December 05, 2025

ไมโครซอฟท์ ตอกย้ำพันธสัญญาสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์และ AI ด้วยการประกาศแผนงานภายใต้แนวคิด “สร้างอนาคตประเทศไทยด้วย AI” เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยแผนงานดังกล่าวนี้ นับเป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่างไมโครซอฟท์และรัฐบาลไทย

ในโอกาสที่คณะผู้บริหารจากไมโครซอฟท์ นำโดย มร. โรดริโก เคเด ลิมา ประธาน ไมโครซอฟท์ เอเชีย ได้เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในการร่วมหารือและรับทราบถึงความคืบหน้าล่าสุดภายใต้ความร่วมมือกับไมโครซอฟท์

การประกาศแผนงานครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไมโครซอฟท์ในการสนับสนุนเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมตอกย้ำความร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมที่สร้างประโยชน์ให้กับคนไทยทั่วประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้ความร่วมมือนี้ ไมโครซอฟท์จะพัฒนา Cloud Region ในประเทศ ส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลและ AI และยกระดับศักยภาพด้านนวัตกรรมของภาคธุรกิจและชุมชนนักพัฒนาในไทย รวมถึงการร่วมก่อตั้งศูนย์นวัตกรรม AI แห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เหล่านี้ให้บรรลุผลสำเร็จต่อไป

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของประเทศไทยในเวทีนวัตกรรมดิจิทัลและ AI และสอดคล้องกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ที่จะช่วยสร้างเส้นทางสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ผ่านการเรียนรู้ด้านดิจิทัลและ AI สำหรับประชาชนทุกคน”

 “ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยมี AI เข้ามาช่วยพลิกโฉมทั้งแนวทางการสร้างนวัตกรรม การแข่งขัน และการสร้างโอกาส” มร. โรดริโก เคเด ลิมา ประธาน ไมโครซอฟท์ เอเชีย กล่าว “แนวคิด ‘สร้างอนาคตประเทศไทยด้วย AI’ ซึ่งเป็นความตั้งใจสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเราต่อศักยภาพของประเทศไทย และความมุ่งมั่นที่จะสรรสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน เราภูมิใจที่ได้ให้การสนับสนุนกับองค์กรไทยและคนไทย ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะ และความร่วมมือเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตในยุคดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับทุกคน”

ภายใต้พันธสัญญาครั้งสำคัญนี้ ไมโครซอฟท์กำลังเร่งพัฒนา Cloud Region ในประเทศไทย เพื่อให้บริการคลาวด์และ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงแก่ลูกค้าทั่วประเทศ โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำของไทยและพาร์ทเนอร์ระดับโลก อาทิ กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ร่วมกับ แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) พร้อมด้วย ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้าเซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี)

ทั้งนี้ Cloud Region ใหม่ของไมโครซอฟท์แห่งใหม่ในประเทศไทย ผสานความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับโลกเข้ากับจุดแข็งทางเศรษฐกิจของไทยและระบบนิเวศดิจิทัลที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจและนักพัฒนาไทยสามารถสร้าง พัฒนา และขยายโซลูชัน AI ได้ภายในประเทศ โดยมั่นใจได้ในมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ทั้งยังสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (data residency) อย่างครบถ้วน การพัฒนา Cloud Region ในไทย ถือเป็นการสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้าน AI และนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและเปิดประตูไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ในทุกระดับ

 

เสริมศักยภาพองค์กรไทยในการสร้างนวัตกรรมด้วย AI

เพื่อช่วยให้องค์กรทั่วไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มที่ ไมโครซอฟท์ได้ขยายความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำที่จะเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Cloud Region ใหม่แห่งนี้เป็นกลุ่มแรก ด้วยข้อได้เปรียบทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามกฎหมายและกรอบข้อบังคับต่าง ๆ ในประเทศไทยโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถวางรากฐานสำหรับนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมรองรับผู้ใช้ในวงกว้าง และเสริมศักยภาพทั้งในด้านกระบวนการทำงาน ประสบการณ์ของลูกค้า และการสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ในภาคธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ที่เชื่อถือได้จากไมโครซอฟท์

· การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เดินหน้าวิสัยทัศน์ทรานสฟอร์มสู่ดิจิทัลโดยใช้เทคโนโลยีคลาวด์ และ AI ที่เชื่อถือได้จากไมโครซอฟท์ เพื่อยกระดับการดำเนินงานและพัฒนาบริการรูปแบบใหม่ ผ่านหน่วยธุรกิจดิจิทัลของกฟผ. สร้างแพลตฟอร์มที่ใช้ข้อมูลและ AI มาปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และเปิดโอกาสสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ความริเริ่มนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ กฟผ. ในการสร้างนวัตกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน เสริมศักยภาพกฟผ. ให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำพลังงานไทยในอนาคตที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

· KBTG หน่วยงานทางด้านเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย ชูกลยุทธ์การนำข้อมูลขับเคลื่อนทิศทางองค์กร โดยนำความสามารถของ AI มาเผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่รองรับการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดทั่วทั้งองค์กร ผลักดันธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ “Human-First x AI-First” ที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมด้วยการเข้าถึงความต้องการของลูกค้า ความรับผิดชอบ และการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้จริง เมื่อ Cloud Region ใหม่ของไมโครซอฟท์เปิดให้บริการ KBTG จะสามารถขยายโครงการที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และสอดคล้องกับข้อกำหนดต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความไว้วางใจของลูกค้า

· SCBX ยังคงเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ AI-first (หรือเส้นทางสู่ AI-first organization) โดยมีเป้าหมายในการเป็นกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงินที่ได้รับการชื่นชมมากที่สุดในภูมิภาค บริษัทได้ผนึกรวมระบบการทำงานด้านข้อมูลและ AI เข้าด้วยกัน เพื่อเร่งพัฒนาโซลูชันที่ชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น พร้อมนำเสนอประสบการณ์การให้บริการธนาคารรูปแบบใหม่ ๆ ที่เน้นการตอบโต้กับลูกค้ โดยใช้ AI เอเจนต์ หรือผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่มี AI เป็นผู้ช่วย เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจนในที่สุด การเปิดตัว Cloud Region ใหม่ในประเทศไทยจะต่อยอดแผนงานและความสำเร็จเหล่านี้ด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ความยืดหยุ่นและมั่นคงที่ได้มาตรฐานระดับโลก และการรองรับกรอบข้อบังคับภายในประเทศอย่างครบถ้วน ทั้งยังสอดคล้องกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องของ SCBX ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI ความเข้าใจในเทคโนโลยี AI และการพัฒนาทักษะให้กับพนักงานทั่วทั้งองค์กร

นอกจากความร่วมมือข้างต้นนี้ ไมโครซอฟท์ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้าง AI Innovation Sandbox สำหรับการวิจัย ทดลอง และพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวข้ามความท้าทายในระดับชาติไปได้ โดยความสำเร็จครั้งสำคัญจากความร่วมมือนี้ ได้แก่ การพัฒนาโซลูชัน AI ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะหน่วยงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐบาลไทย ได้นำโซลูชัน AI ที่พัฒนาขึ้นบน Microsoft Azure OpenAI เพื่อสนับสนุนการก้าวสู่สถานะสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development – OECD) ของประเทศไทย โดยสามารถแปลและเปรียบเทียบกฎหมายไทยกว่า 70,000 ฉบับกับข้อกำหนดของ OECD กว่า 270 ฉบับ เพื่อระบุช่องว่าง ความแตกต่าง และเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่กว่า 500 คน จาก 80 หน่วยงานภาครัฐสามารถทำงานร่วมกันในการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ และสามารถย่นระยะเวลาการทำงานจากหลายปีให้เหลือเพียงไม่กี่เดือน โดยในเดือนธันวาคมนี้ จะสามารถจัดทำบันทึกความตกลงเบื้องต้นของประเทศไทย ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงถึงความสอดคล้องเชิงกฎหมายระหว่างประเทศไทยกับข้อกำหนดของ OECD และเป็นอีกก้าวของประเทศไทยสู่สถานะประเทศสมาชิก ภายใต้ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ สะท้อนถึงสัญญาณความมั่นคงด้านกฎระเบียบและการยึดตามแนวปฏิบัติสากลที่ดีที่สุด

เสริมสร้างสกิลคนไทย พร้อมรับอนาคตดิจิทัล

ไมโครซอฟท์ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างกำลังคนที่มีศักยภาพด้านดิจิทัลในประเทศไทย โดยเร่งพัฒนาทักษะด้าน AI ผ่านโครงการอบรม ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลกระทบในวงกว้าง โดยร่วมมือกับ ครู บุคลากรในองค์กรเพื่อสังคม และศูนย์พัฒนาทักษะทั่วประเทศ โครงการนี้มุ่งเน้นการยกระดับและออกใบรับรองให้แก่บุคคลากรที่สามารถถ่อยทอดความรู้ ส่งผลให้เกิดการขยายผลในห้องเรียน ชุมชน และภาคอุตสาหกรรม พร้อมสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถด้าน AI และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ กล่าวว่า “อนาคตในโลกดิจิทัลของประเทศไทยจะเป็นจริงได้นั้น เราต้องมีทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีควบคู่กับการกระจายองค์ความรู้สู่ทุกภาคส่วน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและผู้คนมีความพร้อมเติบโตไปด้วยกัน เราจึงให้ความสำคัญกับการเสริมทักษะ AI ที่ใช้งานได้จริง โดยเน้นที่การสร้างผลกระทบแบบทวีคูณ ที่ช่วยทำให้เกิดการต่อยอด ขยายผลออกไปให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง และเร่งการสร้างนวัตกรรมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เรารู้สึกยินดีที่ได้สานต่อความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและพันธมิตรภาคเอกชน เพื่อเพิ่มศักยภาพ เสริมความพร้อมให้คนไทยและองค์กรไทยได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในยุคแห่ง AI ได้อย่างแท้จริง”

การขยายกิจกรรมพัฒนาทักษะ AI นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft Elevate –โครงการระดับโลกที่มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรให้กลายเป็นหัวใจหลักในการสรรสร้างนวัตกรรมด้วย AI โดยโครงการดังกล่าวมุ่งสนับสนุนพันธมิตรทั้งในภาคการศึกษา องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และหน่วยงานภาครัฐ ในการพัฒนาทักษะและออกใบรับรองการสำเร็จการอบรม ให้แก่ผู้เรียนกว่า 20 ล้านคนทั่วโลกภายในสองปีข้างหน้า

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA ประกาศความสำเร็จของโครงการ ‘Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program’ ยกระดับทักษะด้าน AI ให้แก่บุคลากรจากหลากหลายหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาบริการภาครัฐ พลิกโฉมการให้บริการประชาชนในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program มุ่งอัพสกิล AI ให้แก่บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี AI ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่สร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจ การพัฒนาทักษะและขีดความสามารถในการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ไปจนถึงส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมและโซลูชัน AI เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน

 

โครงการฯ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบุคลากรภาครัฐ โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมการอบรมทักษะ AI กว่า 2,000 คน ในหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อปูพื้นฐานความรู้และแนวคิดสำคัญในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ครอบคลุมหัวข้อสำคัญ เช่น พื้นฐาน AI และ Machine Learning การประยุกต์ใช้ AI ในภาครัฐ การใช้ AI อย่างสร้างสรรค์และมีความรับผิดชอบ รวมถึงการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI ระดับโลกของไมโครซอฟท์ จากนั้น ผู้เข้าร่วมอบรมได้นำความรู้ที่ได้มาต่อยอดผ่านการแข่งขัน Hackathon เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ AI ที่ช่วยแก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์ให้กับภาครัฐและประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีพันธมิตรของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Fusion Solution, LooLoo Technology, Frontis, STelligence, Betimes Solutions, Amity, Bluebik, Digital Dialogue และ Yip-In-Tsoi ร่วมเป็นพี่เลี้ยงและให้คำปรึกษาด้าน AI แก่แต่ละทีมอย่างใกล้ชิด

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การเสริมสร้างทักษะ AI ให้กับบุคลากรภาครัฐ ภายใต้โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program สอดคล้องกับพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการยกระดับทักษะ AI ให้กับคนไทย 1 ล้านคนผ่านโครงการ THAI Academy เรารู้สึกตื่นเต้นที่มีบุคลากรภาครัฐจากทั่วประเทศจำนวนมากเข้าร่วมในโครงการนี้ และได้เห็นถึงพลังและความมุ่งมั่นของผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่าน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่นำ AI ไปประยุกต์ใช้และยกระดับการดำเนินงานเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับหน่วยงานภาครัฐต่อไป โครงการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดความร่วมมือที่แน่นแฟ้นจากทุกฝ่าย ขอขอบคุณทาง DGA ที่ทำให้เกิดของโครงการนี้ และผู้เข้าร่วมโครงการทุกท่าน รวมถึงพันธมิตรของไมโครซอฟท์ และขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะการแข่งขัน Hackathon ทุกทีม ไมโครซอฟท์ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าสนับสนุนการนำ AI มาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับประเทศไทยของเราอย่างต่อเนื่อง”

ไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า “โครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program นับเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐสู่ดิจิทัล ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไมโครซอฟท์ซึ่งมีเครื่องมือและแพลตฟอร์ม AI ระดับโลก จะช่วยยกระดับการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เราขอขอบคุณไมโครซอฟท์และพันธมิตรที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันโครงการนี้จนประสบผลสำเร็จ และที่ขาดไม่ได้เลยคือผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกท่าน ขอชื่นชมทุกทีมที่เข้าร่วม Hackathon แม้จะใช้เวลาอบรมไม่นาน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบุคลากรภาครัฐในการนำ AI ไปสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับประเทศไทยทั้งในวันนี้และอนาคต สุดท้ายนี้ขอฝากความหวังของคนภาครัฐ และความหวังของประชาชนไว้ในมือของทุกท่านด้วย เพราะทุกท่านคือพลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่รัฐบาลดิจิทัล”

12 ทีมจากหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon ในโครงการ Tech for Gov 2025: NextGen Gov AI Training Program แสดงศักยภาพในการนำ AI มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับการทำงานของภาครัฐได้อย่างน่าประทับใจ

รางวัลชนะเลิศสูงสุด ได้แก่ ทีม AI-Din จากกรมที่ดิน ซึ่งพัฒนา AI เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริการประชาชนของกรมที่ดิน ในงานที่ต้องอาศัยความชำนาญของเจ้าหน้าที่ เช่น การตอบคำถามหรือการตรวจเอกสาร เพื่อแบ่งเบาภาระงานและให้บริการได้อย่างรวดเร็ว โดยตัวแทนของทีมเปิดเผยว่า “การเข้าอบรมทักษะ AI กับไมโครซอฟท์ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการนำ AI มาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน และเป็นแบบอย่างให้องค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ได้เห็นว่าสามารถนำ AI มาเป็นผู้ช่วยทำงานได้จริง เพื่อขยายผลไปยังโครงการอื่นๆ ขอขอบคุณไมโครซอฟท์ และ DGA ที่จัดโครงการดีๆ นี้ขึ้นมา การเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัลไม่ได้มีเพียงเรื่องเทคโนโลยี แต่รวมถึงวิธีคิดและการนำไปปรับใช้ เช่น การใช้ Power Platform ของไมโครซอฟท์ที่ช่วยบูรณาการการทำงานของ AI ในส่วนต่างๆ สะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงพัฒนาโปรเจกต์ได้เร็ว เราเชื่อว่าการนำ AI มาใช้ในภาครัฐจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เป็นพื้นฐานในการบริการประชาชนและการพัฒนาประเทศของเราให้ดียิ่งขึ้น”

รางวัลชนะเลิศประเภท Efficiency หรือเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงาน ได้แก่ ทีม The Reform Coders จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม Lert-Na เพื่อช่วยในการคัดกรองการตรวจรางวัลเลิศรัฐ ของ ก.พ.ร. ที่เปิดให้หน่วยงานภาครัฐส่งโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเข้ามาประกวด ซึ่งมีจำนวนมากทุกปี ระบบนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระงานตรวจเอกสารและให้คำแนะนำแก่คณะกรรมการ ด้วยข้อมูลเชิงสถิติจาก AI ทำให้การตัดสินรวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้น

รางวัลชนะเลิศประเภท Experience หรือสร้างประสบการณ์ของประชาชน ได้แก่ ทีม ฉันจะใช้ AI ทุกวัน จากไปรษณีย์ไทย ที่พัฒนาแพลตฟอร์ม CPTA Digital Post เป็น AI ช่วยให้ผู้ประกอบการส่งออกง่ายขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น AI Document Intelligence ในการช่วยเตรียมเอกสาร AI Machine Learning ช่วยให้ไปรษณีย์ไทยเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้เพื่อพัฒนาบริการที่ดียิ่งขึ้น และ AI Object Detection ในการตรวจจับเอกสารที่ไม่ต้องรับรองเพื่อให้บริการได้อย่างรวดเร็ว

รางวัลชนะเลิศประเภท Empowerment หรือการเสริมสร้างประเทศให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ ทีม ATB Synergy ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘ธารรัฐ’ ในตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานภาครัฐที่มีมากกว่า 1 ล้านโครงการต่อปี ระบบนี้เปรียบเสมือนสายธารแห่งความโปร่งใส ที่ช่วยส่งเสริมความรู้และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการให้ข้อมูลต่างๆ โดยใช้ AI Agent

ผู้สนใจสามารถเรียนรู้ทักษะ AI ด้วยตนเองได้ที่ AISkillsNavigator และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ THAI Academy ได้ที่เว็บไซต์ https://thai-academy.com/th/

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ชู 3 องค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (OCS) ในฐานะ “Frontier Firms” ผู้นำด้านนวัตกรรมที่นำ AI มาทำงานผสานกับมนุษย์อย่างลงตัว พร้อมเผยข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงานวิจัย Work Trend Index ประจำปี 2025 ที่ตอกย้ำถึงทิศทางการปรับเปลี่ยนองค์กรในยุค AI สู่มุมมองและโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่เพิ่มความยืดหยุ่นในหลายมิติ

ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายงาน Work Trend Index ของไมโครซอฟท์ เผยให้เห็นถึงความท้าทายที่คนทำงานในปัจจุบันต้องเผชิญ ต่อยอดจากข้อมูลชุดเดิมที่ชี้ว่า 88% ของพนักงานไทยไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะรับมือกับงานในมือ โดยสถิติการใช้งานเครื่องมือและบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Microsoft 365 ระบุว่าคนทำงานทั่วโลกจะได้รับข้อความแจ้งเตือนเรื่องต่างๆ ทุก 2 นาทีโดยเฉลี่ย หรือคิดเป็น 275 ครั้งในแต่ละวัน ซึ่งการแจ้งเตือนดังกล่าว อาจมาจากทั้งอีเมล ข้อความแชท หรือตารางนัดประชุม นอกจากนี้ ราวครึ่งหนึ่งของการประชุมในแต่ละวันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำงานแต่ละวัน

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาล พร้อมให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม การสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก นับตั้งแต่ระยะสั้น ที่องค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ไปจนถึงระยะยาว ที่เราอาจได้เห็นโครงสร้าง องค์กร และเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไป เมื่อ 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระ”

ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้แนะแนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้

1. ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI: จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน

2. ปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน: เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ

3. บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน: AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

3 องค์กรไทยระดับ “Frontier Firm” กับการผนึก AI เข้าสู่หัวใจองค์กร

ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้เชิญ 3 องค์กรระดับแถวหน้าของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เอสซีจี เคมิคอลส์ และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการนำ AI เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของทีมงาน ระบบงาน และพันธกิจของแต่ละองค์กร

ทาง SCBX ได้สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน และเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน

ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “เราส่งเสริมการใช้ AI ให้พนักงานมีเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดและขยายขีดความสามารถของฟังก์ชันงานที่เรามีอยู่เดิม ให้มีประสิทธิภาพ ละเอียด และครอบคลุมมากยิ่งขึ้นด้วย AI ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยบุคลากรภายในองค์กรของเราเอง แสดงให้เห็นว่าพนักงานทุกคนและทุกฝ่ายสามารถมีส่วนพัฒนาการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ตัวอย่างเช่น ระบบวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าของพนักงานสาขาในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและความถูกต้องของข้อมูล”

สำหรับ SCGC ผู้นำนวัตกรรมพอลิเมอร์และโซลูชันครบวงจรเพื่อความยั่งยืน ได้ส่งเสริมให้พนักงานนำ AI มาใช้ในการทำงานทุกวัน เป็น AI Everyday เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความคล่องตัวในกระบวนการทำงานทั่วทั้งองค์กร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน

สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า “SCGC เลือกใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในองค์กร โดยเฉพาะกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence และได้ต่อยอดนำ Microsoft Azure OpenAI Service มาพัฒนาโครงการ “AILY” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน โดยพนักงานทุกคนสามารถใช้งาน AI กับข้อมูลภายในได้อย่างปลอดภัย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วทั้งองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น

ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า “AI มีส่วนช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน เปิดโอกาสให้เราวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ และในขณะเดียวกัน AI ยังช่วยให้นักกฎหมายของเราทำงานได้เร็วขึ้นในการค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูล การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงาน รวมทั้งการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม” สำหรับชุดข้อมูลเพิ่มเติมฉบับเต็มจากรายงาน Work Trend Index 2025 สามารถอ่านรายงานสรุปได้ ที่นี่ หรือย้อนไปอ่านข้อมูลจากรายงานฉบับหลักที่สรุปสถานการณ์และแนวโน้มการสรรสร้าง Frontier Firms ในประเทศไทยได้ ที่นี่

ไมโครซอฟท์ เผยข้อมูลล่าสุดจากรายงานวิจัย Work Trend Index ฉบับปี 2025 มุ่งเน้นให้เห็นทิศทางการปรับตัวขององค์กรในประเทศไทยและทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่สถานะ “Frontier Firm” หรือองค์กรระดับแนวหน้าด้านนวัตกรรม ผสานการทำงานของ AI และการสร้างทีมงานรูปแบบใหม่ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีพนักงานที่เป็นมนุษย์นำทีม และให้ทีมงานดิจิทัลอย่าง AI agent เป็นผู้ช่วยทำงานต่างๆ อย่างอัตโนมัติ

รายงาน Work Trend Index ฉบับ 2025 นี้ รวบรวมข้อมูลผลสำรวจผู้บริหารและพนักงานรวม 31,000 คน จาก 31 ประเทศทั่วโลก ควบคู่ไปกับข้อมูลความเคลื่อนไหวในตลาดแรงงานโลกจาก LinkedIn รวมถึงข้อมูลจากการใช้งานจริงของกลุ่มผู้ใช้งาน Microsoft 365 ระดับองค์กร โดยในปีนี้ มีข้อมูลใหม่มาเพิ่มเติมจากกลุ่มสตาร์ทอัพสาย AI นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิจัยอีกจำนวนหนึ่ง

 

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เผยว่า “ผลสำรวจประจำปีนี้บอกเราว่าผู้บริหารในไทยตื่นตัวกันมากในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลักขององค์กร โดยมีถึง 93% ที่มองว่าจะต้องคิดใหม่ วางทิศทางใหม่ให้ได้ในปีนี้ และเมื่อมองผลสำรวจในระดับโลก เห็นได้ชัดเจนว่าองค์กรชั้นนำกำลังลงมือปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน ยกระดับ AI จากเครื่องมือใช้งานทั่วไปให้กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ และส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI agent อย่างลงตัว ซึ่งองค์กรเหล่านี้เองที่กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ด้านนวัตกรรมในฐานะ ‘Frontier Firm’ เพื่อการเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป”

ประเด็นสำคัญจากผลสำรวจ Work Trend Index 2025 มีดังต่อไปนี้

1. “ความชาญฉลาดแบบพร้อมใช้” เป็นสิ่งที่สามารถซื้อได้

ในอดีต ความชาญฉลาดหรือศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และเสริมสร้างฐานความรู้ขององค์กร เป็นสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการทำงาน แรงกาย หรือแรงใจ แต่ในยุค AI นี้ องค์กรระดับ Frontier Firm เริ่มมองเห็นแล้วว่าการมีเครื่องมือ AI หรือมีระบบ AI agent ทำงานแบบอัตโนมัติอยู่ภายในองค์กร นับเป็นการเติมเต็มช่องว่างด้านขีดความสามารถขององค์กร เพิ่มศักยภาพการทำงานอัจฉริยะ ช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างคล่องตัวกว่าในอดีต

ผลสำรวจเผยว่าผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 90% (ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 82%) มีแผนที่จะนำ AI agent เข้ามาทำงานเคียงข้างพนักงานในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า เนื่องจาก AI agent สามารถทำความเข้าใจในเนื้องาน วางแผนงาน และทำงานบางส่วนโดยอัตโนมัติด้วยตัวเอง โดยมีพนักงานเป็นผู้ดูแลและตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนที่สำคัญ หรือเท่ากับว่ามีแผนที่จะขยายองค์กรด้วย “ทีมงานดิจิทัล” ผ่าน AI นั่นเอง

แนวทางการสร้างทีมรูปแบบใหม่นี้ช่วยปลดล็อคศักยภาพ และข้อจำกัดต่างๆ ในการเพิ่มปริมาณงานที่ทุกองค์กรทั่วโลกต่างเผชิญมาโดยตลอด สอดคล้องกับผลการสำรวจที่บอกว่า 75% ของผู้บริหารไทย (เฉลี่ยทั่วโลก 53%) ต้องการให้องค์กรทำงานได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกัน พนักงานในองค์กรไทยถึง 88% (เฉลี่ยทั่วโลก 80%) รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีแรงและเวลาเพียงพอที่จะจัดการกับงานที่มีอยู่ล้นมือ

2. เตรียมพลิกผังองค์กร เมื่อพนักงานจับมือ AI ทำงานเป็นทีม

ผู้บริหารองค์กรไทยราว 68% (เฉลี่ยทั่วโลก 46%) บอกกับเราว่าองค์กรของพวกเขาเริ่มนำ AI agent เข้ามาเปลี่ยนกระบวนการการทำงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติเต็มตัวแล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในทั้ง 31 ประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจ โดยเมื่อมองไปที่ภาพรวมระดับโลกแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์กรเริ่มมีทีมงานลูกผสมระหว่างพนักงานและ AI มากขึ้น โดยเฉพาะในสายงานบริการลูกค้า การตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์

เมื่อเราหันไปสอบถามพนักงานว่าพวกเขาเลือกขอความช่วยเหลือจาก AI ด้วยเหตุผลอะไรบ้าง พบว่าพนักงานไทยมีมุมมองแตกต่างจากคนทำงานทั่วโลกเล็กน้อย โดยเหตุผลอันดับหนึ่งคือสามารถเรียกใช้งาน AI ได้ทุกเวลา แต่พนักงานไทยเล็งเห็นคุณค่าของ AI ในการนำเสนอไอเดียและความคิดสร้างสรรค์มากกว่า ขณะที่คนทำงานในประเทศอื่นๆ ให้ความสำคัญกับความเร็วและคุณภาพของผลงานจาก AI มากกว่าความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อย

อัตราส่วนการใช้งาน AI agent ขององค์กรไทยที่สูงกว่าชาติอื่นๆ ยังสะท้อนออกมาในรูปของมุมมองที่พนักงานมีต่อ AI อีกด้วย โดย 56% ของพนักงานไทยมอง AI เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่แชร์ไอเดียกันในเวลาทำงาน ขณะที่ 43% มอง AI เป็นเครื่องมือที่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น (เฉลี่ยทั่วโลก 46% และ 52% ตามลำดับ)

3. พนักงานทุกคนเป็นหัวหน้างานได้ ด้วยลูกน้องพลัง AI

ข้อมูลทั้งหมดในสองประเด็นที่ผ่านมาล้วนแสดงให้เห็นว่าการใช้งาน AI agent ในองค์กรมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า ผู้บริหารไทยมองว่าทีมงานในองค์กรจะต้องมีบทบาทหน้าที่ต่างๆ เหล่านี้อยู่ในงานประจำวันด้วย:

· การออกแบบระบบงานใหม่ด้วย AI (51%)

· การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซับซ้อน โดยมี AI agent หลายตัวทำงานร่วมกัน (51%)

· การฝึกสอน AI agent ให้เข้าใจเนื้องาน (56%)

· การบริหารจัดการ AI agent ในภารกิจต่างๆ (46%)

 

ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น พนักงานยังคงต้องการแรงสนับสนุนในด้านทักษะและความเชี่ยวชาญ โดยผู้บริหาร ตอบว่าคุ้นเคยกับแนวคิดและการใช้งาน AI agentเป็นอย่างดี (ไทย 78% และทั่วโลก 67%) มากกว่าพนักงาน (ไทย 53% และ ทั่วโลก 40%) แต่องค์กรส่วนใหญ่ก็เข้าใจในความจำเป็นตรงจุดนี้แล้ว และยกให้การเสริมสร้างทักษะของพนักงานเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดขององค์กรในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

เผยฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ตอบโจทย์องค์กรยุค AI agent

ทั้งนี้ ไมโครซอฟท์ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่มากมายใน Microsoft 365 Copilot ที่จะเปิดโอกาสให้องค์กรทั่วโลกได้เข้าถึง AI agent ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น พร้อมด้วยโมเดล AI ที่มีความสามารถมากขึ้นในหลายด้าน

· Researcher และ Analyst เป็นสอง AI agent ใหม่ที่สามารถช่วยงานด้านการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลได้ ด้วยความสามารถจากโมเดล AI ระดับ deep reasoning ของ OpenAI โดย agent ทั้งสองตัวจะเปิดให้ลูกค้าองค์กรบางรายได้ทดลองใช้ก่อนในระยะแรก นอกจากนี้ เรายังเปิดตัว Agent Store ที่รวบรวมสารพัด AI agent จากพันธมิตรของไมโครซอฟท์อย่าง Jira, Monday.com, Miro หรือแม้แต่ agent ที่แต่ละองค์กรพัฒนาขึ้นเอง มาไว้ในที่เดียวให้เรียกใช้งานได้ง่ายๆ

· ฟังก์ชัน Create ใน Copilot สามารถสร้างสรรค์ภาพต่างๆ ได้ด้วยโมเดล GPT-4o ของ OpenAI จึงพร้อมเป็นผู้ช่วยงานออกแบบและกราฟฟิกของทุกคน สามารถรับมือได้ทั้งการปรับแก้ภาพเพื่อใช้งาน การสร้างภาพใหม่ๆ ที่ตรงกับแนวทางด้านภาพลักษณ์แบรนด์ขององค์กร หรือแม้แต่การเขียนข้อความประกอบ สร้างโพสต์สำหรับโซเชียลมีเดีย วิดีโอ และอื่นๆ อีกมาก

· Copilot Notebooks เปลี่ยนเอกสาร โน้ต และห้องแชทต่างๆ ในมือคุณให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดย Copilot สามารถดึงข้อมูลทั้งหมดนี้มาวิเคราะห์ แยกแยะตามความสำคัญ และให้คำแนะนำในการทำงานได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ทั้งยังสามารถอัปเดตคำแนะนำดังกล่าวตามข้อมูลใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาได้อีกด้วย

· Copilot Search ช่วยหาคำตอบจากแหล่งข้อมูลทั่วทั้งองค์กรให้กับคำถามและข้อสงสัยของผู้ใช้งาน โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้มากมาย ทั้งระบบสนับสนุนงาน IT อย่าง ServiceNow ข้อมูลใน Google Drive ห้องแชทใน Slack แหล่งความรู้จาก Confluence หรือสถานะโปรเจคจาก Jira

· Copilot Control System เสริมทางเลือกใหม่ให้องค์กรสามารถเลือกเปิด ปิด หรือบล็อกการใช้งาน AI agent ในองค์กรได้โดยละเอียด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพนักงานมีทางเลือกการใช้งาน AI agent ที่เหมาะสมกับเนื้องานของพวกเขา และลดความผิดพลาดหรือสับสนไปพร้อมกัน

“รายงาน Work Trend Index ประจำปีนี้ ชี้ให้เห็นว่าองค์กรทั่วโลกกำลังก้าวไปอีกขั้น จากการทดลองใช้ AI สู่การใช้งานจริงและการปรับโครงสร้างองค์กรให้เข้ากับยุค AI มากยิ่งขึ้น” นายธนวัฒน์กล่าวเสริม “เราเชื่อว่าองค์กรและประเทศที่ปรับตัวให้ทำงานแบบ AI-first ได้ จะสามารถผสมผสานความสามารถของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตสู่ความสำเร็จได้มากกว่าที่เคย โดยไมโครซอฟท์เองก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกับทุกองค์กร ด้วยเทคโนโลยีระดับโลกและคำแนะนำที่ตอบโจทย์ในโลกยุค AI”

ผู้สนใจสามารถอ่านรายงาน Work Trend Index 2025 ฉบับเต็มได้ ที่นี่ หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot สำหรับองค์กร

ไมโครซอฟท์ จัดงาน SMEs AI Skills Summit เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs เพื่อยกระดับการดำเนินงานและสร้างแต้มต่อทางธุรกิจด้วยศักยภาพของ AI อย่าง Microsoft 365 Copilot ที่เข้ามาเป็นผู้ช่วยสำคัญให้กับ SMEs ยุคใหม่ พร้อมกันนี้ยังนำเสนอแนวทางและมุมมองที่เป็นประโยชน์ ผ่านการเสวนาโดยผู้นำองค์กรภาครัฐและเอกชน ผ่านการถอดรหัสความสำเร็จในการประยุกต์ใช้ของธุรกิจ รวมถึงการสอนทักษะ AI โดยผู้เชี่ยวชาญ  พร้อมเปิดให้ SMEs และผู้ที่สนใจสามารถเรียนรู้ทักษะ AI เป็นภาษาไทยได้ฟรี ที่แพลตฟอร์ม AI Skills Navigator: https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th

จากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขยาดย่อม (สสว.) ประเทศไทยมี SMEs จำนวนมากกว่า 3.2 ล้านราย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 99.5% ของวิสาหกิจทั้งประเทศ ดังนั้นการพัฒนาทักษะ AI ที่มีการพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดในระดับโลก จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างรากฐานเศรษฐกิจของไทยให้แข็งแกร่งในยุคดิจิทัล งาน Microsoft SMEs AI Skills Summit มุ่งติดอาวุธให้ธุรกิจด้วยศักยภาพของ AI จัดขึ้นด้วยความร่วมมือกับ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการเสวนาจากผู้นำองค์กรและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องร่วมพูดคุยเจาะลึกแนวโน้มและโอกาสด้าน AI สำหรับการทำงานในธุรกิจ SMEs รวมถึงการนำมาช่วยรับมือความท้าทายต่างๆ ในปัจจุบัน และความจำเป็นในการพัฒนาทักษะ AI ให้กับบุคลากร สามารถนำ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยในการทำงานได้อย่างเชี่ยวชาญ และะไปสู่เป้าหมายได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า “AI จะเป็นโอกาสในการเติบโต และเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับ SMEs ไทยไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่ยังสามารถขยายไปถึงระดับเวทีโลกได้ ปัจจุบัน ขนาดขององค์กรไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป แต่การมีวิสัยทัศน์ และกลยุทธ์ในการนำ AI เข้าไปใช้สร้างความแตกต่างเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า ไมโครซอฟท์ เชื่อว่า การเสริมสร้างทักษะการใช้งาน AI ให้กับทุกคนจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และปลดล็อกให้ธุรกิจเข้าถึงโอกาสที่ยังมีอยู่อีกมากมาย เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ AI เราได้จัดทำหลักสูตรสอนทักษะ AI ที่เปิดให้เรียนฟรีเป็นภาษาไทย โดยมีคอร์สอบรมให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ผู้ใช้งานทั่วไป จนถึงนักพัฒนามืออาชีพ”

ผู้เข้าร่วมงานได้รับฟังการเสวนาจากผู้นำธุรกิจชั้นนำที่มาร่วมแบ่งปันความสำเร็จในการนำศักยภาพของ AI มาประยุกต์ใช้ อาทิ ทริสเรทติ้ง องค์กรจัดอันดับเครดิตชั้นนำของไทย ที่นำ Microsoft 365 Copilot มาช่วยสร้างเนื้อหาที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับการจัดอันดับเครดิต ช่วยลดเวลาในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร และ เค-เฟรช ผู้ส่งออกน้ำมะพร้าวชั้นนำของไทย ที่นำ Copilot มาใช้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้คำแนะนำต่างๆ กฎระเบียบมาตรฐานทางการค้าของประเทศต่างๆ ให้ไอเดียในการจัดการผลกระทบมะพร้าวล้นตลาด บริหารจัดการน้ำบาดาล รวมถึงการสื่อสารกับพนักงานที่ใช้ภาษาที่แตกต่างกันได้อย่างราบรื่น

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้เรียนรู้ทักษะ AI เบื้องต้นจากผู้เชี่ยวชาญ อาทิ การเริ่มต้นใช้งาน Microsoft 365 Copilot และการสร้างเอเจนต์ใน Microsoft Copilot Studio รวมถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ Microsoft Azure AI ซึ่งเป็นบริการและโซลูชัน AI ที่ไมโครซอฟท์พัฒนาขึ้นเพื่อองค์กรโดยเฉพาะ จากการเรียนรู้และสังเกตการใช้งานจริงของลูกค้าองค์กรทั่วโลก ผู้ที่สนใจ สามารถเรียนรู้ทักษะ AI ซึ่งสอนเป็นภาษาไทย เพิ่มเติมต่อได้ฟรี ที่แพลตฟอร์ม AI Skills Navigator: https://aiskillsnavigator.microsoft.com/th-th

สำหรับธุรกิจ SMEs ที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติการทำงานใน Microsoft 365 Copilot สำหรับองค์กรได้ที่นี่ ส่วนผู้ใช้ทั่วไปสามารถสัมผัสกับประสบการณ์ Copilot เพื่อการค้นหาข้อมูลและตอบคำถามต่างๆ ได้ฟรีที่ https://copilot.microsoft.com/

Page 1 of 9
X

Right Click

No right click