December 05, 2025

ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ ให้กับมหาวิทยาลัยที่มีผลงานโดดเด่นในโครงการ "ECOLIFE in U" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และบริษัท คิดคิด จำกัด กิจการเพื่อสังคม ภายใต้การดำเนินกิจการโดย ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ณ อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “โครงการ "ECOLIFE in U" นับเป็นก้าวสำคัญของกระทรวง อว. ในการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาให้มีคุณภาพอย่างยั่งยืน (Sustainable University) และมุ่งสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้และปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับนิสิต นักศึกษา และบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา โดย "U" หมายถึงทั้งนิสิต นักศึกษา (You) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ (University) ซึ่งเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2567”

"ตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา การดำเนินกิจกรรมนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักและความสำคัญที่สถาบันอุดมศึกษามีต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น ปริมาณขยะ การใช้ไฟฟ้าและน้ำที่ลดลง รวมถึงการมีส่วนร่วมของนักศึกษาที่เพิ่มขึ้น  และสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG หลายเป้าหมาย อาทิ  SDG 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ปัญหาจริงและลงมือแก้ไขจริง ทั้งในด้านการจัดการขยะ การอนุรักษ์พลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน  SDG 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน ให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ต้นแบบของการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น  SDG 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการลดการใช้พลาสติก และการส่งเสริมการนำขยะกลับมาใช้ซ้ำ  และ SDG 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กิจกรรมต่างๆ ในโครงการ ล้วนมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  กระทรวง อว. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ร่วมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์โครงการความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นว่า นอกเหนือจากพลังของคนรุ่นใหม่แล้ว  สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ  ล้วนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการมุ่งสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”- ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม

นายพิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ผู้ก่อตั้งบริษัท คิดคิด จำกัด กล่าวเสริมว่า แพลตฟอร์ม ECOLIFE เป็นเครื่องมือหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกในการรักสิ่งแวดล้อมที่ยังคงให้ความสนุกและเป็นระบบ ซึ่งเข้ามาช่วยจัดสรรให้นิสิต นักศึกษา อาจารย์ และบุคลากร สามารถเก็บข้อมูลการลดคาร์บอนฟุตพริ๊นท์ในระดับสถาบันการศึกษาได้อย่างเป็นระบบ เพื่อร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน รักษาสิ่งแวดล้อม อันนำไปสู่ความยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต”

สำหรับโครงการ "ECOLIFE in U" เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2567 บรรลุผลสำเร็จอย่างโดดเด่น โดยมีสถาบันอุดมศึกษาสมัครเข้าร่วมกิจกรรม ECOLIFE Fill in (การบันทึกข้อมูลการคัดแยกขยะรีไซเคิล) จำนวนทั้งสิ้น 75 แห่ง โดยผลของการดำเนินกิจกรรมสามารถบันทึกน้ำหนักขยะรีไซเคิลรวมกว่า 9,525,471.51กิโลกรัม ลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึง 9,525.41 ตัน CO₂e และสำหรับกิจกรรม ECOLIFE มีสถาบันอุดมศึกษาสมัครเข้าร่วมทั้งสิ้น 43 แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 38,993 ราย ดำเนินกิจกรรมทั้งสิ้น 333,720รายการ และสามารถลดคาร์บอนเพิ่มเติมได้อีก 117,567.51 กิโลกรัม CO₂e รวมการลดคาร์บอนทั้งหมดประมาณ 249,346.5 ตัน CO₂e ซึ่งนำมาสู่ผลสำเร็จสำคัญ ซึ่งตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนิสิต นักศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ รางวัลมหาวิทยาลัยที่มีการปรับพฤติกรรมด้านความยั่งยืนและปริมาณการคัดแยกขยะรีไซเคิลมากที่สุด จากการบันทึกข้อมูลด้วย ECOLIFE Platform ในโครงการ "ECOLIFE In U" ทั้งสิ้น 5 รางวัล ได้แก่

  1. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  2. มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา
  3. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
  4. มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
  5. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

และรางวัลมหาวิทยาลัยนำร่องในการดำเนินงานโครงการ "ECOLIFE In U" อีก 1 รางวัล ได้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของโครงการ “ECOLIFE in U” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านความยั่งยืนในแนวทาง SDGs (Sustainable Development Goals เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) โดยเฉพาะการขยายการมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งการจัดกิจกรรม การประชาสัมพันธ์ การสร้างแรงจูงใจ รวมถึงวิธีการต่างๆ ที่ให้เกิดความเหมาะสมกับแต่ละมหาวิทยาลัย

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการ "ECOLIFE in U" เพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://sub.ecolifeapp.com/university เฟซบุ๊ก www.facebook.com/ECOLIFEapp  หรือ Add LINE: @ecolifeapp หรือคลิก https://lin.ee/0DhZ0BV

ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวความสำเร็จการจัดงาน อว.แฟร์ 2025: SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ภายใต้แนวคิด Creators of Tomorrow: คิดสร้างสรรค์ Kids สร้างอนาคต ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีและร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดล้ำด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งตลอด 9 วันของการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 720,000 ราย แบ่งเป็น On-site กว่า 222,000 ราย และ Online กว่า 498,000 ราย สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ศ.ดร. ศุภชัย กล่าวว่า การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ถือเป็นความท้าทายสำคัญของกระทรวง อว. ในการดำเนินการจัดมหกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับภูมิภาคและส่วนกลาง เพื่อมอบองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนเปิดโอกาสและจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ในการนำวิทยaศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน

ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า “อว.แฟร์ ไม่ได้เป็นเพียงงานนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ หากแต่เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมและนำเสนอผลงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ครอบคลุมทั้งด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เชื่อมโยงองค์ความรู้และนวัตกรรมกับการใช้ชีวิตจริง ตลอดจนจุดประกายโอกาสจากทักษะใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์อนาคตของประเทศ พร้อมทั้งปลุกพลังแห่งการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งสะท้อนบทบาทเชิงกลไกของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ด้วยพลังของการเรียนรู้ที่บูรณาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อมุ่งสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย”

การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ในครั้งนี้นับว่าบรรลุผลสำเร็จอย่างรอบด้าน โดยมีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญและคุณค่าของงานอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิ Facebook PR Pages, KOL Influencer, Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และ Line ซึ่งสร้างการรับรู้รวมกว่า 125 ล้านครั้ง ตลอดจนมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 720,000 คน แบ่งเป็นการเข้าร่วม On-site กว่า 222,000 คน และ Online กว่า 498,000 คน อีกทั้งยังเกิดการจับคู่เจรจาทางธุรกิจสำเร็จ 345 คู่ อันนำไปสู่การต่อยอดและขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มากกว่า 1,059 ผลงาน ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการและประชาชนกว่า 18,000 คน ได้รับการพัฒนาศักยภาพผ่านกิจกรรมสัมมนา เสวนา และเวิร์กช็อปกว่า 300 กิจกรรม พร้อมทั้งก่อให้เกิดรายได้จากการจำหน่ายสินค้านวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากหน่วยงานในสังกัด อว. ผ่านโซน Marketplace และ Craft Market รวมมูลค่ากว่า 4.3 ล้านบาท โดยมีผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้เข้าชมงานอยู่ในระดับสูงกว่า 96% ซึ่งผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของการจัดงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของงาน อว.แฟร์ 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเรียนรู้ของคนไทย และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. การสร้างปัญญา: ด้วยการเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ผ่านการต่อยอดแนวคิด "นิทรรศการเพื่อการเรียนรู้" ไปสู่โมเดลการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะการขับเคลื่อนทุนการศึกษาแบบ Targeted Scholarship และการสร้างพื้นที่เรียนรู้เสมือนจริงสำหรับกลุ่มเปราะบาง
  2. การเปิดโอกาส: ด้วยการยกระดับเวที Business Matching และ Innovation Showcase ให้เชื่อมโยงกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในระดับพื้นที่ โดยการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุน เทคโนโลยี และงานวิจัยให้มากขึ้น
  3. การสร้างอนาคตไทย: ด้วยการเร่งขับเคลื่อน Deep Tech และอุตสาหกรรมอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนา AI Excellence Center, Quantum Hub, Smart Farming Platform และ Digital Health Supply Chain ให้กลายเป็น Flagship Projects ระดับชาติ

“สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากการจัดงานในปีนี้ คือ การเรียนรู้คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเวทีให้เยาวชน นักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชน ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ ความรู้เหล่านี้สามารถต่อยอดไปสู่อาชีพ สร้างธุรกิจ และก่อให้เกิดคุณค่าที่กลับคืนสู่สังคมอย่างแท้จริง ในนามของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อว. ผมขอให้คำมั่นว่า เราจะยังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าในการสร้างปัญญา เปิดโอกาส และร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศไทย ผ่านพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม” ปลัดกระทรวง อว. กล่าวสรุป

ตอกย้ำความสำเร็จตลอด 9 วัน สู่การพัฒนากำลังคนและสหวิทยาการรองรับอนาคต

คึกคัก! ‘อว.แฟร์ 2025’ ขนทัพ ‘หมอลำสู่สากล-มหาหมอลำ Festival’ ดัน Soft Power ไทยสู่สายตาชาวโลก ร่วมลุ้นไปกับการแข่งขัน ‘Astro Challenge ปริศนาดาราศาสตร์’

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click