เมื่อเรามองไปที่สภาพภูมิทัศน์ของเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน เราจะเห็นความน่าตื่นเต้นจากการที่ได้เห็นว่าโลกได้เชื่อมต่อกันมากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี ในขณะที่ผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตก็มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 2,700 ล้านคนในปี 2022 เหลือเพียงประมาณ 2,600 ล้านคนในปี 2023 ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยการเชื่อมต่อนี้ได้นำมาซึ่งโอกาสใสการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญที่มากขึ้น ซึ่งนอกจากการเชื่อมต่อขั้นพื้นฐานจะมีความสำคัญแก่ทุกคนแล้ว เทคโนโลยียังมีบทบาทสำคัญในการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติได้อีกด้วย

หัวเว่ย หนึ่งในผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ชั้นนำของโลก มุ่งมั่นที่จะสร้างโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างเต็มรูปแบบ มีความยั่งยืน และชาญฉลาด โดยมีเป้าหมายที่จะเชื่อมต่อผู้คนกว่า 120 ล้านคนในพื้นที่ห่างไกลในกว่า 80 ประเทศให้สำเร็จภายในปี 2025 โดยในปี 2022 หัวเว่ยได้เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรดิจิทัล “Partner2Connect Digital Coalition” หรือ P2C ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ เพื่อช่วยจัดหาโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT ให้กับพื้นที่ชนบททั่วโลก เพื่อให้ชุมชนที่ขาดแคลนสามารถเข้าถึงการศึกษาอัจฉริยะ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ทางไกล และบริการด้านดิจิทัลอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำหรับความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในอนาคต

บนเวทีการสัมนาด้านความยั่งยืน Sustainability Forum ครั้งที่ 3 ของหัวเว่ย ณ เมืองตงกว่าน ประเทศจีน ภายใต้หัวข้อ “เติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยี ตระหนักถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน” (Thrive Together with Tech: Realizing Sustainable Development) หัวเว่ยได้รวบรวมผู้บริหารและตัวแทนจากองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศหรือ ITU และเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (UN SDSN) มาร่วมหารือเกี่ยวกับความสำคัญและความสำเร็จในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มการเชื่อมต่อโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ดร. เหลียง หัว ประธานกรรมการบริหารของหัวเว่ย ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในช่วงเปิดงานว่า “โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในยุคใหม่ เช่น การเชื่อมต่อและพลังการประมวลผล มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม เทียบเท่ากับโครงสร้างทางกายภาพอย่างท้องถนน โดยโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่นี้จะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมในภาพรวม โดยการประมวลผลจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในแง่ประสิทธิภาพของการทำงานในเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ การเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในหลายภาคอุตสาหกรรม และส่งเสริมการผสานระหว่างเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจจริงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจโลกและการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

คุณดอรีน บ็อกแดน-มาร์ติน เลขาธิการ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลในการเร่งผลักดันการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ว่า “ในขณะนี้ มีเป้าหมาย SDGs เพียง 15% เท่านั้นที่น่าจะสำเร็จลุล่วงได้ภายในปี 2030 ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลจะสามารถช่วยเร่งให้เป้าหมายเหล่านี้สำเร็จตามได้มากถึง 70% หากมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาปรับใช้อย่างเหมาะสม  เราไม่ควรจะต้องเลือกระหว่างเทคโนโลยีกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน  เราต้องการทั้งสองสิ่ง  ดังนั้น มาเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยี  และร่วมสร้างอนาคตดิจิทัลที่ก้าวหน้าเพื่อประชาชนและโลกของเรากันเถอะ”

คุณเจฟฟ์ หวัง ประธานฝ่ายกิจการสาธารณะและสื่อสารของหัวเว่ย ได้กล่าวว่า “หัวเว่ยมีความภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรกับ ITU ในโครงการสำคัญนี้  รวมถึงการได้เห็นคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ร่วมมือกันในการสร้างความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัลทั่วโลก โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการสนับสนุนรวมถึงเงินทุนสำหรับโครงการต่าง ๆ ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจาก ITU และหัวเว่ย รวมถึงโอกาสในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันด้วย"

ดร. คอสมาส ลัคกีซัน ซาวาซาว่า ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาโทรคมนาคมของ ITU กล่าวว่า “ด้วยความร่วมมือระหว่าง ITU และหัวเว่ย เยาวชนจะได้เรียนรู้ และได้มีส่วนร่วมเป็นผู้นำในโลกดิจิทัล โดยเทคโนโลยีดิจิทัลถือเป็นความรู้เบื้องต้นที่จะช่วยเร่งรัดการบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เราต้องการให้เยาวชนช่วยกันผลักดันอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลที่กำลังพัฒนาอยู่ทั่วโลกและสร้างความเปลี่ยนแปลง ผมขอขอบคุณหัวเว่ยสำหรับความร่วมมืออันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ และผมหวังว่าจะได้เห็นผลกระทบในระดับโลกจากโครงการที่มีนวัตกรรมนี้”

กลุ่มพันธมิตร P2C ที่ริเริ่มก่อตั้งโดย ITU มุ่งส่งเสริมการเชื่อมต่ออย่างมีคุณค่าและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลในระดับโลก โดยให้ความสำคัญกับชุมชนห่างไกลในประเทศและภูมิภาคที่ขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้ หัวเว่ยได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือระดับโลกเมื่อปีที่แล้ว โดยตั้งเป้าหมายที่จะเชื่อมต่อผู้คนประมาณ 120 ล้านคนในพื้นที่ห่างไกลในกว่า 80 ประเทศ ให้สำเร็จภายในปี 2025 จนถึงขณะนี้ หัวเว่ยได้จัดการฝึกอบรมไปแล้ว 2,066 ครั้งในประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นพันธมิตร P2C รายแรกของ ITU โดยได้เข้าไปร่วมมือกับกระทรวงต่าง ๆ และมหาวิทยาลัยในพื้นที่

ในประเทศไทย หัวเว่ยมุ่งมั่นในการสร้างสังคมดิจิทัลที่มีความเท่าเทียมในระดับท้องถิ่น ดังจะเห็นได้ชัดจากโครงการ “รถดิจิทัลเพื่อสังคม” (Digital Bus) ซึ่งริเริ่มขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2021 เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลด้วยการช่วยฝึกอบรมทักษะดิจิทัลให้ฟรีในรูปแบบที่เหมาะสมกับผู้คนท้องถิ่นใน 10 จังหวัด ในชุมชนห่างไกล 40 แห่ง ครอบคลุมกลุ่มเด็กในชนบท กลุ่มแรงงาน และกลุ่มเอสเอ็มอีกว่า 3,000 คน โดยในโครงการนี้ หัวเว่ยได้เข้าไปช่วยพัฒนาทักษะดิจิทัลและการศึกษาด้าน STEM สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในโครงการ USO 2.0 เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชนบท ทั้งนี้ หัวเว่ยยังคงมุ่งมั่นในการส่งเสริมพันธกิจ “เติบโตพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” (Grow in Thailand, Contribute to Thailand) และ “นำทุกคนไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” (Lead Everyone Forward, Leave No One Behind) โดยมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย

เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลาง AI แห่งอาเซียน  

ขับเคลื่อนแนวทางการรับมือกับงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานประชุมสำหรับพาร์ทเนอร์ “Huawei Thailand Supplier Convention 2023”

ในปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ยุค 5.0 ซึ่งมนุษย์สามารถใช้เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในทุกมิติของชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้คนและสังคม โดยที่ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยลงกว่าที่เคย การเตรียมความพร้อมสำหรับยุค 5.0 จึงเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น เพราะจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และโอกาสที่เพิ่มขึ้นสำหรับทุกคน เพื่อให้ไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจากเทรนด์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ องค์กรต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องหันหน้ามาร่วมหารือกันว่าจะสนับสนุนภาคธุรกิจในด้านการลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์ ด้วยการยกระดับความรู้ความสามารถที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางธุรกิจและการพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน

หัวเว่ย ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นนำระดับโลก มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะนำองค์กรไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ไม่ทิ้งใครเอาไว้เบื้องหลัง โดยนำหลักการความยั่งยืนมาผนวกเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ นอกจากนี้ บริษัทฯยังตั้งเป้าที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลสู่ทุกผู้คน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร ให้ประเทศไทยเชื่อมต่อถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยกับสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กประเทศไทยและสหประชาชาติในประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand: UNGCNT) ทำให้ได้คิดค้นวิธีที่จะเพิ่มศักยภาพของผู้คนในชีวิตประจำวัน สร้างแรงบันดาลใจให้องค์กรทุกขนาดได้สร้างสรรค์นวัตกรรม รวมทั้งช่วยผลักดันให้ประเทศไทยไปถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)

ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวย้ำถึงบทบาทของหัวเว่ยในการปูทางสู่การเปลี่ยนผ่านไปยังสังคมที่ทุกคนมีความเท่าเทียมด้านดิจิทัลได้ในระดับโลกว่า “หัวเว่ยวางกลยุทธ์สร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของเรา ด้วยการทำให้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน และปูทางเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความเท่าเทียมทางดิจิทัลทั่วทั้งโลก เรามุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยีในการช่วยยกระดับสังคมสามารถเห็นได้จากกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของเรา ซึ่งได้แก่ความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล ความปลอดภัยและคามน่าเชื่อถือ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการสร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็งและสมดุล เราเชื่อมั่นว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และกลยุทธ์ในการสร้างพันธมิตร จะช่วยให้เราผลักดันโลกไปสู่ความเท่าเทียมและความยั่งยืนทางดิจิทัลที่มากยิ่งขึ้น”

ดร.ชวพลยังเน้นย้ำถึงเรื่องการกำหนดนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล โดยกล่าวว่าหัวเว่ยได้ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรในระดับโลกมากมาย เนื่องจากเห็นความสำคัญของการจัดทำกฎระเบียบและข้อบังคับเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ในขณะเดียวกัน โลกดิจิทัลก็กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาพร้อมกับประโยชน์ใช้สอยมากมาย แต่ก็พ่วงมาด้วยความเสี่ยงหากตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ด้วยเหตุนี้ หัวเว่ยจึงต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ผ่านโครงการฝึกอบรม และโครงการเพื่อการศึกษาต่าง ๆ เพื่อเสริมศักยภาพให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถ มีทักษะที่เหมาะสม ในการใช้ประโยชน์และความพร้อมในการรับมือต่อความเสี่ยงซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล

ในด้านภารกิจเพื่อผลักดันความเท่าเทียมทางด้านดิจิทัล ดร.ชวพลกล่าวว่า: “เทคโนโลยีคือสะพานที่จะเชื่อมไปสู่ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้คน และนำประเทศไทยไปสู่ความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายเรื่องนี้ เราได้ร่วมมือกับองค์กรสหประชาชาติ องค์กรภาคเอกชน สถาบันวิทยาศาสตร์ รัฐบาล ผู้ให้บริการ และลูกค้าองค์กรของเราอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 40 องค์กรทั่วโลก ในการรังสรรค์โครงการร่วมกันกว่า 60 โครงการ โดยโครงการ TECH4ALL ซึ่งเป็นโครงการระยะยาวเพื่อสร้างความเท่าเทียมด้านดิจิทัลของหัวเว่ย ได้ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จากการได้ช่วยสนับสนุนให้โรงเรียนกว่า 600 แห่ง พร้อมครู นักเรียน และเยาวชนที่ยังไม่มีงานทำ รวมกว่า 220,000 คน ได้มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รวมทั้งได้รับการฝึกอบรมทักษะดิจิทัล นอกจากนี้ โครงการนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพของเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติ 46 เขตทั่วโลก ด้วยการเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ”

เทคโนโลยีของหัวเว่ยได้สร้างความแตกต่างให้แก่องค์กรและชีวิตคนมากมายทั่วประเทศ โดยได้นำพาเทคโนโลยีไปสู่ทุกคนแม้อยู่ในพื้นห่างไกลของประเทศไทย โดยโครงการต่าง ๆ ของหัวเว่ยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนชุมชน ส่งเสริมความเชื่อมโยง และยกระดับคุณภาพชีวิตในภาพรวมรวมให้แก่ผู้คนในพื้นที่ห่างไกล ตัวอย่างเช่น โครงการ TrackAI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติสเปนกับหัวเว่ย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่พิการทางสายตา โดยระบบตรวจสอบการมองเห็นของเด็กจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ของหัวเว่ย และประเมินว่าเด็กคนนั้น ๆ มีสัญญาณความบกพร่องด้านการมองเห็นหรือไม่ ซึ่งนับตั้งแต่โครงการนี้เปิดตัวเมื่อสามปีก่อน ได้มีการตรวจสอบตาให้เยาวชนไปแล้วกว่า 4,500 คน ใน 5 ประเทศ

ความมุ่งมั่นในการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลของหัวเว่ย ยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในโครงการรถดิจิทัลเพื่อสังคม ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ในประเทศไทย โดยโครงการนี้ได้ช่วยสนับสนุนความเท่าเทียมทางดิจิทัลผ่านการอบรบทักษะเทคโนโลยีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในพื้นที่ 10 จังหวัดชนบท ครอบคลุม 40 ชุมชนในพื้นที่ห่างไกล โดยได้อบรมเด็ก ๆ บุคลากร และธุรกิจขนาดเล็กในชนบทไปแล้วกว่า 4,000 คน ซึ่งหัวเว่ยได้มีส่วนในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลและสะเต็มศึกษา (STEM Education) รวมทั้งปูพื้นฐานให้การเรียนรู้ที่เท่าเทียมผ่านโครงการดังกล่าว  นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้จับมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในโครงการ USO 2.0 จากการเล็งเห็นช่องว่างทางดิจิทัลในพื้นที่ชนบท โดยหัวเว่ยได้นำโซลูชัน AirPON มาใช้ขับเคลื่อนการเชื่อมโยงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตบนเครือข่ายไฟเบอร์สู่หมูบ้านจำนวน 19,652 หมู่บ้าน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ลดช่องว่างทางดิจิทัล แต่ยังช่วยปลดล็อคบริการที่จำเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่บริการด้านสาธารณสุขทางไกล การศึกษา และการซื้อขายผ่านออนไลน์ ทั้งยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเชื่อมต่อและมอบเทคโนโลยีให้กับผู้คนแม้อยู่ในชุมชนห่างไกล อันจะปูทางไปสู่ความเท่าเทียมและการพัฒนาที่ยั่งยืน

“หัวเว่ยเข้าใจถึงบทบาทของกฏหมายในการลดช่องว่างทางดิจิทัล จึงเน้นผลักดันนโยบายที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางดิจิทัล เราให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก ด้วยการทำโครงการฝึกอบรมและโครงการด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะที่จำเป็นในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ หัวเว่ยยังมุ่งมั่นในพันธกิจ “เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” และ “นำทุกฝ่ายก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ด้วยการมุ่งเน้นสนับสนุนประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล และการหันมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสีเขียว” ดร.ชวพลกล่าวเสริมในตอนท้าย

X

Right Click

No right click