AirAsia MOVE (ชื่อเดิมคือ AirAsia Superapp) ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำในเครือ Capital A Berhad ก้าวสู่ความเป็นผู้นำแพลตฟอร์มให้บริการด้านการท่องเที่ยวครบวงจร (OTA) พร้อมเดินหน้ายกระดับการเดินทางทั่วอาเซียนให้สะดวกสบายเดินทางหากันได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย ‘Asean Explorer Pass’ แพ็กเกจใหม่ที่ไม่เหมือนใคร

Asean Explorer Pass หรือแพ็กบินฟินตะลุยอาเซียน ได้ประกาศเปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการ โดยนายยัง เบอร์ฮอร์มัด ดาโต๊ะ ซรี เตียง คิง ซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเลเซีย และดำรงตำแหน่งเป็น [ประธาน/รองประธาน] รัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน นายตัน ซรี นัซรี ราซัค ประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ประเทศมาเลเซีย และนายโทนี เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปปิตอล เอ (Capital A) และ MOVE Digital รวมถึงมีนางนาเดีย โอมาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AirAsia MOVE เข้าร่วมด้วย

Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียน เป็นการสมัครสมาชิกแบบรายปี ซึ่งมีอายุ 1 ปีนับจากวันที่ซื้อ ซึ่งจะปลดล็อกการเดินทางระหว่างประเทศภายในภูมิภาคอาเซียน และเส้นทางภายในประเทศสำหรับผู้โดยสารต่างชาติ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในอาเซียน ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการแลกรับสิทธิ์ที่นั่งบนเที่ยวบินในภูมิภาคอาเซียน* (เที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศ**) ที่ให้บริการโดยสายการบินแอร์เอเชีย พร้อมรับส่วนลดพิเศษสำหรับการจองโรงแรม และสัมผัสกับความสะดวกสบาย ที่ประหยัดกว่าด้วยส่วนลดพิเศษสำหรับบริการเรียกรถรับส่ง AirAsia Ride ตลอด 1 ปีเต็ม นับจากวันที่สมัครสมาชิก

เปิดให้จองแพ็กเกจได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2567 บนแอป AirAsia MOVE พร้อมรับข้อเสนอพิเศษเพียง 8,640 บาท/ปี หรือผ่อน เพียง 864 บาท ต่อเดือนเท่านั้น สามารถผ่อนชำระ 0% ได้สูงสุด 10 เดือน เมื่อชำระผ่านบัตร

เครดิตที่ร่วมรายการ คุ้มสุดๆ หลังจากวันที่ 30 เมษายน 2567 แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียนจะจำหน่ายในราคา 9,599 บาท หรือผ่อนจ่าย 959.9 บาทต่อเดือน

 

นายโทนี เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแคปปิตอล เอ (Capital A) และ MOVE Digital กล่าวว่า “กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมาธุรกิจด้านการบินของแคปปิตอล เอ หรือสายการบินแอร์เอเชีย ได้เดินหน้าเชื่อมโยงการเดินทางทั่วอาเซียนให้เข้าถึงได้ในราคาประหยัด โดยเฉพาะการเดินทางจากเมืองรองและเมืองเล็ก AirAsia MOVE ในฐานะผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์แบบครบวงจร พร้อมต่อยอดการเดินทางในอาเซียน ด้วยการมอบประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่นและตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเดินทางได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในแพลตฟอร์มเดียว

วันนี้ เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวแพ็กเกจใหม่ที่ไม่เหมือนใครอย่าง Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียนให้นักเดินทางจากทั่วทุกภูมิภาคได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางในอาเซียน โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาที่ยังมีน้อยคนรู้จัก นอกเหนือจากเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมอย่างบาหลี กรุงเทพ ภูเก็ต และเมืองหลักอื่นๆ เราเชื่อว่ายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากที่รอให้คุณได้ไปสัมผัสด้วย Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียนนี้

ในเดือนธันวาคม 2565 มีผู้ใช้บริการแพ็กเกจบินสนั่นรายปีแลกที่นั่งสุดคุ้มในภูมิภาคกว่า 80,000 ที่นั่ง เป็นการตอกย้ำความต้องการท่องเที่ยวในอาเซียน ซึ่งยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม และยังเป็นศูนย์กลางในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แคปปิตอล เอ (Capital A) มองเห็นความสำคัญของการเชื่อมโยงการเดินทางและบริการท่องเที่ยวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางบิน การจองโรงแรม และบริการรถรับส่ง ให้สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดาย เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่บริการของ AirAsia MOVE จะช่วยให้นักเดินทางได้สัมผัสกับความงดงามที่หลากหลายในภูมิภาคของเรา”

นัซรี ราซัค ประธานสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ประเทศมาเลเซียกล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนของสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน ผมขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับความสำเร็จของ AirAsia และ AirAsia MOVE ในครั้งนี้ การเปิดตัวแพ็กเกจใหม่อย่าง Asean Explorer Pass แพ็กบินฟินตะลุยอาเซียน เป็นเครื่องยืนยันถึงจุดมุ่งหมายร่วมกันของเราในการเชื่อมต่ออาเซียนให้ไร้พรมแดน ด้วยการเชื่อมต่อผ่านเที่ยวบินและการสนับสนุนความหลากหลายของภูมิภาคซึ่งเป็นจุดแข็งของเรา ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าอาเซียนกว่า 100 ล้านคน คิดเป็น 70% ของตัวเลขในช่วงก่อนโควิด เราเชื่อมั่นว่าความพยายามของ AirAsia MOVE จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของอาเซียนเติบโตยิ่งขึ้นจากรายได้การท่องเที่ยวอย่างแน่นอน”

ผู้ที่ซื้อตั๋วบินอินเตอร์จุใจทั่วอาเซียนรายปี Asean International Pass เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาจะได้รับการอัพเกรด และขยายเวลาการแลกสิทธิ์เที่ยวบินจนถึง 6 พฤษภาคม 2567 และสามารถเดินทางได้จนถึง 20 พฤษภาคม 2568 โดยผู้ที่ถือตั๋วบินรายปีในขณะนี้จะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป สำหรับผู้ถือตั๋วบินรายปีที่ต้องการแลกสิทธิ์เที่ยวบินปลายทางภายในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศของตนเอง (ขึ้นอยู่กับสัญชาติในหนังสือเดินทาง) จะต้องเสียค่าธรรมเนียม SST เมื่อแปลงเป็น 'Asean Explorer Pass' อ่านคำถามที่พบบ่อยที่นี่เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม

 

ที่ AirAsia MOVE ผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ ให้คุณสามารถจองเที่ยวบินจากสายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดในโลกอย่างสายการบินแอร์เอเชียและสามารถจองเที่ยวบินจากอีกกว่า 700 สายการบินพันธมิตร พร้อมตัวเลือกโรงแรมกว่า 900,000 แห่งทั่วโลก และความสะดวกสบายด้วยบริการจองรถรับส่ง เปิดประสบการณ์ร้านอาหาร ซื้อบริการประกันภัย และบริการอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมรับสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกที่ไม่เหมือนใครจาก MOVE Rewards ครบจบในที่เดียว ยืนยันความเป็นแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยวครบวงจรของ AirAsia MOVE ด้วยรางวัล 'Leading Online Travel Agency in Asia for 2023 หรือรางวัลผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวชั้นนำของปี 2566' จาก World Travel Awards ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับการเสนอชื่อ

AirAsia MOVE พร้อมมอบบริการการเดินทางและบริการทางการเงินที่ราบรื่นผ่าน BigPay แพลตฟอร์มการชำระเงินในเครือ Capital A Berhad ที่จะช่วยให้นักเดินทางสามารถใช้จ่ายได้อย่างไม่มีสะดุด พร้อมยกระดับการเดินทางให้สะดวกสบายยิ่งกว่าที่เคยโดยทำให้การจัดการการเงินขณะเดินทางง่ายขึ้น ขจัดความยุ่งยากในการพกพาสกุลเงินจริง หรือจัดการกับค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงเกินไป สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวและการเดินทางที่ราบรื่น ดาวน์โหลดแอป AirAsia MOVE ของคุณจาก Apple App Store, Google Play Store และ Huawei App Gallery.

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป – ประเทศไทย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจงานแสดงสินค้าและความสำเร็จของบริษัทฯ ในปี 2566 ว่า ปีนี้นับเป็นการฟื้นตัวของธุรกิจงานแสดงสินค้าหลังสถานการณ์โควิดอย่างแท้จริง การกลับมาจัดงานได้อย่างเต็มรูปแบบส่งผลให้การดำเนินงานของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นรายได้รวมของบริษัทฯ ที่สูงถึง 1,300 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 900 ล้านบาท และดีกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 880 ล้านบาท

ผลสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากการปรับตัว เปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์กรและธุรกิจตลอดเวลา แม้ในช่วงวิกฤตโควิดที่ไม่สามารถจัดงานได้เต็มรูปแบบ เราก็ไม่ได้มีการหยุดนิ่ง เราแทงสวนและสู้ตายกับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ทั้งการพัฒนาธุรกิจ การทำงานเชิงลึกด้านข้อมูลและเครื่องมือต่างๆ ร่วมกับบริษัทแม่ที่เป็นเบอร์หนึ่งผู้จัดงานแสดงสินค้าโลก เพื่อสร้างงานที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเป็นงานที่จับใจคน รวมทั้งเพิ่มจำนวนงานให้ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้เกิด 7 งานใหม่ รวมกับ 6 งานเดิม เป็น 13 งานในปี 2566 พร้อมทั้งเร่งพัฒนาบุคลากรเพื่อเตรียมความพร้อมและดึงคนที่มีความสามารถมาทำงานร่วมกับเรา จากปัจจัยและการเตรียมการดังกล่าวทำให้นอกจากจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแล้ว ยังทำให้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ขึ้นแท่นเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้าอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียนทั้งจำนวนโชว์และรายได้

เป้าหมายในปีนี้เราจะไม่ยึดติดกับการแข่งขันด้านอันดับเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เราพยายามทำ คือ การผลักดันให้ทุกโชว์ของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นโชว์ระดับภูมิภาค เป็นงานที่ทุกคนในอุตสาหกรรมที่ต้องการดำเนินธุรกิจกับคนในภูมิภาคนี้ต้องเข้าร่วม จำนวนงานแสดงสินค้าของอินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทยในปี 2567 จะมีทั้งหมด 15 งาน ครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ โดยมีงานที่เราจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี อาทิ Intermach, ProPak Asia, ASEAN Sustainable Energy, Thai Water Expo, CPHI, Food & Hospitality Thailand ฯลฯ และการร่วมมือกับบริษัทในเครือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ในหลายประเทศมาจัดงานแบบร่วมทุน (Joint Venture) โดยนำงานแสดงสินค้าที่ประสบความสำเร็จ อาทิ งาน Jewellery & Gem Asean Bangkok, Cosmoprof CBE Asean Bangkok, APLF ASEAN และ Vitafoods Asia มาจัดขึ้นที่ประเทศไทยนอกจากนั้น ยังมีการจับมือกับพันธมิตรรายใหม่และคู่แข่งการจัดงานจากต่างประเทศ ร่วมกันจัดงานใหม่ในปีนี้เพิ่มอีก 3 งาน คือ Plastics & Rubber Thailand, Medlab Asia และ Tyrexpo

การเพิ่มขึ้นของจำนวนโชว์และการผลักดันการจัดงานให้เป็นงานสำคัญของภูมิภาค ส่งผลบวกต่อประเทศไทยทั้งในภาคอุตสาหกรรม การลงทุนและการท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนผู้เข้าร่วมงานทั้งผู้ร่วมจัดแสดงงานและผู้

เยี่ยมชมงานเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง โดยจำนวนผู้เข้าร่วมงานที่จัดขึ้นโดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยรวมกันปีละประมาณ 20% สร้างมูลค่าการเจรจาการค้าและธุรกิจทั้งในการจัดงานและหลังการจัดงานปีละหลายหมื่นล้านบาท และยังส่งผลให้เกิดการจับจ่ายด้านการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอีกจำนวนมาก

ส่วนเป้ารายได้ในปี 2567 นั้น คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้าน เนื่องจากบางงานมีการจัด 2 ปีต่อครั้ง และปี 2568 คาดว่ารายได้จะกลับมาพุ่งสูงอีกครั้งประมาณ 1,450 ล้านบาท ด้านปัจจัยบวกที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจงานแสดงสินค้าในปีหน้านั้นอยู่ที่การฟื้นตัวของธุรกิจที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของโลกที่ผ่อนคลายลง การพัฒนาและการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการลงทุนเครื่องจักรและเครื่องมือในการผลิตใหม่ๆ นโยบายการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าจากภาครัฐ ส่วนปัจจัยลบที่ยังส่งผลอยู่มีทั้งสงครามในบางพื้นที่ที่ยังไม่สงบ เศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้ติดต่อกันง่ายขึ้น

ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเป้าหมายของเราจึงเป็นการสร้างงานแสดงสินค้านานาชาติระดับภูมิภาค ที่นอกจากจะเป็นการสร้างเคลือข่ายเชื่อมโยงการค้ากันในอาเซียนแล้ว ด้วยกำลังซื้อจำนวนมากของภูมิภาคยังเป็นแรงดึงดูดนักธุรกิจและบริษัทต่างๆ ของโลกให้เข้ามาร่วมงานที่เราจัดขึ้นในประเทศไทย โดยในสายตาผู้จัดงานแสดงสินค้าและนักธุรกิจนั้น เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในการเป็น HUB การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของสถานที่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานและการเดินทางมาร่วมงานไม่สูงมาก เป็นศูนย์กลางของอาเซียน มี Soft Power ที่มีเสน่ห์ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และวัฒนธรรม ที่สำคัญคือความเป็นมิตรและรอยยิ้มของคนไทยที่ทำให้ทุกคนอยากมาทำธุรกิจและร่วมงานในประเทศไทย แต่สิ่งที่อยากขอให้ภาครัฐสนับสนุนเพิ่มเติม คือ การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นข้อจำกัดบางรายการ เช่น ส่วนสมอาหาร เครื่องสำอางค์ อัญมณีและเครื่องประดับ ในมาตรฐานการนำเข้าเพื่อมาจัดแสดง โดย อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย พร้อมและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น HUB ของการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติของภูมิภาคอย่างแท้จริง

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ประกาศเปิดโรงงานแบตเตอรี่อีวีแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียนบนพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ด้วยกำลังการผลิตกว่า 50,000 ก้อนต่อปี พร้อมเข้าสู่บทบาทการเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอีวีแห่งภูมิภาคอาเซียน

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด ได้เปิดโรงงานแบตเตอรี่อีวีแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ HASCO-CP BATTERY SHOP ในภูมิภาคอาเซียนบนพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 75 ไร่ หลังทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ส่วนการประกอบแบตเตอรี่ ประกอบด้วยสายการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัยอย่างการนำหุ่นยนต์ (Robotic) เข้ามาช่วยในการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานที่แม่นยำ การเชื่อมโดยเลเซอร์ (Laser Welding) เพื่อให้ได้คุณภาพของการเชื่อมที่ดี การตรวจสอบด้วย CCD (Charge Coupled Device) เพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบเทียบกับต้นแบบในทุกขั้นตอนก่อนนำไปใส่ในตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% และส่วนการทดสอบมาตรฐานของแบตเตอรี่ กว่า 60 ขั้นตอน อาทิ การตรวจสอบค่าการเก็บการคายประจุ (Charge & Discharge) การตรวจสอบน้ำรั่วซึมเข้าสู่แบตเตอรี่ (Air Leak test) ทดสอบความเป็นฉนวน (Insulation Test) ทดสอบการควบคุมพลังงาน (Static Test) เป็นต้น โดยในสายการผลิตแห่งนี้สามารถประกอบแบตเตอรี่ Cell-To-Pack ได้สูงสุดมากกว่า 50,000 ก้อนต่อปี ซึ่งแบตเตอรี่ที่ประกอบในประเทศไทยจะเป็นมาตรฐานเดียวกับสายการผลิตระดับโลก สำหรับแบตเตอรี่ที่ออกจากสายการผลิตนี้จะถูกนำไปติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น MG4 ELECTRIC เป็นรุ่นแรก รวมถึงรถไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมของสายการผลิตเพื่อเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2567”

 

นายจ้าว เฟิง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด เปิดเผยว่า “โรงงานแบตเตอรี่อีวี เป็นหนึ่งในแผนการพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เพิ่มงบลงทุนอีกกว่า 500 ล้านบาท โดยจะใช้เป็นโรงงานประกอบแบตเตอรี่อีวีในรูปแบบ Cell-To-Pack (CTP) ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง RUBIK's CUBE BATTERY ด้วยข้อได้เปรียบในเรื่องของศักยภาพและโอกาสในการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงการที่บริษัทแม่อย่าง SAIC MOTOR CORPORATION และ HASCO-CP เล็งเห็นถึงความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน

 

“โดยนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ที่ เอ็มจี ได้บุกเบิกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย สู่ปัจจุบันที่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็น ที่นิยม และมีการเติบโตในตลาดแบบก้าวกระโดด ตอกย้ำความเชื่อมั่น ด้วยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสะสมรวมกว่า 18,000 คัน ด้วยผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ คือการให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Ecosystem ที่มีความแข็งแกร่งและครอบคลุมในทุกมิติของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จไฟแบบเร็ว หรือ MG SUPER CHARGE รองรับการเดินทางที่สะดวกสบาย ทั่วประเทศ ล่าสุด เอ็มจี เดินหน้าแผนงานอีวี มุ่งยกระดับอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าด้วยการเปิดตัวโรงงานประกอบแบตเตอรี่อีวี และถือเป็นเครื่องสะท้อนความตั้งใจของ เอ็มจี หลังจากนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนาพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ในแผนงานระยะถัดไป เพื่อเติมเต็มระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าให้สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ โดยมีกรอบระยะเวลาแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2567”

 

YouTrip (ยูทริป) ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล (Multi-currency wallet) ประกาศความสำเร็จจากการระดมเงินทุนรอบ Series B คว้าเงินลงทุนมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.84 พันล้านบาท นำโดย Lightspeed บริษัท Venture Capital ชั้นนำระดับโลก ที่ลงทุนใน Grab, Snap, OYO Rooms เป็นต้น จากความสำเร็จในการระดมทุนครั้งนี้ส่งผลให้ YouTrip มียอดระดมทุนมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.68 พันล้านบาท นับตั้งแต่เปิดให้บริการเป็นต้นมา

เงินทุนใหม่นี้จะนำไปใช้เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในด้านเทคโนโลยีของบริษัทให้ดียิ่งขึ้น สร้างผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมการชำระเงินที่ตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกสบายและไร้รอยต่อ รวมถึงการขยายทีมเพิ่มอีกกว่าหนึ่งร้อยคนเพื่อเตรียมความพร้อมในการขยายการให้บริการไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

นางสาวซีซีเลีย ชู ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ YouTrip กล่าวว่า “YouTrip เปิดตัวและเริ่มให้บริการในปี 2561 ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่ต้องการมอบประสบการณ์ใช้จ่ายสกุลเงินต่างประเทศที่สะดวกสบายให้ทุกคนสามารถใช้จ่ายได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น แม้จะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 เรายังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นผู้นำด้านการชำระเงินระหว่างประเทศสำหรับลูกค้าบุคคลภายใต้บริการ YouTrip และลูกค้าธุรกิจภายใต้บริการ YouBiz ในภูมิภาคนี้”

“การระดมทุนรอบล่าสุดถือเป็นการระดมทุนครั้งใหญ่ที่สุดของ YouTrip ตอกย้ำถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งของเราในด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ เรามั่นใจว่าบริการของเราที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวกสบาย จะตอบโจทย์ผู้ใช้งานหลายล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจะทำให้การชำระเงินระหว่างประเทศเติบโตมากยิ่งขึ้น” นางสาวซีซีเลีย ชู กล่าวเสริม

เร่งการเติบโตในยุคทองของดิจิทัลวอลเล็ต

ด้วยการใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศของผู้บริโภคในประเทศไทยและสิงคโปร์ที่เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้ฐานลูกค้าของ YouTrip เติบโตขึ้นสามเท่า ยอดการทำรายการทั่วโลกเติบโตขึ้นสี่เท่า และกลายเป็นตัวเลือกหลักในการใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศ

นางสาวจุฑาศรี คูวินิชกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง YouTrip ประเทศไทย กล่าวว่า “การปิดการระดมทุน Series B ของ YouTrip ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท และเป็นก้าวที่น่าตื่นเต้นสำหรับลูกค้าชาวไทย เพราะนอกเหนือจากการรีเฟรชแบรนด์ปรับโฉมของ YouTrip ให้ทันสมัยแต่ยังคงตอบโจทย์ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีและความปลอดภัยในการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ด้วยเงินลงทุนนี้ เราจะนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์ใช้จ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าชาวไทย”

นอกจาก YouTrip แล้ว ทางด้านผลิตภัณฑ์สำหรับลูกค้าธุรกิจ YouBiz ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการบัตรองค์กร (corporate card) และการใช้จ่ายสำหรับ SMEs ในสิงคโปร์ก็เติบโตขึ้นอย่างมากเช่นกัน โดยตั้งแต่เปิดตัวให้บริการในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ภายในปีแรก YouBiz ได้ให้บริการแก่องค์กรต่างๆ มากกว่า 3,000 แห่ง และตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าภายในปี 2567 อีกด้วย

ขนาดของเงินลงทุนจาก Lightspeed เป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจในความสามารถของ YouTrip ในการนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันที่เหมาะสมกับตลาดในแต่ละประเทศ และทีมผู้บริหารที่สามารถสร้างแผนธุรกิจที่สามารถขยายตัวและเติบโตได้สูงสอดรับกับศักยภาพของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นางสาวพัชร ล้อจินดากุล นักลงทุนจาก Lightspeed กล่าวว่า “จากประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับปัญหาของระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ ตอกย้ำความเชื่อมั่นของเราในสิ่งที่ YouTrip สร้าง บริการดิจิทัลวอลเล็ตและระบบชำระเงินรองรับหลายสกุลที่ช่วยให้ผู้ใช้งานทุกคนได้รับประสบการณ์ในการใช้เป็นจ่ายสกุลเงินต่างๆที่ดียิ่งขึ้น ประหยัด สะดวก และปลอดภัย เรารู้สึกตื่นเต้นกับวิสัยทัศน์และแนวคิดทางธุรกิจที่มีความลึกซึ้ง และพร้อมที่จะร่วมมือกับ YouTrip ในช่วงต่อไปของการเติบโตและขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ”

ผลักดันนวัตกรรมด้านการชำระเงินสำหรับลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ

ทุกวันนี้ระบบดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนในชีวิตประจำวันรวมถึงการใช้จ่าย ทำให้ผู้คนในภูมิภาคอาเซียนแสวงหาบริการทางการเงินที่ให้ความสะดวกสบายและมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น YouTrip จะเพิ่มการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้วยเทคโนโลยี Artificial Intelligence (ระบบ AI) และเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ เพื่อนำเสนอบริการที่เจาะจงเฉพาะบุคคลมากขึ้น เช่น การกำหนดงบประมาณอัจฉริยะและข้อมูลเชิงลึกทางการเงินที่ปรับแต่งเองได้ และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง

YouTrip ยังวางแผนที่จะขยายบริการเพื่อช่วยให้ SMEs เติบโตข้ามประเทศในเศรษฐกิจดิจิทัลได้เร็วขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานธุรกิจ และการนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ เช่น วงเงินสินเชื่อ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของธุรกิจในขณะที่ขยายตัวและเติบโต

YouTrip เป็นผู้บุกเบิกรายแรกในอุตสาหกรรมฟินเทคและการชำระเงินดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน ที่นำเสนอบริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุลที่ให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีมากกว่า 150 สกุลเงิน ไม่มีค่าธรรมเนียมทุกการใช้จ่าย ประหยัด ใช้จ่ายสะดวกสบายไร้รอยต่อยิ่งขึ้น โดยก่อตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ก่อนจะขยายการให้บริการมายังประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยร่วมมือกับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) YouTrip เป็นผู้นำตลาดด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ การรีเฟรชแอป YouTrip 2.0 และฟีเจอร์ใหม่บนแอป YouBiz 2.0 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน

นอกจากนี้ YouTrip ยังได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม โดยได้รางวัลบริษัท FinTech ยอดเยี่ยม อาทิ Most Innovative FinTech Company in Southeast Asia, Best Multi-Currency Mobile Wallet Provider in Asia และ Best SME Finance Management Platform จาก APAC Insider’s 2023 Singapore

Business Awards เร็วๆ นี้ YouTrip ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพอันดับต้นๆ ในสิงคโปร์จาก LinkedIn เครือข่ายมืออาชีพบนอินเทอร์เน็ต ตอกย้ำสถานะของบริษัทในฐานะบริษัทฟินเทคชั้นนำในภูมิภาคอีกด้วย

กุ้ยหลิน แบงก์ (Guilin Bank) ธนาคารท้องถิ่นในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน รุกดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อผลักดันความร่วมมือทางการเงินข้ามพรมแดนระหว่างจีนกับอาเซียน โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการช่วยให้กว่างซีก้าวขึ้นเป็นที่ราบสูงแห่งใหม่ของจีนที่รองรับการค้าและความร่วมมือกับอาเซียน

เป็นที่ทราบว่า กุ้ยหลิน แบงก์ มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรในระดับสูง ตลอดจนเสริมสร้าง "ความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์" ที่แข็งแกร่ง และใช้ความคิดริเริ่มในการบูรณาการเข้ากับรูปแบบการพัฒนาใหม่ของภูมิภาค

ในปีที่ผ่านมา ทางธนาคารได้ดำเนินการวิเคราะห์และวิจัยเชิงคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตของความร่วมมือทางอุตสาหกรรมระหว่างจีนกับอาเซียน และสร้างโครงสร้างองค์กรที่โดดเด่นซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาธุรกิจของอาเซียน

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทางธนาคารได้ให้สินเชื่อมากกว่า 1.051 แสนล้านหยวนแก่โครงการสำคัญ ๆ ภายใต้ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI) โดยมีปริมาณรายได้และรายจ่ายข้ามพรมแดนเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ ปริมาณการชำระบัญชีข้ามพรมแดนกับสมาชิกอาเซียนและสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 40% ของรายได้และรายจ่ายข้ามพรมแดนทั้งหมดของธนาคาร

คุณอู่ ตง (Wu Dong) ประธานของกุ้ยหลิน แบงก์ กล่าวว่า ทางธนาคารดำเนินมาตรการที่แข็งแกร่งมั่นคงเพื่อเร่งการลงทุนและอำนวยความสะดวกทางการเงิน ส่งเสริมการปฏิรูปอุตสาหกรรมเฉพาะทาง และเสริมสร้างความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการให้ความสำคัญกับการยกระดับช่องทาง นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาความร่วมมือ ท่ามกลางความพยายามที่กว้างขึ้นเพื่อรองรับความร่วมมือทางอุตสาหกรรมจีน-อาเซียนได้ดียิ่งขึ้น

ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 10 ปีของข้อเสนอในการสร้างประชาคมจีน-อาเซียนที่มีอนาคตร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น และข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ตลอดจนครบรอบ 20 ปีของงานมหกรรมแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (China-ASEAN Expo) และการประชุมสุดยอดธุรกิจและการลงทุนจีน-อาเซียน (China-ASEAN Business and Investment Summit)

การเปิดกว้างได้กลายเป็น "ขุมพลัง" ที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกว่างซี และทางธนาคารจะยกระดับการสนับสนุนทางการเงินให้แก่กว่างซี เพื่อกำหนดรูปแบบการพัฒนาใหม่

คุณอู่ระบุว่า ในอนาคต กุ้ยหลิน แบงก์ จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมสำหรับความร่วมมือจีน-อาเซียน โดยเน้นไปที่ด้านต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือทางอุตสาหกรรม การค้าข้ามพรมแดน การลงทุนและการเงินข้ามพรมแดน และการใช้เงินหยวนข้ามพรมแดน เป็นต้น

Page 1 of 4
X

Right Click

No right click