

สสว. ประกาศใช้นิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีครั้งแรกของประเทศ เป้าหมายเป็นกิจการที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ฯลฯ มุ่งตอบรับกับกระแสเศรษฐกิจโลกที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มความเท่าเทียมระหว่างเพศ ที่สำคัญเพื่อสร้างโอกาสให้เอสเอ็มอีสตรีของไทย ได้รับสิทธิประโยชน์และความช่วยเหลือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ องค์กรระหว่างประเทศและบริษัทข้ามชาติในการเพิ่มศักยภาพธุรกิจ
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ตามที่ สสว. ได้ขับเคลื่อนและผลักดันการกำหนดนิยามผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรี ของประเทศมาตั้งแต่ปลายปี 2565 เป็นต้นมา ขณะนี้ประสบความสำเร็จโดยราชกิจจานุเบกษา ได้ออกประกาศฯ เรื่องการกำหนดนิยามวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสตรี ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ทุกภาคส่วนนำไปเป็นแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ขอบข่ายการส่งเสริมสนับสนุน ให้ความช่วยเหลือ รวมถึงจัดทำสิทธิประโยชน์เพื่อการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME สตรี และช่วยให้หน่วยงานภาครัฐมีข้อมูลเชิงสถิติที่สามารถจัดทำตัวชี้วัดได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์การสหประชาชาติ ที่กำหนดให้ความเสมอภาคทางเพศ (Gender Equality) เป็น 1 ใน 17 เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก “Sustainable Development Goals : SDGs”

“ประเทศไทยมิได้มีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินธุรกิจ อาจจะมีประเด็นเล็กน้อย เช่น ความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจ ความไว้วางใจในการจัดลำดับความสำคัญระหว่างงานกับครอบครัว ฯลฯ ซึ่งผู้ประกอบการสตรีไทยก็พิสูจน์ความสามารถจนก้าวขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก แต่เพื่อให้ตอบรับกับการที่องค์กรระหว่างประเทศให้ความสำคัญและรณรงค์เรื่องบทบาทของผู้ประกอบการสตรีมาอย่างต่อเนื่อง สสว. จึงได้เริ่มจัดทำนิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยศึกษาข้อมูลต้นแบบจากนานาประเทศ ประชุมระดมความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรระดับนานาชาติ พร้อมทั้งนำเสนอนิยามผู้ประกอบการเอสเอ๋มอีสตรี และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร สสว. และคณะกรรมการส่งเสริมเอสเอ็มอีก่อนจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 142 ตอนพิเศษ 52 ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีต่อไป” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว
สำหรับนิยามผู้ประกอบการสตรีเอสเอ็มอีประกอบด้วย 1. กิจการเจ้าของคนเดียว หมายถึง กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นเจ้าของธุรกิจ 2. ห้างหุ้นส่วนสามัญ หมายถึง กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 3. ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล/ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ (ก) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 หรือ (ข) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยมีสัดส่วนการลงทุนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และมีผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการที่มีอำนาจลงนาม 4. บริษัทจำกัด แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ (ก) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 หรือ (ข) กิจการที่ผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้ถือหุ้นรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และมีผู้หญิงสัญชาติไทยอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม 5. วิสาหกิจชุมชน หมายถึง มีสมาชิกไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นผู้หญิงสัญชาติไทย และผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นประธานหรือมีผู้หญิงสัญชาติไทยเป็นผู้มีอำนาจทำการแทน

ทั้งนี้ ภายหลังที่นิยามผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรี ประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว สสว. จะทำการเผยแพร่นิยามดังกล่าวเพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ในการกำหนดทิศทางและแนวทางการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรี ให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ นอกจากนี้จะต่อยอดการดำเนินงาน โดยจะประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่มีภารกิจในการจัดเก็บข้อมูลโดยเฉพาะด้านการดำเนินธุรกิจ เพื่อร่วมกันจัดทำฐานข้อมูลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสตรีของประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อประโยชน์ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย และมาตรการส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการเสตรี ใอสเอ็มอีให้ได้รับประโยชน์และความช่วยเหลือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ รวมถึงเชื่อมโยงกับองค์กรระดับนานาชาติในการนำสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มาเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ SME สตรีของประเทศไทย ต่อไป
สสว. และ ป.ย.ป. ร่วมลงนามเอ็มโอยู เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการเติบโตของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ภายใต้แนวคิด “Next Level SME : ปลดล็อกกฎหมาย ลดภาระ สร้างโอกาสเพื่อเอสเอ็มอีไทย
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวภายหลังพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สสว. และ สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ว่า ความร่วมมือครั้งนี้ กำหนดแนวทางการพัฒนาไว้ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ 1.การปลดล็อกกฎหมาย กฎหมายและระเบียบหลายฉบับที่ยังล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป หรือบางข้อกำหนดมีความซับซ้อน ร่วมมือนี้จะช่วยทบทวนและปรับปรุงกฎหมายให้กระชับขึ้น คล่องตัวขึ้น และสอดรับกับโลกธุรกิจยุคใหม่ 2.การลดภาระ เนื่องจากเอสเอ็มอีมักใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากไปกับขั้นตอนทางกฎหมายที่ซับซ้อน ตั้งแต่การขออนุญาตจดทะเบียนธุรกิจไปจนถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ข้อตกลงนี้จึงมุ่งลดเงื่อนไขที่ยุ่งยาก ลดต้นทุนแฝง และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และ 3. การสร้างโอกาส การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
“อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ ได้แก่การพัฒนากลไกช่วยเหลือ การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และการส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการขยายธุรกิจ” นางสาวปณิตา ระบุ

รักษาการ ผอ.สสว. เผยอีกว่า เอสเอ็มอีคือฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทย คิดเป็นกว่า 35 % ของ GDP และเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของประเทศ สร้างงานกว่า 12.8 ล้านตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของการจ้างงานรวมในประเทศ ทั้งยังช่วยกระจายรายได้สู่ครัวเรือนและชุมชนต่าง ๆ ทั่ว ประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ มีความคล่องตัวและปรับตัวได้เร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่ที่ผ่านมากฎหมายและกฎระเบียบหลายฉบับ ยังเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ สสว. จึงต้องเร่งปรับปรุงและทำให้กฎหมายเหล่านี้เอื้อต่อการเติบโตของเอวเอ็มอีมากขึ้น
“แนวทางสำคัญที่ สสว. กำลังดำเนินการ เช่น ระบบ SME One ID จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถ เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเสนอปรับปรุงมาตรการด้านภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า ภาครัฐต้องทำให้กฎหมายเป็นเครื่องมือส่งเสริมเอสเอ็มอี มิใช่อุปสรรคต่อการเติบโต ผ่านมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นรูปธรรม เช่น ปรับปรุงกฎหมายที่ซ้ำซ้อนและเป็นอุปสรรค ลดขั้นตอนทางกฎหมายและภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจ ส่งเสริมให้เอสเอ็มอี ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ
นางชุติมา หาญเผชิญ ผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดอง เผยว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นการผลักดันเอ็มอีอย่างน้อย มีความต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อหนุนแข่งขันได้ในเวทีโลก

“บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายเพื่อให้เอสเอ็มอีไทย สามารถดำเนินธุรกิจได้สะดวกขึ้น ลดข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจ ได้อย่างเต็มศักยภาพ
“Next Level SME จึงไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ที่ภาครัฐพร้อมขับเคลื่อนเพื่อให้เอสเอ็มอีไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแข็งแกร่ง ภายใต้กรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน โดยประชาชนและผู้ประกอบการสามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ สสว. ที่ https://www.sme.go.th และ เว็บไซต์ของสำนักงาน ป.ย.ป. ที่ https://sto.go.th รวมถึงช่องทางการ สื่อสารอื่น ๆ ของทั้งสองหน่วยงาน” ผอ.ป.ย.ป. กล่าวปิดท้าย
สสว. MOU ไคโก ไลฟ์ จากแดนปลาดิบ เพื่อขยายช่องทางการตลาดไปในประเทศญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL เชื่อมต่อสถาบันการเงินทั้งไทยและญี่ปุ่น ให้บริการแก่สมาชิก ONE ID ของ สสว.
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า พิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่าง สสว. และ บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด ผ่านแพลตฟอร์ม “Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL” ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เป็นสมาชิก ONE ID ของ สสว. ผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ Thai-Japan BIG ADVANCE GLOBAL (“TH-JP BAG”) กำหนดระยะเวลาความร่วมมือตั้งแต่ วันนี้ จนถึง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2571 หรือมีระยะเวลา 3 ปี เป็นต้นไป

รก. ผอ. สสว. เผยอีกว่า สำหรับบทบาทของ สสว. คือ เพื่อสร้างขีดความสามารถและถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เอสเอ็มอี รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ และร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบกิจการของเอสเอ็มอีและวิสาหกิจรายย่อย เช่น จัดหาสิทธิประโยชน์สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ แลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์ม “TH-JP BAG” และความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจับคู่ธุรกิจระหว่างเอสเอ็มอีไทย-ญี่ปุ่น ตลอดจนการให้คำปรึกษาทางธุรกิจเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ
“บริษัท ไคโก ไลฟ์ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น คือ Kokopelli ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 64,000 ราย และธุรกิจเหล่านี้ก็จะเข้าร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทยเอสเอ็มอีไทยในอนาคตอีกด้วย”
นายชินธิป พรประภา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า ขอบเขตความร่วมมือของบริษัท ได้แก่ การให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ สสว. ที่เป็นประโยชน์ให้แก่ เอสเอ็มอี และวิสาหกิจรายย่อย รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ “TH-JP BAG” ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศญี่ปุ่น ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจรายย่อย

“บริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด ขอมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการภายใต้ MOU โดยจะร่วมกันขยายช่องทางการตลาดผ่านแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจที่มีความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น ในด้านการเชื่อมต่อสถาบันการเงินร่วมให้บริการแก่สมาชิกเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมในแพลตฟอร์ม ปัจจุบันมีสถาบันการเงินกว่า 80 สถาบัน ร่วมให้บริการในประเทศญี่ปุ่น การต่อยอดในประเทศไทยจะเป็นการพัฒนาคุณลักษณะของการใช้งาน เชื่อมโยงสถาบันการเงินในประเทศไทยเพื่อให้บริการร่วมในแพลตฟอร์ม TH-JP นี้ โดย Kokopelli ร่วมกับบริษัท ไคโก ไลฟ์ จำกัด พัฒนาระบบให้เหมาะกับเอสเอ็มอีไทยที่มีความแตกต่างในการทำธุรกิจและการเชื่อมต่อกับสถาบันการเงินที่แตกต่างกัน โดยอ้างอิงจากการดำเนินการที่ญี่ปุ่นเป็นพื้นฐาน รวมถึงการเชื่อมต่อเครื่องมือทางการเงินจากต่างประเทศและการสร้างโอกาสผ่านการจับคู่ธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิตและบริการของเอสเอ็มอี” นายชินธิป กล่าว