ เอาใจทั้งสายช็อป สายประหยัด และนักสะสมของดีราคาดี พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหม่ล่าสุด “BIGXSHOW” และ “FRIDAY FAIR” ให้คุณช็อปได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์แบบไม่มีสะดุด พร้อมกิจกรรม Live Commerce จากบูธต่าง ๆ ที่จะถ่ายทอดสดการขายแบบเรียลไทม์ให้ถึงหน้าจอ
งานที่รวบรวมสาระและความบันเทิงไว้ในที่เดียวตลอด 4 วันของการจัดงาน และเต็มอิ่มไปกับกิจกรรมบันเทิงสุดคึกคัก ได้แก่
มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง: PERSES– 26 มิ.ย. (19.00-20.00 น.) MIRRR – 27 มิ.ย. (17.30-18.30 น.), Zom Marie (19.00-20.00 น.) No One Else –28 มิ.ย. (19.00-20.00 น.) Ink Waruntorn 29 มิ.ย.– (19.00-20.00 น.)
โชว์ดี จัดเต็ม อาทิ แฟชั่นโชว์ “PRIDE OF WACOAL FASHION SHOW 2025” – 26 มิ.ย. (11.00–12.00 น.) การแข่งขันเต้น “PAN LIFESTYLE DANCING CONTEST ครั้งที่ 2”– 28 มิ.ย. (13.00–15.30 น.)
กิจกรรมสัตว์เลี้ยงสุดน่ารักจาก ORA PET CARE ร่วมกับ K9 เปิดประสบการณ์ฝึกสุนัขให้มีวินัยและความสามารถพิเศษ พร้อมแชร์เรื่องราวสุดประทับใจของเหล่าฮีโร่ 4 ขา ODEN-YA MINI MEETING พบปะ VTuber ชื่อดัง– 29 มิ.ย. (10.00–13.00 น.) FARMHOUSE VTUBER CONCERT & Thailand VTUBER AWARD 2025– 29 มิ.ย. (14.00–18.00 น.)
กิจกรรมสัมมนาและเวิร์กช็อปเสริมสร้างทักษะ และกิจกรรมอีกมากมายจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ
“WASEDA CHALLENGE 2025”– 27 มิ.ย. (10.00–12.00 น.) เสวนาและเวิร์กชอป Character Design for 3D – 28 มิ.ย. (14.00–15.00 น.) เสวนา “นักเรียนจบใหม่ ปักหมุดพบนักพัฒนาแห่งอนาคต” – 27 มิ.ย. (13.00–15.00 น.) เสวนา “เสริมทักษะให้พร้อมใช้ในชีวิตจริง” – 28 มิ.ย. (11.00–12.00 น.)
พิเศษ! พบกับการรวมตัวของ KOL และ Influencers มากมายที่จะมาร่วมสร้างสีสันและถ่ายทอดสดผ่าน Live Commerce จากบูธต่าง ๆ ตลอดงาน
เตรียมตัวให้พร้อม แล้วมาช็อป ชิม โชว์ ให้เต็มอิ่ม ในงาน “สหกรุ๊ป แฟร์ & เฟส ครั้งที่ 29” ที่เดียวครบ จบทุกความสนุก! ตั้งแต่วันที่ 26-29 มิ.ย. 2568 เวลา 10.00-21.00 น.ที่ฮอลล์ 98-100 ไบเทค บางนา ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: www.sahagroupfair.com
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เป็นประธานในพิธีปัจฉิมนิเทศและปิดการศึกษาอบรมหลักสูตร “สุดยอดผู้นำวิทยาการประกันภัยระดับสูง รุ่นที่ 3” หรือ Super วปส. รุ่นที่ 3 ณ โรงแรมเชียงใหม่ แมริออท จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนักศึกษาที่ผ่านหลักสูตร จำนวนทั้งสิ้น 67 คน ซึ่งเป็นผู้นำระดับ Super CEO จากหลากหลายภาคส่วน อาทิ ผู้บริหารจากกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคเทคโนโลยีภาคการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ ภาคสื่อสารมวลชน ภาคประกันภัย และภาคการเงิน สะท้อนพลังของเครือข่ายผู้นำที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วยวิสัยทัศน์ใหม่ โดยได้รับเกียรติจาก นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมในพิธีฯ และรับฟังการนำเสนอผลการศึกษาของผู้สำเร็จการศึกษาในหลักสูตรนี้
ในโอกาสนี้ เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษแก่ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 3 โดยมีใจความสำคัญ ตอนหนึ่งว่า หลักสูตร Super วปส. ไม่เพียงเป็นเวทีการเรียนรู้ที่ทันสมัย แต่เป็นพื้นที่ของการแลกเปลี่ยนแนวคิดและระดมสมอง ของผู้นำที่จะมีบทบาทสำคัญต่อไปในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และระบบประกันภัยไทย ให้เท่าทันกับความท้าทายของโลกยุคใหม่ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากโรคอุบัติใหม่ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และภัยทางเทคโนโลยี สำหรับหลักสูตร Super วปส. รุ่นที่ 3 ได้มีการปรับปรุงและออกแบบหลักสูตรให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้นทุกปี โดยเพิ่มเติมเนื้อหาหลักสูตรที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญของโลกยุคใหม่ อาทิ แนวโน้มความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging Risks) ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านประกันภัย (InsurTech) และนวัตกรรมการบริหารความเสี่ยง พร้อมเสริมกิจกรรม Super CEO Special Talk ซึ่งเป็นเวทีพิเศษให้ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมและธุรกิจชั้นนำ อีกทั้งยังมีการจัดทำเอกสารวิชาการที่รวบรวมองค์ความรู้และข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในอนาคต โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับการถ่ายทอดเนื้อหาครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมประกันภัย ESG การปรับตัวของธุรกิจ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกิจกรรมภาคสนามในจังหวัดเชียงใหม่ภายใต้แนวคิด “Explore & Present Chiang Mai’s Economic Future” โดยได้ลงพื้นที่จริงในย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อาทิ กาดหลวง วัดต้นเกว๋น น้ำพุร้อนแม่ออน และร้านค้าชุมชนท้องถิ่น เพื่อวิเคราะห์โอกาสพัฒนา Soft Power และสร้าง TikTok Content ถ่ายทอดมุมมองเชิงนโยบาย นับเป็นการผสานองค์ความรู้เข้ากับการปฏิบัติอย่างมีพลังสร้างสรรค์
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลรายงานการศึกษาจากผู้เข้าอบรมในหัวข้อ “การพัฒนาต้นแบบ Agentic AI เพื่อให้ความรู้เรื่องกรมธรรม์ประกันภัยผ่านระบบ OIC Connect” ซึ่งเป็นโครงการที่สำนักงาน คปภ. สามารถนำไปต่อยอดในเชิงนโยบายได้จริง พร้อมทั้งจัดกิจกรรม CSR มอบเงินจำนวน 500,000 บาท โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่รับมอบเงินสนับสนุนใน “โครงการเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงิน” ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับซื้อใบไม้แห้งจากชุมชนกิโลกรัมละ 1 บาท มาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดการเผาและฝุ่น PM 2.5 สร้างอากาศที่บริสุทธิ์ และส่งเสริมอาชีพทางเลือกในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
“หลักสูตร Super วปส. ไม่ได้เป็นเพียงหลักสูตรด้านประกันภัย แต่คือพลังของเครือข่ายผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เข้าใจความเสี่ยง และพร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) เดินหน้าส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อสังคม จัดกิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อมอบให้แก่สภากาชาดไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนางสาวปวีณา จูชวน (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการใหญ่ ให้กำลังใจและกล่าวขอบคุณพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ร่วมบริจาคโลหิต ณ อาคารกรุงเทพประกันภัย ถนนสาทรใต้ เมื่อเร็วๆ นี้
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้มีโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาแก่ผู้ป่วยที่รอความช่วยเหลือ โดยกรุงเทพประกันภัยได้ดำเนินกิจกรรมบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือนต่อเนื่องตลอดทุกปี ภายใต้นโยบายด้านการพัฒนาองค์กรเพื่อความยั่งยืนของบริษัทฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริหาร พนักงาน ลูกค้า และประชาชนทั่วไปได้ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนในสังคม
บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในฐานะ ‘Green Insurer’ หรือผู้นำบริษัทประกันที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นำโดยคุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่ 8 จากซ้าย แถวที่สาม ) พร้อมด้วย คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด (คนที่ 7 จากซ้าย แถวที่สาม) จัดกิจกรรมใหญ่ ในสัปดาห์แห่งการทำความดี หรือ “Week for Good” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทุกบริษัทของแอกซ่าทั่วโลก จัดขึ้นพร้อมกันทุกๆ ปี โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นในการให้ความสำคัญกับด้าน Climate Change & Biodiversity โดยในปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “มลพิษทางอากาศ”

กิจกรรม Week For Good ในปีนี้ประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย มุ่งเน้น Climate Change & Biodiversity เปิดด้วยกิจกรรม Save Our Sea Season 3 ที่ภูเก็ต โดยเป็นโครงการระยะยาว ที่ขับเคลื่อนเรื่องการอนุรักษ์ และฟื้นฟู เพื่อสร้างความสมดุลให้ท้องทะเลไทยอย่างยั่งยืน รวมไปถึงกิจกรรมปลูกป่าชายเลน และปล่อยปู ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก บางปู เป็นความร่วมมือของ พนักงานจิตอาสา หรือ Hearts in Action Volunteers ของกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต และ พลังจิตอาสาจากแอกซ่า ประกันภัย ซึ่งถือเป็นความร่วมมือแบบ ONE AXA นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Green Air Gamification การเรียนรู้เรื่อง Air Pollution ผ่านเกมส์ และกิจกรรม “Green Air ปรับปรุงภูมิทัศน์สวนลุมพินี” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ร่วมมือกับ สำนักงานสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานครโดยผู้บริหารพร้อมด้วยพนักงานจิตอาสา รวมพลัง Hearts in Action ร่วมปรับปรุงภูมิทัศน์ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ในสวนลุมพินี พร้อมกิจกรรมเดิน วิ่ง แรลลี่ โดยกิจกรรมดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยสร้างจิตสำนึก ร่วมดูแลรักษาสภาพแวดล้อม และการร่วมกันคืนอากาศสะอาดให้โลก พร้อมเรียนรู้เรื่องมลพิษทางอากาศผ่าน E-Learning การเพ้นท์กระเป๋าผ้าใส่แมส เพื่อส่งมอบให้น้องๆ ด้อยโอกาสในกรุงเทพมหานคร รวมถึงกิจกรรม Green Market แบ่งปันสินค้ากรีนๆ ของพนักงาน เพื่อลดขยะที่เป็นมลพิษของสิ่งแวดล้อม โดยได้รับความสนใจจากผู้บริหาร และพนักงานหัวใจทำงานเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,988 คน นับเป็นชั่วโมงการทำความดีได้มากถึง 2,808 ชั่วโมง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของพนักงานพลังจิตอาสา ที่ใช้หัวใจทำงาน หรือ Hearts in Acton ที่เป็นอีกหนึ่งนโยบายหลักด้านความรับผิดชอบของสังคมของบริษัทฯ

ทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือสังคม อีกทั้งยังทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ และเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นแรงผลักดัน และขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม สู่ความยั่งยืนของสังคมไทย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายสูงสุดของบริษัทฯ ที่จะอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป