

SCB WEALTH มองปีนี้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แนะกลยุทธ์ลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษีไม่เน้นจับจังหวะ แต่เน้นระยะเวลา และวินัยการลงทุน พร้อมชู 3 เมนูลงทุนเด็ดเสิร์ฟนักลงทุน 3 สไตล์ เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส และเมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุนตั้งแต่นักลงทุนรุ่นใหม่จนถึงวัยใกล้เกษียณ เพื่อโอกาสรับสิทธิลดหย่อนภาษี และโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว
นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้ถือเป็นปีที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญความผันผวน จากความไม่แน่นอนการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงในประเทศเศรษฐกิจหลัก และสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed ) จึงอาจทำให้นักลงทุนรอจังหวะในการเข้าลงทุน เนื่องจากสินทรัพย์หลายประเภทราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ที่สำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การจับจังหวะตลาด แต่อยู่ที่ระยะเวลาการลงทุน และการสร้างวินัยทางการเงิน เพราะเป็นกองทุนที่ต้องลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว เป็นเครื่องมือการสร้างความมั่งคั่งอย่างมีวินัย
"ตามข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ จะพบว่า คนไทยมีแนวโน้มอายุยืนยาวขึ้น จากเดิมอายุขัยเฉลี่ยเคยอยู่ที่ 75 ปี แต่ในปี 2568 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทย ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 85 ปี หมายความว่า ช่วงที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินหลังเกษียณยาวนานมากขึ้น ดังนั้น การลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมให้มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุจึงมีความจำเป็นอย่างมาก และการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณก็มีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนประเภทลดหย่อนภาษี ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงอายุ และระยะเวลาที่เหลือในการทำงาน หรือมีรายได้ เช่น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน ยังมีระยะเวลาในการลงทุนที่ยาว สามารถรับความผันผวนจากการลงทุนได้ เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่เมื่อใกล้ระยะเวลาเกษียณ ต้องเน้นการรักษามูลค่าเงินลงทุนมากขึ้น อาจปรับเปลี่ยนการลงทุน โดยเน้นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำมากขึ้น เป็นต้น” นายศรชัย กล่าว
SCB WEALTH จึงได้ออกแบบ เมนูการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เพื่อให้นักลงทุนเลือก 3 สไตล์ สอดคล้องกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน
เมนูที่ 1 THE SIGNATURE CORE ธีมลงทุนแบบเน้นปกป้องเงินต้น เปี่ยมด้วยคุณภาพ โดยตราสารที่ลงทุนเป็นสินทรัพย์คุณภาพ (High-Quality Assets) เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันรับมือความผันผวน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อเพิ่มความมั่นใจสำหรับเงินที่เตรียมไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยเฉพาะผู้ลงทุนที่ใกล้เกษียณ มีกองทุนแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1 ) กองทุน SCBTB(ThaiESGA) ความเสี่ยงระดับ 4 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green bond ) ตราสารเพื่อความยั่งยืน ( Sustainability bond) หรือตราสารส่งเสริมความยั่งยืน ที่มีการเปิดเผยข้อมูลตามที่ก.ล.ต. กำหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม เป็นตราสารหนี้ชั้นดีภาครัฐและเอกชน พร้อมจุดแข็งการคำนึงถึงประเด็น สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว 2) กองทุน SCBRMMONEY ความเสี่ยงระดับ 1 คือ เสี่ยงต่ำ ลงทุนในตราสารหนี้ไทย ทั้งภาครัฐ และเอกชน อายุเฉลี่ย 1-3 เดือน และ 3)กองทุน SCBRM1 ความเสี่ยงระดับ 4 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นคุณภาพดี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก
เมนูที่ 2 THE PERFECT BLEND ธีมลงทุนแบบเน้นสมดุลอย่างลงตัว ระหว่างความมั่นคงและโอกาส มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสเติบโตของเงินลงทุน ควบคู่กับสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวนให้พอร์ตลงทุน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องการสร้างความสมดุลให้กับโอกาสการเติบโตและความมั่นคงอย่างลงตัว โดยเฉพาะคนที่ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว คนที่มีครอบครัวต้องดูแล แนะนำ 3 กองทุนดังนี้ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 คือเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMWORLD(A) ความเสี่ยงระดับ 6 คือเสี่ยงสูง ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่และ ขนาดกลางในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI World และ3)กองทุน SCBGOLDHRMF ความเสี่ยงระดับ 8 ลงทุนใน SPDR Gold Trust กองทุนทองคำแท่งที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงราคาทองคำแท่งในตลาดโลก
เมนูที่ 3 THE GROWTH BOOSTER ธีมลงทุนเพื่อโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนที่โดดเด่นเรื่องโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น ตลาดหุ้น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง โดยเฉพาะกลุ่มที่เริ่มทำงานไม่นาน มีเวลาสำหรับการลงทุนได้อีกในระยะยาว แนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ 1) กองทุน SCBTM(ThaiESG) ความเสี่ยงระดับ 5 ลงทุนในกองทุนผสมหุ้นไทย และตราสารหนี้ไทยที่ยั่งยืน แบบยืดหยุ่น ลดความผันผวน 2) กองทุน SCBRMS&P500 ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ และ 3)กองทุน SCBRMNDQ ความเสี่ยงระดับ 6 ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งสะท้อนราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำ 100 แห่งในสหรัฐฯ
“การนำเสนอเมนูการลงทุนลดหย่อนภาษีที่ออกแบบให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว และเป็นทางเลือกการลงทุนที่ให้ทั้งผลตอบแทน และสิทธิลดหย่อนภาษี ช่วยให้ผู้ลงทุนสร้างวินัยทางการเงินเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณในแบบที่ต้องการ ” นายศรชัย กล่าว
สำหรับเงื่อนไขการลงทุนกองทุน ThaiESG นับตั้งแต่ปี 2567-2569 ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 300,000 บาท ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ (แบบวันชนวัน) ไม่มียอดซื้อขั้นต่ำ ส่วนกองทุน RMF ซื้อได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอื่นๆ ได้แก่ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ประกันชีวิตแบบบำนาญ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี แต่เว้นได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน ไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้จนกว่าอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีเต็ม ลงทุนในปีใดสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในปีนั้นได้
หมายเหตุ : คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO และข้อมูลผลิตภัณฑ์โดย Investment Product Selection ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568 ทั้งนี้ ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน
คำเตือน
· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF, Thai ESG ก่อนตัดสินใจลงทุน เงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กรมสรรพากรกำหนด กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
· กองทุนที่มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราเปลี่ยนทั้งจำนวนผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
· ศึกษาข้อมูลกองทุนและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากwebsite บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่SCB Call Center โทร. 02-777-7777
ธนาคารไทยพาณิชย์ โดย ดร.ยรรยง ไทยเจริญ Chief Economist and Sustainability Officer รับมอบใบรับรองคาร์บอนเครดิต จำนวน 2,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ จาก โครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” กับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารได้เข้าร่วมตั้งแต่ปี 2563 เพื่อวางระบบการวัดประเมินและจัดการคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าชุมชน และสนับสนุนให้ชุมชนดูแลป่าตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนให้ชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน คาร์บอนเครดิตจำนวน 2,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นปริมาณที่คำนวณจากการสนับสนุนพื้นที่ป่าชุมชนเป้าหมาย ระหว่างปี 2563-2567 ได้แก่ ป่าชุมชนบ้านป่าซางดอยแก้ว จ.เชียงราย และป่าชุมชนบ้านห้วยหมากเอียกเหนือ จ.เชียงราย รวมพื้นที่ป่าทั้งสิ้นกว่า 1,390 ไร่ ซึ่งธนาคารได้นำคาร์บอนเครดิตที่ได้รับมาใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของธนาคาร ภายใต้แนวทาง กิจกรรมที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Event) ซึ่งมีส่วนช่วยในการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทั้งยังได้สร้างชุมชนเข็มแข็ง สร้างแหล่งสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่
การได้รับใบรับรองคาร์บอนเครดิตจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ในครั้งนี้ ยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของธนาคารไทยพาณิชย์ที่จะเป็นผู้นำในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมที่ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ภายใต้แนวคิด “อยู่ อย่าง ยั่งยืน” ซึ่งธนาคารเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน ที่ต้องร่วมกันตั้งเป้าหมาย สร้างแรงกระเพื่อม ประสานความร่วมมือ เพื่อสร้างอนาคตให้เราทุกคนได้อยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตจำนวน 2,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่ากับกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับที่สามารถประเมินได้ ดังนี้
· การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์โดยต้นไม้กว่า 210,500 ต้นต่อปี (คำนวณตามอัตราการเก็บกักคาร์บอน 9.5 กก./ต้น/ปี ตามมาตรฐาน T-VER ของ TGO)
· การปล่อยคาร์บอนจากการจัดงานคอนเสิร์ตหรือเอ็กซิบิชันขนาดใหญ่ 2–3 งาน ที่มีผู้เข้าร่วมหลายหมื่นคนต่อครั้ง
· การใช้รถยนต์ส่วนบุคคลกว่า 400 คันตลอดหนึ่งปี (คำนวณจากการขับขี่เฉลี่ย 15,000 กิโลเมตร/คัน/ปี)
SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “Trump Tariff กับบริบท เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC , SCB CIO , SCB Finance Market และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ โดย SCB EIC มองทั่วโลกรับผลกระทบกำแพงภาษีทรัมป์ถ้วนหน้า ไทยรับผลกระทบหนักเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลก ลุ้นรัฐเจรจาต่อรองผ่อนหนักเป็นเบา ขณะที่ นักกลยุทธ์ตลาดการเงิน คาดในระยะสั้นภาษีทรัมป์กดดันบาทอ่อน 34.5-35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วน InnovestX มองตลาดหุ้นไทยรับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจมากกว่าทางตรง แนะนำเลือกลงทุนหุ้นที่มีรายได้อิงในประเทศ ด้าน SCB CIO แนะลงทุนเน้นตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง กองทุนผสม และทองคำก่อน หลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง รอความผันผวนลดลง ค่อยกลับเข้าลงทุนตลาดหุ้นเมื่อเห็นสัญญาณที่ดีของการเจรจา
SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “Trump Tariff กับบริบท เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก” โดยการผนึกกำลังกันของหน่วยงาน SCB EIC , SCB CIO , SCB Finance Market และ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ให้แก่ลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบาย Trump Tariff และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลกและไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้ เพื่อให้พอร์ตลงทุนไม่ผันผวนและมีเสถียรภาพ
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCBEIC เปิดเผยว่า การประกาศขึ้นกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก โดย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการ GDP โลก ปีนี้เหลือเติบโต 2.2% จากเดือน มี.ค.ที่ประเมินไว้ว่าจะเติบโต 2.4% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต 1.3% ลดลงจากเดือน มี.ค. ที่คาดการณ์ไว้ 1.9% สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ เดิมคาดว่าจะเติบโต 2.4% ประเมินเบื้องต้นคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตลดลงเหลือราว 1.4-1.5% (SCB EIC อยู่ระหว่างการปรับประมาณการใหม่) เพราะนอกจากถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำกับทุกประเทศ 10% แล้ว ไทยยังจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศที่มีความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มอีก จนเพดานภาษีที่จะเก็บไทยสูงสุดที่ 36% สูงกว่าค่าเฉลี่ยการถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มของทั้งโลก อยู่ที่ 16% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน อยู่ที่ 33%
ส่วนทิศทางนโยบายการเงิน คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี จากเดิมที่มองอีกแค่ 2 ครั้ง ตามทิศทางเศรษฐกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ เราอยู่ในเกมที่ทุกประเทศถูกเก็บภาษีไม่เท่ากัน โดยที่ประเทศอื่นส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีน้อยกว่าเรา ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับสินค้าประเทศอื่นที่ถูกกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องปรับตัวทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกระจายตลาดส่งออก การบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือความไม่แน่นอน และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่บริบทของภาครัฐก็มีความสำคัญในด้านการเจรจาการค้า เตรียมแผนลดผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในระยะสั้น และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษี เงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้แข็งค่าอย่างที่เคยคาดไว้ แต่ค่าเงินกลับอ่อนลง ด้านสกุลเงินหลักอื่น ๆ ในโลก เช่น เงินยูโร เงินเยน และเงินฟรังก์สวิส แข็งค่าขึ้น เนื่องจากรับหน้าที่เป็นสกุลเงินปลอดภัย (Safe haven currency) ส่วนสกุลเงินในเอเชียอ่อนค่าลง จากการที่นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่น โดยค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เนื่องจากไทยเผชิญผลกระทบ 2 เรื่องซ้อนกัน คือผลกระทบจากแผ่นดินไหว และผลกระทบจากการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ อีกทั้ง ไทยพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ และจีนสูง นักลงทุนจึงสูญเสียความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก สำหรับค่าเงินบาทในระยะสั้น คาดว่า อาจจะอ่อนค่าอยู่ในกรอบ 34.5-35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่ยอมให้เงินอ่อนค่าเพื่อรองรับผลกระทบจากกำแพงภาษีของทรัมป์ และเงินบาทอาจอ่อนค่าตามแนวโน้มเงินหยวน สำหรับในระยะกลางถึงยาว แนวโน้มเงินบาทจะขึ้นอยู่กับการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยในกรณีที่ไทยไม่สามารถตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อให้ลดภาษีลงได้ภายใน ก.ค. อาจทำให้ความเชื่อมั่นลดลง ในช่วงครึ่งปีหลัง กดดันบาทอ่อนค่าเร็วต่อได้ในกรอบ 35.50-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี หากไทยสามารถเจรจาได้ และสหรัฐฯ ยอมลดภาษีลงบางส่วน ทั้งต่อไทยและประเทศอื่น ๆ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและ Global capital flows ไม่รุนแรง ก็อาจทำให้เงินบาททรงตัวหรือกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีหลังในกรอบ 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า หากนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ให้ผลตอบแทนต่ำสุดอันดับต้นๆ ของโลก แต่หากนับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีศุลกากร ตลาดหุ้นไทย ปรับลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยเราคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบทางตรงไม่มาก โดยหากรายได้จากสหรัฐฯ ลดลง 10% จะกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน 2% แต่หากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ก็สามารถชดเชยผลกระทบนี้ได้แล้ว ส่วนที่กระทบตลาดหุ้นไทยมากคือ ผลกระทบทางอ้อมที่มาจากเศรษฐกิจ โดยหาก GDP ของไทยลดลง 0.5% จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง 6% หาก GDP ไทย ลดลง 3% จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงเกือบ 30% จึงต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจว่าได้รับผลกระทบมากน้อยอย่างไร ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ เรามองว่า ควรเน้นคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่เน้นตลาดในประเทศมากๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความต้องการในประเทศ และราคาพลังงานที่ลดลง
นางสาวเกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB CIO ประเมินผลกระทบจากภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็น 2 กรณี โดยกรณีแรก Base case มีความเป็นไปได้ 80% ประเทศต่างๆ จะเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ได้ โดยใช้เวลาไม่นานนัก ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น ส่วน กรณีที่ 2 Worst case มีความเป็นไปได้เพียง 20% คือ การเจรจายืดเยื้อมากกว่า 6 เดือน มีการตอบโต้รุนแรงจากจีนและประเทศอื่นๆ เช่น ยุโรป รวมถึงประธานาธิบดีทรัมป์ อาจประกาศมาตรการทางภาษีใหม่ๆ ที่รุนแรงเพิ่มเติม จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) หรือเกิดภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นโลก เป็นขาลงในระยะยาว ทั้งนี้ เรามองว่า มีโอกาสเกิดกรณี Base case มากกว่า จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงช่วงนี้ จนกว่าสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ความผันผวนปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ยังสามารถลงทุนได้ในตราสารหนี้ ที่มี Duration ระยะสั้นและระยะกลาง กองทุนผสมที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลปรับสัดส่วนการลงทุนให้ในพอร์ตหลัก และ ทองคำ
นายชาตรี โรจนอาภา หัวหน้าทีมที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดการเงินกำลังมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรใจเย็น ติดตามสถานการณ์ก่อน กรณีความเป็นไปได้ของการเจรจาระหว่างทรัมป์ และประเทศต่างๆ ออกมาเป็น Base case ตามที่ SCB CIO ประเมิน นักลงทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ ควรรอดูสถานการณ์ก่อน (Wait and See) เมื่อตลาดเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว อาจกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ปรับลดลงไปมาก จากการได้รับผลกระทบด้านกำแพงภาษีของทรัมป์ เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์พัฒนาจนกลายเป็น Worse case ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อย แต่หากเกิดขึ้นจริง อาจจำเป็นต้องขายลดน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมในพอร์ตลงทุน ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเลย สามารถทยอยลงทุนได้ หลังจากที่สถานการณ์เริ่มมีความชัดเจนแล้ว
ในส่วนของสินทรัพย์ที่เสี่ยงไม่สูงอย่าง ตราสารหนี้ สามารถลงทุนได้เลย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ดังนั้น การลงทุนตราสารหนี้ในช่วงเวลานี้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนยังมีโอกาสรับผลตอบแทนในระดับสูงอยู่ ก่อนที่ดอกเบี้ยจะปรับลดลง โดยอาจเลือกตราสารหนี้ระยะสั้นและกลางเป็นหลัก ขณะที่ ทองคำ เป็นสินทรัพย์อีกประเภทที่น่าสนใจ เพราะธนาคารกลางประเทศต่างๆ มีแนวโน้มสะสมทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น โดยการปรับฐานของราคาทองคำในช่วงนี้ อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทองคำในระยะยาว
คำเตือน
SCB WEALTH สร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ดึงพันธมิตรเบอร์หนึ่งระดับโลกด้านการจัดการสินทรัพย์ จับมือ BlackRock พันธมิตรรายสำคัญที่จะหนุนให้ SCB WEALTH เป็นผู้นำอันดับหนึ่งธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไทย พร้อมนำพาลูกค้ามุ่งสู่การลงทุนในต่างประเทศ เจาะนวัตกรรมการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพสูง เพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่ดี ในยุคเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความผันผวนเปลี่ยนแปลงเร็ว พร้อมร่วมมือกันเจาะลึกทุกมิติของการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า เข้าถึงบทวิเคราะห์และข้อมูลการลงทุนเชิงลึกใหม่ๆ ร่วมให้คำปรึกษาและแชร์ประสบการณ์ มาเสริมประสิทธิภาพการให้คำแนะนำการลงทุน ที่แม่นยำและรวดเร็วตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น จัดทำโปรแกรมฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพ RM ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล ทำแผนการตลาดร่วมกันแบบ Co – Brand เพื่อสนับสนุน SCB WEALTH เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าทุกด้านของการลงทุน มีสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมาย 180,000 ล้านบาท ในปี 2569
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB WEALTH เป็นหน่วยธุรกิจที่สำคัญของธนาคาร มีเป้าหมายในการขึ้นเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทย ในปี 2569 เพื่อยกระดับการให้บริการในธุรกิจเวลธ์ดีที่สุดในทุกมิติ มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล หนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะนำพาให้บรรลุเป้าหมายนี้คือการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลกและมีแนวคิดในการทำงานที่สอดคล้องกัน เพื่อคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและนักลงทุนไทยในการสร้างอนาคตทางการเงินให้แข็งแกร่ง มีสินทรัพย์เพียงพอต่อการดำรงชีวิตวัยเกษียณ
พันธกิจที่สำคัญนี้ธนาคารเห็นว่า BlackRock ผู้นำเบอร์หนึ่งด้านการจัดการสินทรัพย์ระดับโลก มีแนวคิดในการดำเนินธุรกิจบริหารความมั่งคั่งไปในทิศทางเดียวกับ SCB WEALTH ที่ให้ความสำคัญด้านการวางแผนการลงทุนเพื่อเป้าหมายในระยะยาว โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เปิดโอกาสให้ SCB WEALTH เข้าถึงข้อมูลการลงทุนในเชิงลึกและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เฉพาะลูกค้าธนาคารเท่านั้น ซึ่งตอบโจทย์แนวทางการทำงานของธนาคารในเชิงกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่ง จึงทำให้เกิดความร่วมมือกันระหว่าง SCB WEALTH และ BlackRock ได้จับมือกันสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ให้กับธุรกิจบริษัทความมั่งคั่งในไทยเพื่อนำพานักลงทุนไทยมุ่งสู่การลงทุนระดับโลก
BlackRock เป็นผู้นำเบอร์หนึ่งธุรกิจการจัดการสินทรัพย์ระดับโลก ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการกว่า11.6 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567) มีสินทรัพย์ลงทุนที่หลากหลายครอบคลุมทุกตลาดทั่วโลก มีสถาบันวิจัย BlackRock Investment Institute ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจสร้างพอร์ตการลงทุนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าในการขับเคลื่อนการลงทุนในตลาดการเงิน ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการสร้างความยิ่งใหญ่ครั้งใหม่ที่ 2 ยักษ์ในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งชั้นนำของไทย และผู้นำด้านการลงทุนและบริหารความเสี่ยงอย่าง BlackRock มาร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจเวลธ์ในไทย เพื่อมอบโซลูชันการลงทุนที่ตอบโจทย์และสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวให้กับนักลงทุนไทย
ความร่วมมือในครั้งนี้มีเป้าหมายร่วมกันในการเจาะลึกทุกมิติของการลงทุนแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด โดยยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ภายใต้แนวคิด Your Success. Our Success. ช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว โดย SCB WEALTH และ BlackRock จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเข้าถึงข้อมูลการลงทุนในเชิงลึก จัดทำบทวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น จัดตั้งทีมงานในการค้นหากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมให้กับนักลงทุนไทย เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยจะร่วมกันพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มีมาตรฐานระดับสากลให้เฉพาะลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น นอกจากนี้ BlackRockจะร่วมกับ SCB Wealth Academyในการพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมสำหรับที่ปรึกษาการเงิน (RM) เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ด้านการลงทุน เข้าใจผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างลึกซึ้งและการให้บริการลูกค้าเพื่อยกระดับให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล พร้อมร่วมให้คำปรึกษาและแชร์ประสบการณ์ มาเสริมประสิทธิภาพการให้คำแนะนำการลงทุน ที่แม่นยำและรวดเร็ว ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และร่วมทำการตลาดแบบ Co-brand เพื่อยกระดับการให้บริการด้านการลงทุนแก่ลูกค้าทั่วประเทศ
นายแอนดรู แลนด์แมน รองประธานภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิค และประธานด้านการบริหารความมั่งคั่ง เอเชีย แปซิฟิค เปิดเผยว่า การร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผสมผสานองค์ความรู้ในการลงทุนและบริการต่าง ๆ จาก BlackRock เข้ากับความเชี่ยวชาญของธนาคารในการบริหารความมั่งคั่งและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงโจทย์ความต้องการของนักลงทุนไทย เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้นำเสนอโอกาสในการลงทุนระดับโลกที่มีความหลากหลายให้กับนักลงทุนทั้งกลุ่ม High Net Worth และ กลุ่ม Mass Affluent ในประเทศไทยเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว
จากข้อมูล Statista Market Forecast ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่า ในปี 2568 มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร เพิ่มขึ้นเป็น 86.74 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐและเพิ่มเป็น 88.49 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในปี 2572 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้น ส่งผลให้กลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (HNWIs) ในประเทศไทยขยายตัวมากขึ้น และต้องการโซลูชันการลงทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตามโลกที่เปลี่ยนแปลง เช่น การลงทุนแบบ Multi-Asset ในการกระจายสินทรัพย์ลงทุนที่มีความหลากหลาย เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และโอกาสทำกำไรในระยะยาว ซึ่งจะพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น โดยพอร์ตโฟลิโอนี้จะบริหารโดยทีมบริหารพอร์ตโฟลิโอเฉพาะทางในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบบ Multi-Asset กว่า 500 คนทั่วโลก จะบริหารจัดการด้วยมุมมองการลงทุนระยะยาวควบคู่ข้อมูลการวิจัยการลงทุนในเชิงลึก เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น และเข้าใจถึงประโยชน์ที่แท้จริงของการลงทุนแบบ Multi-Asset
นอกจากนี้ ความร่วมมือนี้จะช่วยสนับสนุน SCB WEALTH ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 180,000 ล้านบาท ในปี 2569 จากการเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า และต้องการให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชั่นการลงทุนระดับโลกมากขึ้น ได้สัมผัสนวัตกรรมการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ตลาดมีความผันผวน และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว BlackRock จะร่วมมือกับ SCB WEALTH ในฐานะผู้ให้คำแนะนำในการลุงทนเพื่อออกแบบนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เฉพาะลูกค้า SCB WEALTH เท่านั้น รวมไปถึงการนำเสนอข้อมูลบทวิเคราะห์การลงทุนในเชิงลึก เพื่อให้ลูกค้ามีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุน และ BlackRock จะนำประสบการณ์มาร่วมจัดอบรมพัฒนาศักยภาพที่ปรึกษาทางการเงิน ให้เข้าใจผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายเชิงลึกมากขึ้น เพื่อสามารถส่งผ่านความเข้าใจถึงลูกค้า ผนวกกับการให้บริการที่ดีแบบมืออาชีพเทียบเท่าระดับสากล เพื่อสนับสนุนให้ SCB WEALTH เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้าในทุก ๆ ด้านของการลงทุน และมีสินทรัพย์ลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
คำเตือน
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
นายศรชัย สุเนต์ตา (กลาง) ,CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ นำทัพทีมผู้บริหาร SCB WEALTH จัดงานแถลงข่าว SCB WEALTH Holistic Experts ในหัวข้อ Tomorrow’s Wealth: Key Investment Trends Defining 2025 โดยมีนางสาวรัฐยา ทองรัตน์ (ที่ 3 ขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน High Net Worth & Affluent Segment นางสาวศลิษา หาญพาณิช (ที่ 3 ซ้าย) ผู้บริหารสายงาน Wealth and Insurance Capability Development และ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน CASA Product นายสุกิจ อุดมศิริกุล (ที่2ขวา) กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ดร. นิติ เนื่องจำนงค์ (ที่2 ซ้าย )ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ดร. ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ (ที่1ขวา) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) น.ส.เกษรี อายุตตะกะ (ที่1 ซ้าย) CFP® ผู้อำนวยการ Investment Research, SCB Chief Investment Office (SCB CIO ) ร่วมแถลงข่าว พร้อมให้การต้อนรับสื่อมวลชน ณ โรงแรมโซแบงคอก เมื่อเร็วๆนี้
นายศรชัย สุเนต์ตา เปิดเผยว่า การจัดงานแถลงข่าว SCB WEALTH Holistic Experts 2025 ในครั้งนี้ เพื่อต้องการมุ่งเน้นในการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการลงทุน รวมถึงโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจับตามองในปีนี้ พร้อมโซลูชั่นการลงทุนที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุน ที่สามารถให้คำแนะนำครบทุกองค์รวมของ SCB WEALTH Holistic เพื่อให้นักลงทุนสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ SCB WEALTH ยึดมั่นในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยมุ่งให้คำปรึกษาเพื่อคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละรายในทุกช่วง Stage of Life เพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง และมีอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ พร้อมส่งต่อมรดกและความมั่งคั่งให้กับสมาชิกในครอบครัวรุ่นต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดย SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากนโยบาย Trump 2.0 และคาดว่าปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยรวม 50 BPS เพื่อรองรับความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นจากการขึ้นภาษีนำเข้าและการกระตุ้นการลงทุนในประเทศสหรัฐ ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าปีนี้โต 2.4% รับผลกระทบการกีดกันการค้าจากสหรัฐ เนื่องจากสินค้าส่งออกไทยเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าลดการขาดดุลการค้าและต้องการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานในประเทศทดแทน ส่วน SCB CIO แนะตลาดหุ้นสหรัฐ โดดเด่นสุด ผลตอบแทนมีโอกาสเหนือตลาดหุ้นโลก จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตดี แม้ Valuation แพง แนะลงทุนระยะยาว ในหุ้นกลุ่ม Quality Growth เกาะกระแส AI ด้าน InnovestX แนะลงทุนแบบเก็งกำไร ประเมินเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,550 จุด จากปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงาน และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล