หัวเว่ยและกระทรวงดิจิทัลร่วมยกระดับการใช้งานคลาวด์และ AI ในไทย เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผนึกกำลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดงานประชุม Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 โดยมีทั้งผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรม ลูกค้าและพันธมิตรในไทย รวมถึงจากองค์กรธุรกิจในจีนเข้าร่วมกว่าหลายร้อยคน เพื่อร่วมพูดคุยถึงการพัฒนาเทคโนโลยี AI พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย ภายในงานครั้งนี้ หัวเว่ย คลาวด์ และกระทรวงดิจิทัล ยังได้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อการพัฒนาทางดิจิทัล พร้อมเป้าหมายในการสนับสนุนการสร้างอีโคซิสเต็มด้านคลาวด์และ AI พร้อมการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถให้กับประเทศไทย ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้าน AI ของภูมิภาค ผ่านการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัล

 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย คลาวด์-เฟิร์ส (Cloud-First policy) ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตรูปแบบใหม่ของไทย ซึ่งคลาวด์และ AI จะเป็นอนาคตของประเทศไทย ในนามของกระทรวงดิจิทัล ผมขอขอบคุณหัวเว่ย ประเทศไทย ที่รับหน้าที่ผู้นำภาคเอกชนจัดกิจกรรมครั้งสำคัญนี้ และยังได้นำประสบการณ์ระดับโลกที่มีความล้ำสมัยของหัวเว่ยและพันธมิตรมาสู่ประเทศไทย พร้อมรวมถึงสนับสนุนการสร้างอีโคซิสเต็มทางดิจิทัลสำหรับเทคโนโลยีคลาวด์และ AI ให้กับประเทศไทยอีกด้วย ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนอย่างหัวเว่ยนี้ จะช่วยส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเทคโนโลยี AI ของภูมิภาค กระทรวงดิจิทัลมุ่งมั่นสนับสนุนประเทศไทยอย่างเต็มกำลังในการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ และการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของคนไทย”

 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้เกียรติขึ้นกล่าวในงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน 

AI เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีระดับโลกและการเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรม โดยมีผลกระทบในเชิงลึกต่อสังคมมนุษย์และการปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรม จึงทำให้ประเทศไทยตระหนักถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงนี้และมุ่งมั่นยกระดับความสามารถในการแข่งขันระดับโลก โดยการเสริมสร้างความสามารถด้าน AI และเป็นศูนย์กลาง AI ในภูมิภาค หัวเว่ย คลาวด์ ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนวิสัยทัศน์นี้ ผ่านพันธกิจ “ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย” (In Thailand, for Thailand)

นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นกล่าวในงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023

นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวย้ำถึงพันธกิจของหัวเว่ย คลาวด์ ในการขับเคลื่อนการใช้งานเทคโนโลยีระบบคลาวด์และ AI ในประเทศไทยว่า “หัวเว่ย คลาวด์ มุ่งมั่นต่อพันธกิจ “ในประเทศไทย เพื่อประเทศไทย” พร้อมสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาดิจิทัลของประเทศตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล หัวเว่ย คลาวด์ จึงยังคงมุ่งลงทุนในการสร้างอีโคซิสเต็มคลาวด์และเสริมประสิทธิภาพในประเทศ โดยการสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งในประเทศไทยและโครงสร้างพื้นฐาน AI สำหรับรัฐบาลและองค์กร หัวเว่ย คลาวด์ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านดิจิทัลของไทยผ่านเทคโนโลยี AI ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้งาน AI อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ พร้อมสร้างประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนไทยและส่งเสริมความก้าวหน้าทางดิจิทัลของประเทศ"

ภายในงานประชุมดังกล่าว หัวเว่ย คลาวด์ ยังเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างองค์กรจีนและไทย เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัย แอปพลิเคชัน และความเชี่ยวชาญจากประเทศจีน โดยใช้ประสบการณ์การทำงานในระดับโลกกว่า 170 ประเทศและภูมิภาค หัวเว่ย คลาวด์ ยังได้ให้ข้อมูลในเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมระดับโลกและภูมิภาค ด้วยเทคโนโลยีและโซลูชันที่ทันสมัย พร้อมเป็นพันธมิตรที่เหมาะสมสำหรับองค์กรไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดโลกและองค์กรจีนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดไทย

 

 

ศาสตราจารย์คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ (ที่ 8 จากซ้าย) ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ให้เกียรติเข้าร่วมงาน Huawei Cloud AI Summit Thailand 2023 ในครั้งนี้ เพื่อเป็นสักขีพยานการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์และ AI อย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยในฐานะหน่วยงานกำกับดูแล กสทช. จะนำเทคโนโลยีคลาวด์และ AI เข้าร่วมพิจารณาในการร่างนโยบายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเชิงดิจิทัลในภาคสังคมและภาคเศรษฐกิจของประเทศไทย

สำหรับโมเดลภาษาไทยนั้น ผ่านการฝึกฝนด้วยคลังข้อมูลของ AI ในภาษาไทย ผสานความรู้ ความเข้าใจในอุตสาหกรรมของหัวเว่ยที่สะสมมากว่าสามทศวรรษ ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยการเรียนรู้ข้อมูลภาษาไทยจำนวนมาก การพัฒนานี้ช่วยกำจัดอุปสรรคในการเข้าถึงโมเดลพื้นฐาน ทำให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนจากผู้ใช้ AI เป็นผู้สร้าง AI ได้

ในด้านอุตุนิยมวิทยา หัวเว่ย คลาวด์ ได้ร่วมมือกับกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย พัฒนาโมเดลพยากรณ์อากาศ ผานกู่ (Pangu) สำหรับประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและการท่องเที่ยวของไทยในเชิงลึกยิ่งขึ้น โมเดลนี้เหนือกว่าการพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลข (numerical weather prediction - NWP) ที่ได้รับการพัฒนาล่าสุด โดยความเร็วในการพยากรณ์มีหลายระดับและรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา การพยากรณ์เส้นทางของพายุไต้ฝุ่นในช่วง 10 วันข้างหน้า ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง แต่ด้วยโมเดลพยากรณ์อากาศ ผานกู่ สามารถทำได้ภายในเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้น

สำหรับภาครัฐ หัวเว่ย คลาวด์ นำเสนอความอัจฉริยะในกระบวนการทำงานของรัฐบาลและภาคการปกครองเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การรับรู้แ ความเข้าใจไปจนถึงการจัดการและการตัดสินใจ คำร้องขอของประชาชนจะได้รับการมอบหมายโดยอัตโนมัติ

และจัดการได้ตลอดเวลา ทำให้รัฐบาลให้บริการที่มีคุณภาพสูงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องขาดแคลนบุคลากร

นายมาร์ค เฉิน ประธานกรรมการฝ่ายขายโซลูชันคลาวด์ บริษัท หัวเว่ย

ด้านความสามารถของบุคลากรเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี AI ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ในงานประชุมครั้งนี้ หัวเว่ย คลาวด์ กระทรวงดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคม AI องค์กรธุรกิจและพันธมิตรได้ร่วมกันเปิดตัว Cloud & AI Community Thailand เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ด้วยเป้าหมายสูงสุดเพื่อสร้างบทบาทของประเทศไทยสู่ AI ระดับโลก

ด้วยโซลูชัน AI ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมอันแข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่กว้างขวาง และการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม หัวเว่ย คลาวด์ พร้อมจะสนับสนุนประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลาง AI ที่สำคัญในภูมิภาค ผ่านการลงทุนต่อเนื่องทั้งใน อีโคซิสเต็มและอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมมุ่งมั่นสนับสนุนการเติบโตด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีคุณภาพสูงของประเทศไทย

เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน  

ขับเคลื่อนแนวทางการรับมือกับงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานประชุมสำหรับพาร์ทเนอร์ “Huawei Thailand Supplier Convention 2023”

ในปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งมนุษย์สามารถใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในทุกมิติของชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนและสังคม โดยที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยลงกว่าที่เคย การเตรียมความพร้อมสำหรับยุค 5.0 จึงเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เพราะจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และโอกาสที่เพิ่มขึ้นสำหรับทุกคน เพื่อให้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจากเทรนด์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ องค์กรต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องหันหน้ามาร่วมหารือกันว่าจะสนับสนุนภาคธุรกิจในด้านการลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการยกระดับความรู้ความสามารถที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจและการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน

หัวเว่ย ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นนำระดับโลก มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะนำองค์กรไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ไม่ทิ้งใครเอาไว้เบื้องหลัง โดยนำหลักการความยั่งยืนมาผนวกเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้าที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ทุกผู้คน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร ให้ประเทศไทยเชื่อมต่อถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยกับสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทยและสหประชาชาติในประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand: UNGCNT) ทำให้ได้คิดค้นวิธีที่จะเพิ่มศักยภาพของผู้คนในชีวิตประจำวัน สร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรทุกขนาดได้สร้างสรรค์นวัตกรรม รวมทั้งช่วยผลักดันให้ประเทศไทยไปถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวย้ำถึงบทบาทของหัวเว่ยในการปูทางสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังสังคมที่ทุกคนมีความเท่าเทียมด้านดิจิทัลได้ในระดับโลกว่า “หัวเว่ยวางกลยุทธ์สร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของเรา ด้วยการทำให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน และปูทางเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความเท่าเทียมทางดิจิทัลทั่วทั้งโลก เรามุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีในการช่วยยกระดับสังคมสามารถเห็นได้จากกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของเรา ซึ่งได้แก่ความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล ความปลอดภัยและคามน่าเชื่อถือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็งและสมดุล เราเชื่อมั่นว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และกลยุทธ์ในการสร้างพันธมิตร จะช่วยให้เราผลักดันโลกไปสู่ความเท่าเทียมและความยั่งยืนทางดิจิทัลที่มากยิ่งขึ้น”

ดร.ชวพลยังเน้นย้ำถึงเรื่องการกำหนดนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล โดยกล่าวว่าหัวเว่ยได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรในระดับโลกมากมาย เนื่องจากเห็นความสำคัญของการจัดทำกฎระเบียบและข้อบังคับเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ในขณะเดียวกัน โลกดิจิทัลก็กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาพร้อมกับประโยชน์ใช้สอยมากมาย แต่ก็พ่วงมาด้วยความเสี่ยงหากตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ด้วยเหตุนี้ หัวเว่ยจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ผ่านโครงการฝึกอบรม และโครงการเพื่อการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเสริมศักยภาพให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถ มีทักษะที่เหมาะสม ในการใช้ประโยชน์และความพร้อมในการรับมือต่อความเสี่ยงซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล

ในด้านภารกิจเพื่อผลักดันความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล ดร.ชวพลกล่าวว่า: “เทคโนโลยีคือสะพานที่จะเชื่อมไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้คน และนำประเทศไทยไปสู่ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายเรื่องนี้ เราได้ร่วมมือกับองค์กรสหประชาชาติ องค์กรภาคเอกชน สถาบันวิทยาศาสตร์ รัฐบาล ผู้ให้บริการ และลูกค้าองค์กรของเราอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 40 องค์กรทั่วโลก ในการรังสรรค์โครงการร่วมกันกว่า 60 โครงการ โดยโครงการ TECH4ALL ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวเพื่อสร้างความเท่าเทียมด้านดิจิทัลของหัวเว่ย ได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จากการได้ช่วยสนับสนุนให้โรงเรียนกว่า 600 แห่ง พร้อมครู นักเรียน และเยาวชนที่ยังไม่มีงานทำ รวมกว่า 220,000 คน ได้มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รวมทั้งได้รับการฝึกอบรมทักษะดิจิทัล นอกจากนี้ โครงการนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติ 46 เขตทั่วโลก ด้วยการเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ”

เทคโนโลยีของหัวเว่ยได้สร้างความแตกต่างให้แก่องค์กรและชีวิตคนมากมายทั่วประเทศ โดยได้นำพาเทคโนโลยีไปสู่ทุกคนแม้อยู่ในพื้นห่างไกลของประเทศไทย โดยโครงการต่าง ๆ ของหัวเว่ยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนชุมชน ส่งเสริมความเชื่อมโยง และยกระดับคุณภาพชีวิตในภาพรวมรวมให้แก่ผู้คนในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างเช่น โครงการ TrackAI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติสเปนกับหัวเว่ย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่พิการทางสายตา โดยระบบตรวจสอบการมองเห็นของเด็กจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ของหัวเว่ย และประเมินว่าเด็กคนนั้น ๆ มีสัญญาณความบกพร่องด้านการมองเห็นหรือไม่ ซึ่งนับตั้งแต่โครงการนี้เปิดตัวเมื่อสามปีก่อน ได้มีการตรวจสอบตาให้เยาวชนไปแล้วกว่า 4,500 คน ใน 5 ประเทศ

ความมุ่งมั่นในการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลของหัวเว่ย ยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในโครงการรถดิจิทัลเพื่อสังคม ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ในประเทศไทย โดยโครงการนี้ได้ช่วยสนับสนุนความเท่าเทียมทางดิจิทัลผ่านการอบรบทักษะเทคโนโลยีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในพื้นที่ 10 จังหวัดชนบท ครอบคลุม 40 ชุมชนในพื้นที่ห่างไกล โดยได้อบรมเด็ก ๆ บุคลากร และธุรกิจขนาดเล็กในชนบทไปแล้วกว่า 4,000 คน ซึ่งหัวเว่ยได้มีส่วนในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและสะเต็มศึกษา (STEM Education) รวมทั้งปูพื้นฐานให้การเรียนรู้ที่เท่าเทียมผ่านโครงการดังกล่าว  นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้จับมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในโครงการ USO 2.0 จากการเล็งเห็นช่องว่างทางดิจิทัลในพื้นที่ชนบท โดยหัวเว่ยได้นำโซลูชัน AirPON มาใช้ขับเคลื่อนการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบนเครือข่ายไฟเบอร์สู่หมูบ้านจำนวน 19,652 หมู่บ้าน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ลดช่องว่างทางดิจิทัล แต่ยังช่วยปลดล็อคบริการที่จำเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่บริการด้านสาธารณสุขทางไกล การศึกษา และการซื้อขายผ่านออนไลน์ ทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเชื่อมต่อและมอบเทคโนโลยีให้กับผู้คนแม้อยู่ในชุมชนห่างไกล อันจะปูทางไปสู่ความเท่าเทียมและการพัฒนาที่ยั่งยืน

“หัวเว่ยเข้าใจถึงบทบาทของกฏหมายในการลดช่องว่างทางดิจิทัล จึงเน้นผลักดันนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางดิจิทัล เราให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก ด้วยการทำโครงการฝึกอบรมและโครงการด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ หัวเว่ยยังมุ่งมั่นในพันธกิจ “เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” และ “นำทุกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ด้วยการมุ่งเน้นสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล และการหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสีเขียว” ดร.ชวพลกล่าวเสริมในตอนท้าย

X

Right Click

No right click