×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 6847

 

งาน Thailand Focus เป็นหนึ่งในงานที่จัดมาอย่างต่อเนื่องโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมโยงโอกาสการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันจากทั่วโลก พร้อมขยายฐานผู้ลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยธีมในการจัดงานปี 2018 นี้คือ The Future is Now

 เป็นประจำทุกปีที่ในงานนี้จะเชิญผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมาเล่าความคืบหน้า ความน่าสนใจของประเทศไทยให้กับผู้ลงทุนจากทั่วโลก โดยในปีนี้นอกจากผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่ ดร.ภากร ปิตธวัชชัย ก็ได้รัฐมนตรีมาถึง 3 ท่าน ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.อุตตม สาวนายน และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รวมถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.วิรไท สันติประภพ ที่มาร่วมแบ่งปันมุมมองเรื่องราวเกี่ยวกับภาพรวมและทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุน

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน “Thailand Focus 2018” ว่า 14 ปีก่อนที่มีการจัดงาน Thailand Focus ขึ้นเป็นครั้งแรกภายหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็เพื่อให้ผู้ลงทุนเข้าใจภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และหลังจากที่ตนเองเข้ามารับตำแหน่งดูแลงานด้านเศรษฐกิจให้รัฐบาลชุดนี้เกือบ 4 ปี ก็สามารถบรรลุภารกิจแรกที่ประกาศไว้ คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น โดยเศรษฐกิจขยายตัวจากร้อยละ 0.9 เมื่อปี 2014 สู่ ร้อยละ 4.8 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ดัชนีต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ  มูลค่าการลงทุนที่ขอส่งเสริมจาก BOI เพิ่มจาก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2015 เป็น 19,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017

ภารกิจอีกประการคือ การปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการแก้ไขจุดอ่อนและสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งจะช่วยทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างยั่งยืนรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

รองนายกรัฐมนตรีบอกเล่าถึงจุดแข็งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของไทยที่สามารถเชื่อมโยงอาเซียน CLMVT จีน และอินเดียเข้าด้วยกันได้ ด้วยปัจจัยที่ประกอบด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง เป็นแหล่งแรงงานสำคัญของภูมิภาค นโยบาย Belt and Road ของประเทศจีนที่ไทยก็อยู่ในเส้นทางนี้ด้วย การที่ญี่ปุ่นพยายามผลักดัน CPTPP และความร่วมมือ Indo Pacific Partnership ที่ขับเคลื่อนโดยสหรัฐ อินเดีย และญี่ปุ่น เขตความร่วมมือทางเศรษฐกิจ RCEP ซึ่งทุกแนวคิดอาเซียนและ CLMV คือจุดศูนย์กลางทั้งสิ้น ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นจุดศูนย์กลางการค้าการลงทุน

ประเทศไทยก็ยิ่งมีความน่าสนใจเพราะอยู่ในจุดที่เชื่อมโยงได้ทั้งอาเซียนและ CLMVจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน

โดยรัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่กำลังเร่งขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้ ทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย การทำโครงการ EEC เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ และการขับเคลื่อนประเทศสู่ดิจิทัล ซึ่งในทุกด้านจำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างมหาศาล โดยสิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับประเทศในอนาคต

ทางด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.อุตตม สาวนายน มาให้ข้อมูลความคืบหน้าโครงการ EEC ว่าเป็นไปตามแผนที่เคยประกาศไว้ว่าจะมีการลงทุนในช่วง 5 ปีแรกประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท โดยมีการลงทุนทั้งการเชื่อมระบบขนส่งต่างๆ โครงการอินเทอร์เน็ตของรัฐบาลที่สามารถให้ประชาชนกว่าร้อยละ 60 เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้แล้ว อุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปก็เริ่มมีการขยับตัวมีการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนแล้ว เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเขต EEC

นอกจากนี้โครงการ EEC ยังจะช่วยเชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคอาเซียน CLMV จีน และอินเดีย ด้วยโครงข่ายทั้งทางรถไฟ รถยนต์ และการขนส่งทางน้ำ ซึ่งไทยก็มีการพัฒนาริเริ่มโครงการใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเตรียมพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่นการเตรียมจัดตั้ง EECi (Eastern Economic Corridor of Innovation) ที่ จ.ระยอง ซึ่งจะเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในอุตสาหกรรม และ EEC Digital Park ซึ่งจะตั้งที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยจะเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านดิจิทัลและนวัตกรรม ช่วยส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพต่างๆ ก็เป็นส่วนที่จะช่วยเสริมศักยภาพของประเทศไทยในอีกทางหนึ่ง

ขณะที่ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาตอกย้ำว่า ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า อาเซียนโดยเฉพาะ CLMV จะน่าลงทุนที่สุดเพราะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง และเป็นตลาดขนาดใหญ่ แต่ด้วยขนาดที่เล็กของแต่ละประเทศ จึงเป็นโอกาสดีที่จะร่วมมือกัน โดยไทยในฐานะที่มีภูมิศาสตร์สามารถเชื่อมโยงทุกประเทศได้ก็จะสามารถเป็นศูนย์กลางการลงทุนได้

โดยการเชื่อมโยงมีทั้งโครงการที่เสร็จแล้วเช่นสะพานเชื่อมประเทศไทยกับสปป.ลาวทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าระหว่างกันถึง 5 เท่า และการเชื่อมโยงเช่นนี้ก็กำลังมีเพิ่มมากขึ้น ผ่านโครงการต่างๆ และนโยบายของต่างประเทศเช่น Belt and Road ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกที่จะเชื่อมโยงไปยังประเทศต่างๆ ทั้งการขนส่งสินค้า การเชื่อมโยงในด้าน Supply Chain ของบริษัทเอกชนที่สามารถใช้ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งผลิตสินค้าของตนได้

นอกจากการใช้ EEC ยังมีโครงการที่สำคัญคือ Southern Economic Corridor ที่จะเชื่อมประเทศไทยไปสู่มหาสมุทรอินเดีย เชื่อมโยงภาคตะวันตกของไทยสู่ประเทศเช่นศรีลังกา อินเดีย รวมถึงแอฟริกา ยุโรปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นจะทำให้ไทยเป็นจุดที่สามารถเชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิค และมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกันได้อย่างสำคัญ

ทางด้านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.วิรไท สันติประภพ บอกว่าประเทศไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งเงินสำรองระหว่างประเทศ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งช่วยให้เราสามารถกำหนดนโยบายทางการเงินได้อย่างอิสระ โดยธปท. ยังคงจับตาสถานการณ์ต่างๆ และคอยดูแลไม่ให้เกิดความเสี่ยงในระบบมากเกินไป

ในส่วนของ ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ตลาดทุนไทยเป็นแหล่งระดมทุนแถวหน้าของภูมิภาคอาเซียน โดยมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพจำนวนมาก ผ่านวิกฤตต่างมาหลายครั้งจนมีความยืดหยุ่น และแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์ มีบริษัทจดทะเบียนไทยที่ก้าวสู่บริษัทชั้นนำของโลกเช่นในธุรกิจสนามบิน ธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพ ธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจโรงแรม

ดร.ภากรเล่าถึงพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไทยที่แข็งแกร่งน่าลงทุน มีการเติบโตและให้ผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยผลการดำเนินงาน บจ. ครึ่งปีแรก กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 7.61% ขณะที่ยอดขายเพิ่ม 9.01% ในเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึง บจ. ที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดพาณิชย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ สอดคล้องการขยายตัวของ GDP ที่ 4.8% ในครึ่งปีแรก เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัว 3.2% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจาก 0.9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เชื่อมั่นว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการลงทุนภาคเอกชน ที่สอดรับการลงทุนของภาครัฐ การบริโภคในประเทศ และการส่งออก

ดร.ภากร เปิดเผยว่า   “Thailand Focus 2018”  มีผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ 161 รายร่วมงาน ในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศใหม่ ๆ อาทิ กลุ่มสแกนดิเนเวีย และเอเชียตะวันออก เพิ่มเติมจากตลาดหลักคือยุโรปและอเมริกาที่ลงทุนในตลาดทุนไทยอยู่เดิมและมาร่วมงานเป็นประจำทุกครั้ง สะท้อนถึงการที่ไทยอยู่ในความสนใจลงทุน โดยผู้ลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมงานมีมูลค่าสินทรัพย์รวม (AUM) 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีการประชุมในรูปแบบ one-on-one กับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 115 บริษัท รวมทั้งสิ้น 2,248 ครั้ง

โดยผู้ลงทุนสถาบันยังได้รับฟังข้อมูลโดยตรงจากภาครัฐในเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความคืบหน้าและเป็นรูปธรรม และในระยะใกล้ จะเห็นว่าตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่เป็นโครงการเชิงกลยุทธ์ของภาครัฐที่จะมีการลงทุนถึงกว่า 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย สร้างแรงส่งต่อเนื่องจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด และโครงการอื่นๆ ในระยะผ่านมา และยังเอื้อให้เกิดการเชื่อมโยงกับภูมิภาคโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนในระยะยาวจากโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น  

X

Right Click

No right click