รัฐบาลไทยและไมโครซอฟท์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือภายใต้วิสัยทัศน์ในการยกระดับประเทศไทยให้มุ่งสู่ก้าวต่อไปกับนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยข้อตกลงฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะนำเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ที่เปี่ยมประสิทธิภาพจากไมโครซอฟท์มาเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศไทย สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการจ้างงานที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย และปูทางให้ประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ทั้งในด้านนวัตกรรมดิจิทัลและความยั่งยืน
ในโอกาสนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายสัตยา นาเดลลา ซีอีโอของไมโครซอฟท์ ได้ร่วมพบปะหารือกันที่เมือง ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมพูดคุยถึงจุดประสงค์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับดังกล่าว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
· ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมดิจิทัล
ไมโครซอฟท์จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สอดคล้องกับนโยบายด้านรัฐบาลดิจิทัลและการใช้บริการระบบคลาวด์ภาครัฐ หรือ Cloud First ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนภาคการเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว และการศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังจะร่วมพิจารณาแผนการลงทุนก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย เพื่อยกระดับการใช้งานคลาวด์และ AI ต่อไปในอนาคต และพร้อมกันนี้ ไมโครซอฟท์จะให้การสนับสนุนกับรัฐบาลไทยในด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ด้วยการนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุด พร้อมด้วยความเชี่ยวชาญจากบุคลากรชั้นนำของบริษัท
· ปูทางสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ไมโครซอฟท์จะทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการพัฒนาและผสมผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับโครงการด้านรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) และบริการสาธารณะต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่คนไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีแผนที่จะร่วมกันจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเชิงกลยุทธ์ด้าน AI (AI Center of Excellence) เพื่อยกระดับโครงการที่ใช้เทคโนโลยี AI ของภาครัฐ จัดทำโรดแมปที่จะช่วยให้การนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานเกิดขึ้นได้จริง และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมในภาคส่วนและอุตสาหกรรมต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังจะร่วมหารือกับไมโครซอฟท์เกี่ยวกับการกำหนดทิศทางนโยบายและกรอบการกำกับดูแล เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำ AI มาใช้งานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ
· เสริมทักษะคนไทยเพื่อชีวิตในยุคหน้า
ไมโครซอฟท์จะสานต่อพันธกิจในการยกระดับทักษะแห่งอนาคตสำหรับคนไทยกว่า 10 ล้านคน ผ่านทางความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานอื่นๆ โดยครอบคลุมทักษะสำคัญในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่สองเพื่อการสื่อสารหรือความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงการฝึกฝนนักพัฒนานวัตกรรมรุ่นใหม่ในทุกสายอาชีพ (Citizen Developers) ในรูปแบบที่เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ได้อย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น
· ยกระดับประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
หน่วยงานภาครัฐของไทยจะทำงานร่วมกับไมโครซอฟท์เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2608 ผ่านทางการสร้างพื้นที่ทดสอบสำหรับการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Sandbox) เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน นับตั้งแต่ภาครัฐ องค์กรเอกชนขนาดใหญ่ ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังมีแผนที่จะนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้งานเต็ม 100% ในโครงการและแผนการลงทุนในอนาคตอีกด้วย
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “พันธกิจของประเทศไทย นับตั้งแต่ด้านการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนไปจนถึงการใช้พลังงานหมุนเวียน นับว่ามีทิศทางที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของไมโครซอฟท์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างทั้งความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและศักยภาพเชิงดิจิทัลของประเทศไทยไปพร้อมกัน”
นายอาเหม็ด มาซารี ประธาน ไมโครซอฟท์ เอเชีย กล่าวเสริมอีกว่า “เทคโนโลยี AI มีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางและวิธีการทำงานของทั้งผู้คนและองค์กรทั่วโลก สำหรับประเทศไทยนั้น แผนปฏิบัติการของรัฐบาลได้วางเป้าหมายในการนำ AI มาขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนเป็นมูลค่ากว่า 48,000 ล้านบาท ภายในปี พ.ศ. 25701 และเราก็มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัฐบาลไทยเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่มี AI เป็นนวัตกรรมคู่คิดของประเทศไทย”
จัดตั้งบริษัทเอ็กซ์โพเนนเชียล ขับเคลื่อนดิจิทัลแพลตฟอร์มสู่การเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด
นวัตกรรมใหม่ครอบคลุมระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และแอปพลิเคชัน สอดรับกับกลยุทธ์ของซิสโก้ ช่วยให้ลูกค้ารับมือกับความท้าทายด้านเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุด
ซิสโก้ (CSCO) ผู้นำด้านระบบเครือข่ายและความปลอดภัยระดับองค์กรได้เปิดตัวเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของระบบเครือข่าย ระบบรักษาความปลอดภัย และแอปพลิเคชัน พร้อมกันนี้ ซิสโก้ได้เผยวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการนำเสนอประสบการณ์แบบครบวงจรที่เรียบง่ายมากขึ้นสำหรับลูกค้าและคู่ค้า โดยครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซิสโก้
ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นนับเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญของอนาคตเกือบทุกองค์กร และด้วยเหตุนี้ เครือข่ายที่ปลอดภัยจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นสำหรับองค์กรยุคใหม่ ผู้บริหารของซิสโก้ รวมถึง ชัค ร็อบบินส์ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอของซิสโก้ ขึ้นกล่าวบรรยายบนเวทีในงานเพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับโซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความปลอดภัยให้แก่คู่ค้าและลูกค้า เพื่อให้สามารถรับมือกับอนาคตที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว
ชัค ร็อบบินส์ ประธานกรรมการและซีอีโอของซิสโก้ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ และความสามารถใหม่ๆ ของพอร์ตโฟลิโอของซิสโก้ให้กับลูกค้าของเราที่งาน Cisco Live เราเชื่อว่ามีโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่ในอนาคตเพราะเราได้ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาและจัดการความท้าทายทางธุรกิจที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย การเชื่อมต่อ แอปพลิเคชัน หรือความยั่งยืน ซิสโก้คือพันธมิตรที่มีความพร้อมในการช่วยให้ลูกค้าทรานส์ฟอร์ม และนำไปใช้ พวกเราพร้อมที่จะนำเสนอทุกสิ่งที่ทีมงานร่วมกันพัฒนา ตลอดจนวิสัยทัศน์ของพอร์ตโฟลิโอของซิสโก้ เพราะเราทำทุกอย่างให้ง่ายขึ้น ครอบคลุมมากขึ้น และยั่งยืนมากกว่าเดิม”
วิช ไอเยอร์ รองประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมของซิสโก้ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวว่า “สภาพแวดล้อมดิจิทัลในปัจจุบันมีการทรานส์ฟอร์มอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว องค์กรธุรกิจต่างๆ จึงต้องการโซลูชั่นแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัย เพื่อให้งานเหล่านี้เป็นไปอย่างราบรื่น ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที และนักพัฒนาได้ให้ความสำคัญถึงวิธีที่ง่ายและรวมศูนย์ในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่กำลังขยายตัวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้นำเสนอเทคโนโลยีใหม่และความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้แก่ลูกค้าและคู่ค้าของเราในภูมิภาคนี้ และช่วยให้พวกเขาเติบโตบนเส้นทางดิจิทัลด้วยประสบการณ์ที่ครบวงจรในรูปแบบใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทาย และความซับซ้อนต่างๆ ได้มากขึ้น”
นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ของซิสโก้เพื่อรับมือกับความท้าทายที่สำคัญของลูกค้า
รายงาน State of Global Innovation ของซิสโก้ พบว่า 85% ของบุคลากรฝ่ายไอทีให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายของระบบไอทีในองค์กร เทคโนโลยีใหม่ที่เปิดตัวที่งาน Cisco Live ปีนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของซิสโก้ในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานให้ง่ายขึ้น และช่วยขับเคลื่อนอนาคตของทุกคน โดยเทคโนโลยีที่เปิดตัวในวันนี้ได้แก่:
วิสัยทัศน์สำหรับ Cisco Networking Cloud
ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะลดความยุ่งยากซับซ้อนของระบบไอที โดยบริษัทฯ ได้ประกาศวิสัยทัศน์สำหรับ Cisco Networking Cloud ซึ่งเป็นประสบการณ์ด้านแพลตฟอร์มการจัดการแบบบูรณาการสำหรับโมเดลการจัดการคลาวด์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
ประสบการณ์ด้านไอทีที่เรียบง่ายจะส่งผลดีต่อการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า การดึงดูดพนักงาน และการสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง ซิสโก้ตระหนักถึงปัญหาเรื่องระบบที่แยกเป็นส่วนๆ ไม่ต่อเนื่องกัน ขาดการตรวจสอบอย่างทั่วถึง ปัญหาภัยคุกคามด้านความปลอดภัย และการบูรณาการระบบที่ยุ่งยาก ต้องใช้เวลานาน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่า นอกจากนี้ ซิสโก้ยังเข้าใจดีว่าการพัฒนาไปสู่ความเรียบง่ายขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น เป้าหมายทางธุรกิจของผู้ให้บริการแต่ละราย ความจำเป็นด้านฟังก์ชั่นการทำงาน และรูปแบบการใช้งานที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่ากรณีการใช้งานนั้นๆ จะต้องอาศัยระบบที่ติดตั้งภายในองค์กร ระบบที่รองรับคลาวด์ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง ซิสโก้ก็พร้อมตอบสนองทุกความต้องการด้านไอทีในทุกๆ ที่
ภายใต้แผนการพัฒนาสู่ความเรียบง่าย ซิสโก้ได้ทำงานอย่างจริงจังเพื่อสร้างประสบการณ์ด้านแพลตฟอร์มการจัดการเครือข่ายที่ง่ายขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงได้โดยง่าย และใช้หลายๆ แพล็ตฟอร์มในการจัดการผลิตภัณฑ์เครือข่ายของซิสโก้ทั้งหมดจากที่เดียว Cisco Networking Cloud นำเสนอระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยคลาวด์ ข้อมูลเชิงลึกที่หลากหลายเกี่ยวกับเครือข่าย และนวัตกรรมผ่านอีโคซิสเต็มส์ของพันธมิตร ซึ่งจะช่วยเร่งการส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจที่สามารถวัดผลได้
นวัตกรรมที่นำเสนอในงาน Cisco Live ประกอบด้วยอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่มีการเข้าถึงแบบ Single Sign-On (SSO), API Key Exchange/Repository, การทำ navigation ข้ามแพลตฟอร์ม, การรับรองเครือข่ายที่กว้างมาก
ขึ้นด้วย Cisco ThousandEyes, การตรวจสอบระบบคลาวด์สำหรับอุปกรณ์ Catalyst, โซลูชั่นเครือข่ายพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ และอื่นๆ
นอกจากนี้ ซิสโก้ยังลดความซับซ้อนของธุรกิจเพื่อให้ลูกค้าทำงานได้ง่ายขึ้น ด้วยสแต็กสวิตช์ Cisco Catalyst ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยปรับปรุงการตรวจสอบประสิทธิภาพและการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์ และยังมี blueprint ใหม่สำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและความสามารถในการตรวจสอบสำหรับผู้ให้บริการเครือข่าย
นวัตกรรม Security Cloud ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ซิสโก้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการนำเสนอ Cisco Security Cloud ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนของการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และช่วยให้ผู้คนสามารถทำงานได้ดีที่สุดจากทุกที่ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยคุกคามที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น
การเปิดตัว Cisco Secure Access ซึ่งเป็นโซลูชั่น Secure Service Edge (SSE) ใหม่ล่าสุด เพื่อช่วยประสบการณ์การทำงานแบบไฮบริดที่เหนือกว่า และทำให้การเข้าถึงสามารถทำได้จากทุกที่ ทุกอุปกรณ์ และทุกแอปพลิเคชันง่ายขึ้นอย่างมาก
จุดเด่นของ Cisco Secure Access ได้แก่:
· Common Access Experience: มอบวิธีการที่ง่ายในการเข้าถึงแอปพลิเคชันและทรัพยากรทั้งหมด (ไม่ใช่เพียงบางส่วน) โดยควบคุมการรับส่งข้อมูลอย่างชาญฉลาดและปลอดภัยไปยังปลายทางส่วนตัวและสาธารณะโดยไม่มีการแทรกแซงของผู้ใช้งานปลายทาง
· Single, Cloud-Managed Console: ลดความซับซ้อนของการดำเนินงานด้านความปลอดภัยโดยการรวมฟังก์ชันต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันในโซลูชันเดียวที่ใช้งานง่ายซึ่งป้องกันการรับส่งข้อมูลทั้งหมด โดยแทนที่จะต้องจัดการชุดเครื่องมือจำนวนมาก ผู้ดูแลระบบและนักวิเคราะห์สามารถไปที่เดียวเพื่อดูการรับส่งข้อมูลทั้งหมด กำหนดนโยบายทั้งหมด และวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน และสภาพแวดล้อมด้านไอทีที่ยืดหยุ่น
· การตรวจจับและการตอบสนองที่รวดเร็ว: จัดให้มีการวิเคราะห์เพื่อเร่งความเร็วในการสืบสวน และได้รับการสนับสนุนจาก ซิสโก้ ทาลอส (Cisco Talos) เครือข่ายข่าวกรองภัยคุกคามเชิงพาณิชย์ที่มีฐานข้อมูลใหญ่ที่สุดด้วยระบบ Threat Intelligence ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อตรวจจับและบล็อกภัยคุกคามเพิ่มเติม
ในส่วนของวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ ซิสโก้ยังได้สาธิตความสามารถของ Generative AI ของ Cisco Security Cloud ซึ่งจะช่วยให้นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยสามารถตรวจจับ และแก้ไขภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจัดการนโยบายในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยอย่างเหมาะสม
ซิสโก้บรรลุความก้าวหน้าในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Security Cloud ด้วยการเปิดตัว Cisco Multicloud Defense, อุปกรณ์ Cisco Secure Firewall 4200 Series และซอฟต์แวร์ 7.4 รวมถึงการปรับปรุงความปลอดภัยของแอปพลิเคชันคลาวด์เนทีฟในพาโนปติกา (Panoptica) นวัตกรรมล่าสุดของซิสโก้ทั้งหมดจะช่วยปกป้องโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดและมัลติคลาวด์ พร้อมทั้งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ผู้ใช้งาน
เปิดตัว Cisco Full-Stack Observability Platform เพื่อขับเคลื่อนองค์กรดิจิทัลที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น
ซิสโก้เปิดตัว Full Stack Observability (FSO) Platform โซลูชั่นที่สามารถใช้งานร่วมกับเทคโนโลยีของทุกบริษัท ทำหน้าที่ควบคุมผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของซิสโก้ และถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการเร่งปรับใช้กลยุทธ์ FSO ของซิสโก้ ด้วยการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกตามบริบทที่สัมพันธ์กัน และคาดการณ์ได้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเพิ่มประสบการณ์ที่ดี ในขณะเดียวกันก็ลดความเสี่ยงทางธุรกิจให้น้อยที่สุด
โซลูชั่นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมนี้จะช่วยให้เกิดอีโคซิสเต็มส์สำหรับการตรวจสอบ ซึ่งนำเอาข้อมูลมาจากหลายส่วนเข้าด้วยกัน รวมถึง แอปพลิเคชัน เครือข่าย โครงสร้างพื้นฐาน การรักษาความปลอดภัย คลาวด์ ความยั่งยืน และข้อมูลธุรกิจ
FSO Platform ของซิสโก้มุ่งเน้นไปที่ OpenTelemetry และยึดอยู่กับ Metrics, Events, Logs และ Traces (MELT) ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล MELT ที่สร้างจากแหล่งที่มาต่างๆ ได้อย่างราบรื่น Cisco FSO Platform ได้รับการออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่รองรับการต่อขยาย ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างโซลูชั่น observability ได้ด้วยตนเอง และเพิ่มศักยภาพให้กับอีโคซิสเต็มส์ของลูกค้าและคู่ค้า
โซลูชั่นชั้นนำที่นำเสนอบน Cisco FSO Platform คือ Cloud Native Application Observability ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจ ตัดสินใจเกี่ยวกับประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานให้สอดคล้องกับความคาดหวังของผู้ใช้ จัดลำดับความสำคัญและลดความเสี่ยง พร้อมทั้งปกป้องเวิร์กโหลดให้ปลอดภัย นอกเหนือไปจาก Cloud Native Application Observability แล้ว โมดูลชุดแรกบน FSO Platform ของซิสโก้ประกอบไปด้วย Cost Insights, Application Resource Optimizer, Security Insights และ Cisco AIOps
ซิสโก้ร่วมมือกับพันธมิตรหลายราย รวมถึง CloudFabrix, Evolutio และ Kanari เพื่อพัฒนาและสร้างรายได้จากอีโคซิสเต็มส์ของโซลูชั่นที่หลากหลายสำหรับ Cisco FSO Platform ที่รองรับการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ และสร้างมูลค่าให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วด้วยระบบ Telemetry ที่สามารถตรวจสอบได้
โตเกียว, 7 ตุลาคม พ.ศ. 2564 – วันนี้ฟูจิตสึได้เปิดตัวแบรนด์ธุรกิจระดับโลกใหม่ล่าสุด Fujitsu Uvance ซึ่งจะนำเสนอโซลูชั่นด้านทรานส์ฟอร์เมชั่นเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืน Fujitsu Uvance จะใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาของฟูจิตสึใน 7 ด้านที่สำคัญ เพื่อมอบคุณประโยชน์ที่เหนือกว่าให้แก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุด นั่นคือ "การทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโดยอาศัยนวัตกรรม"
คำว่า "Uvance" สื่อถึงแนวคิดของการทำให้ทุกสิ่ง (Universal) ก้าวไปข้างหน้า (Advance) ในทิศทางที่ยั่งยืน ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของฟูจิตสึใน "เป็นการสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ด้วยการเชื่อมโยงผู้คน เทคโนโลยี และแนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนและเปิดโอกาสให้ทุกคนก้าวตามความฝันได้มากขึ้น"
Fujitsu Uvance จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตให้กับธุรกิจหลักของฟูจิตสึ ซึ่งครอบคลุมโฟกัส 7 ด้านที่สำคัญ โดย 4 ด้านนั้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่และแก้ไขปัญหาสังคมที่ต้องเผชิญทั้งในปัจจุบันและอนาคต โฟกัส 4 ด้านที่ว่านี้ได้แก่ การผลิตที่ยั่งยืน (Sustainable Manufacturing), ประสบการณ์สำหรับผู้บริโภค (Consumer Experience), การใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี (Healthy Living) และสังคมที่เชื่อถือได้ (Trusted Society) ส่วนอีก 3 ด้านเพื่อที่เข้ามารองรับการดำเนินงานข้างต้นและทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูล การผสานรวมแอพพลิเคชั่น และการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล (Digital Shifts), แอพพลิเคชั่นทางธุรกิจ (Business Applications) และระบบไอทีแบบไฮบริด (Hybrid IT)
ฟูจิตสึจะนำเสนอแนวทางการดำเนินงานของ Fujitsu Uvance ซึ่งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายใต้วิสัยทัศน์ระดับโลกสำหรับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
ภายในงาน "Fujitsu ActivateNow 2021" ซึ่งเป็นกิจกรรมระดับโลกที่จัดขึ้นผ่านระบบออนไลน์ในวันอังคารที่ 12 ตุลาคม นั้น จะมีสาส์นจากผู้บริหารของฟูจิตสึ วิทยากรรับเชิญ และลูกค้า เพื่อส่งมอบแนวคิดให้กับผู้เข้าร่วมรับฟัง
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นและทิศทางที่เปลี่ยนไปของประชากรโลกมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อให้เกิดโอกาสที่มากมาย รวมถึงปัญหาท้าทายที่ซับซ้อน จนทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศนำไปสู่ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในช่วงปีที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเผยให้เห็นถึงปัญหาความแตกแยกและความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับค่านิยมและรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชน รวมไปถึงปัญหาท้าทายใหม่ๆ ที่เราไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งนับเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของมนุษยชาติและโลก การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ขณะที่ผู้บริหารจำเป็นที่จะต้องฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ และกล้าที่จะก้าวเดินไปในทิศทางใหม่เพื่อมุ่งไปสู่อนาคตที่สดใส โดยใช้นวัตกรรมเป็นแสงนำทาง
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนนี้ ฟูจิตสึจึงได้กำหนดวัตถุประสงค์ขึ้นใหม่ในปี 2563 โดยปรับใช้แนวทางใหม่ในการพลิกโฉมองค์กรไปสู่ธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อทำให้โลกของน่าอยู่มากขึ้น ตลอดจนเพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2573 ฟูจิตสึ ได้ระบุโฟกัส
หลัก 7 ด้านที่เป็นพื้นฐานสำหรับ Fujitsu Uvance อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโฟกัสหลัก 7 ด้านของ Fujitsu Uvance ตามภาพด้านล่างนี้ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ Fujitsu Uvance Global
แผนการสำหรับอนาคต
เพื่อฉลองการเปิดตัวในครั้งนี้ ฟูจิตสึได้เปลี่ยนชื่ออาคาร "Fujitsu Kawasaki Tower" ในประเทศญี่ปุ่นเป็น "Fujitsu Uvance Kawasaki Tower" และใช้เป็นห้องปฏิบัติการที่จัดแสดงศักยภาพการใช้งานจริงของเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ไบโอเมตริก การวิเคราะห์ภาพ ฯลฯ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีบทบาทต่อฟูจิตสึในธุรกิจที่สำคัญ 7 ด้าน
นอกจากนี้ ฟูจิตสึเตรียมเปิดตัวโลโก้รูปโฉมใหม่ พร้อมกับการเริ่มต้นดำเนินงานของ Fujitsu Uvance ตรงกับลูกค้า โดยโลโก้ใหม่นี้สื่อถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและการมีส่วนร่วมทำให้โลกมีความ
ยั่งยืนมากขึ้น โดยมีการจัดวางโลโก้เครื่องหมายอินฟินิตี้ (Infinity Mark) ไว้ที่ด้านหน้า พร้อมด้วยลายเส้นโค้งมนที่ลื่นไหลในรูปแบบไดนามิก แสดงถึงความมุ่งมั่นของฟูจิตสึในการเสริมสร้างพลังเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและยังสื่อความหมายถึงวงจรการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกค้า สังคม และโลกของเรา
ฟูจิตสึมุ่งมั่นดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
สหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) เมื่อปี 2558 โดยตั้งเป้าที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวทั่วโลกภายในปี 2570 ขณะที่ฟูจิตสึมี
จุดมุ่งหมายที่จะ “ทำให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วยการสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโดยอาศัยนวัตกรรม” และนั่นคือคำมั่นสัญญาสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่าตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ