December 16, 2025

“สหพัฒนพิบูล” หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย ที่ดำเนินธุรกิจเคียงข้างคนไทยมายาวนานกว่า 83 ปี รับเกียรติบัตร “สถานประกอบกิจการดีเด่น ด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ปี 2568 ระดับจังหวัด” (Thailand Labour Management Excellence Award 2025) จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน พร้อมเดินหน้าสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้พนักงาน ควบคู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นางนพวรรณ คล้ายโอภาส ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า SPC ได้รับเกียรติบัตร “สถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2568 ระดับจังหวัด” (Thailand Labour Management Excellence Award 2025) จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยมี นายอำนาจ อัตวรอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 เป็นผู้มอบเกียรติบัตร

ทั้งนี้ การคัดเลือกสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจำปี 2568 มีสถานประกอบการทั่วประเทศสมัครเข้ารับการพิจารณาจำนวน 1,576 แห่ง โดยมีเกณฑ์สำคัญในการพิจารณา ได้แก่ การบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์ การจัดสวัสดิการที่เป็นระบบและครอบคลุม การมีส่วนร่วมของพนักงาน การส่งเสริมความปลอดภัย และการพัฒนาทักษะบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

“รางวัลนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SPC ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานอย่างรอบด้าน ทั้งด้านสุขภาพ ความปลอดภัย สวัสดิการที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม รวมถึงการสร้างแรงงานสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานทุกคนมีความสุขในการทำงาน และเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่ง SPC จะยังคงเดินหน้านโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้น ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของบริษัทในการเป็นองค์กรคู่สังคมไทย ที่ไม่เพียงสร้างการเติบโตทางธุรกิจ แต่ยังมุ่งเน้นความสุขและความมั่นคงของพนักงานควบคู่กัน” นางนพวรรณ กล่าว

ปัจจุบัน สหพัฒนพิบูล หรือ SPC มีพนักงานรวมประมาณ 3,100 คน แบ่งเป็น พนักงานรายเดือน 1,500 คน พนักงานรายวัน 1,600 คน ซึ่งยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าธุรกิจในฐานะผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างแข็งแกร่ง และพร้อมมีส่วนร่วมสำคัญในการอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน

บริษัท เอเชียติก ไฟเบอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (AFC) ผู้นำด้านสิ่งทอการแพทย์และสมาร์ทเท็กซ์ไทล์จากไต้หวัน ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 50 ปี เตรียมเผยโฉมอนาคตของชุดสวมใส่เพื่อการแพทย์ ในงาน Medical Fair Thailand 2025 ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรม 2 ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด “Next-Gen Recovery & Performance-Level Medical Wear” ยกระดับนิยามใหม่ของความสบาย ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย

นวัตกรรมทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือภายใต้ Medical Textile Alliance 2025 ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไต้หวัน โดยบริหารงานภายใต้ Small and Medium Enterprise and Startup Administration (SMESA)

จากนวัตกรรมสู่ผลลัพธ์: 2 โซลูชันเมดิคัลแวร์แห่งอนาคต

  1. Energy+ Wearable Pain Relief Support – “Comfort & Recovery, No Pills.”

ครั้งแรกในประเทศไทย ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงโซลูชันการฟื้นฟูที่สวมใส่ได้จริง ใช้เทคโนโลยี กราฟีน เส้นใยกึ่งตัวนำ และเส้นด้ายฟังก์ชัน เพื่อเสริมการไหลเวียนเลือดและช่วยเร่งการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ซึ่งแตกต่างจากอุปกรณ์พยุงแบบดั้งเดิม Energy+ ได้รับการออกแบบในระดับการแพทย์ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดโดยไม่ต้องใช้ยา

จุดเด่นสำคัญ:

  • การปล่อยรังสีฟาร์อินฟราเรด + การปรับสัญญาณไฟฟ้าสถิต เพื่อกระตุ้นการฟื้นฟู
  • เทคโนโลยีถ่ายเทความร้อน ให้ความร้อนสม่ำเสมอเพื่อบรรเทาอาการปวด
  • คุณสมบัติต้านจุลชีพและควบคุมกลิ่น เพื่อการใช้งานร่วมกันในโรงพยาบาล
  • การออกแบบบีบกระชับ ระบายอากาศได้ดี เหมาะสำหรับสวมใส่ต่อเนื่อง

ศักยภาพทางธุรกิจ:

ตลาดอุปกรณ์บรรเทาอาการปวดทั่วโลกมีมูลค่า 7.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตแตะ 13.16 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 (อัตราการเติบโตเฉลี่ย 9.4% ต่อปี, Grand View Research) ขณะที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีความต้องการสูงจากสังคมผู้สูงอายุและโซลูชันการฟื้นฟูแบบไม่ใช้ยา ทำให้ประเทศไทยเป็นตลาดที่เหมาะสมต่อการเปิดตัว

 

  1. C-R15 Medical Scrub Suit – “Scrubs that Feel Like Sportswear.”

C-R15 ยกระดับมาตรฐานใหม่ของชุดสครับทางการแพทย์ ด้วยการผสมผสานความสบายระดับชุดกีฬาเข้ากับมาตรฐานการปกป้องตามเกณฑ์ EN 13795-2 ออกแบบมาเพื่อแพทย์ พยาบาล และเครือข่ายโรงพยาบาล ช่วยสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัย การใช้งานจริง และความยั่งยืน

จุดเด่นสำคัญ:

  • ความสบายระดับสปอร์ตแวร์: เนื้อผ้า RET 2.54 แห้งเร็ว ระบายเหงื่อได้ดี
  • การปกป้องทางการแพทย์: เส้นใยนำไฟฟ้าลดไฟฟ้าสถิตและการปนเปื้อน
  • ความทนทานและยั่งยืน: คงคุณสมบัติหลังซักกว่า 100 ครั้ง ลดต้นทุนและขยะสิ่งทอ

ศักยภาพทางธุรกิจ:

ตลาดชุดสครับทางการแพทย์ทั่วโลกมีมูลค่า 12.42 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตเกือบสองเท่าแตะ 24.86 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2032 (CAGR 9.4%, Fortune Business Insights) ส่วนตลาดเสื้อผ้าทางการแพทย์ในเอเชีย-แปซิฟิกมีมูลค่า 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2023 และคาดว่าจะโตถึง 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2032 (CAGR 6.7%, Persistence Market Research)

 

ไทย: จุดเริ่มต้นสู่การพลิกโฉมเมดิคัลแวร์

ภาคสาธารณสุขของไทยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในระบบที่ก้าวหน้าที่สุดในเอเชีย ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการทางการแพทย์ มาตรฐานการรักษาที่น่าเชื่อถือในระดับสากล และความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อโซลูชันที่ให้ความสำคัญทั้งต่อการฟื้นฟูของผู้ป่วยและคุณภาพชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์

การเลือกประเทศไทยเป็นตลาดแรกในการเปิดตัว Energy+ และ C-R15 ของ AFC จึงไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วนของประเทศด้านการบรรเทาอาการปวดแบบไม่ใช้ยาและชุดการแพทย์ที่มีความสบายระดับสูง แต่ยังสะท้อนถึงการวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเชิงกลยุทธ์สำหรับการขยายสู่ตลาดอาเซียนและระดับโลกอีกด้วย

การเปิดตัวครั้งนี้ตอกย้ำความเชื่อของ AFC ว่า แพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยชาวไทยควรได้รับการเข้าถึงนวัตกรรม        เมดิคัลแวร์ที่ก้าวหน้าและยั่งยืนที่สุด และนวัตกรรมที่นำเสนอที่นี่จะกลายเป็นมาตรฐานต้นแบบให้กับภูมิภาคในวงกว้างต่อไป

ความยั่งยืนเป็นหัวใจหลัก: พันธสัญญาของ AFC

ผลิตภัณฑ์ของ AFC อยู่ภายใต้โปรแกรม AFC CIRCULAR™ ที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ประกอบด้วย: การใช้เส้นด้ายรีไซเคิลและเศษผ้ารีเจนเนอเรท, การเลิกใช้สาร PFAS และสารเคมีอันตราย, กระบวนการผลิตแบบหมุนเวียน ลดของเสียและพลังงาน

Jessie Chen กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคของ AFC กล่าวว่า “ความไม่สบายเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน คือแรงบันดาลใจในการสร้างนวัตกรรมของเรา ดังนั้น Energy+ และ C-R15 เราไม่ได้เพียงสร้างเนื้อผ้าใหม่ แต่เรากำลังนิยาม ‘เมดิคัลแวร์’ ขึ้นใหม่ ให้ทั้งผู้ป่วยและบุคลากรการแพทย์มีวันที่ปลอดภัยและสบายมากขึ้น”

เราได้รับการสนับสนุนจากทั้งผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและบุคลากรทางการแพทย์ ผ้าอัจฉริยะของ AFC พร้อมพลิกโฉมประสบการณ์ด้านการดูแลสุขภาพ ด้วยการผสานเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์ ความสบายในชีวิตประจำวัน และความยั่งยืนอย่างลงตัว สำหรับโรงพยาบาล คลินิก และพันธมิตรด้านสุขภาพที่กำลังมองหาโซลูชันเพื่อเพิ่มความสบาย การปกป้อง และการฟื้นฟู นวัตกรรมจาก AFC พร้อมให้สัมผัสแล้ววันนี้ที่ประเทศไทย

ตอกย้ำจุดแข็งผสานความแข็งแกร่งธุรกิจในเครือ เพื่อการอยู่อาศัยที่อยู่ดีทั้งชีวิต

สนับสนุนคนไทยสร้างความสุขแบบคูณสอง พร้อมเสริมความมั่นคงทางการเงิน

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ National Pingtung University ประเทศไต้หวัน และสมาคม IEEE เตรียมจัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านการจัดการเทคโนโลยีและวิศวกรรม IEEE Technology and Engineering Management Society Conference: Asia-Pacific 2025 (IEEE TEMSCON-ASPAC 2025) ภายใต้หัวข้อ “Achieving Competitiveness in the Age of AI and Big Data Analytics” ระหว่างวันที่ 13–16 กันยายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร

รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี เผยว่า การประชุมครั้งนี้นับเป็นเวทีวิชาการสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักวิจัย นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศนำเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม อันจะช่วยผลักดันผลงานวิจัยของไทยสู่ระดับสากล พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมด้านวิศวกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ การประชุมวิชาการครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยให้สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและโมเดล BCG Economy

ทางด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิพัทธ์ จงสวัสดิ์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่มเติมว่า การที่มหาวิทยาลัยได้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดประชุมนานาชาติ IEEE TEMSCON-ASPAC 2025 สะท้อนถึงศักยภาพด้านวิชาการและการวิจัยของไทยที่ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งยังเป็นเวทีสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ อันจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ยังได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ โดยการประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับผลงานวิจัยสู่สากล และเชื่อมโยงองค์ความรู้สู่ภาคอุตสาหกรรมและสังคม

งานประชุม IEEE TEMSCON-ASPAC 2025 จึงไม่เพียงเป็นเวทีทางวิชาการ หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากำลังคนคุณภาพ และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี   และนวัตกรรมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้หัวข้อ “Demographic and Climate Crises" ระหว่างวันที่ 17–18 กันยายน 2568 ณ บอลรูม 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นเวทีระดับชาติและนานาชาติในการเสริมสร้างความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนของสังคมทั้งในและต่างประเทศ สำหรับการเตรียมความพร้อมรับมือและการจัดการ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางและประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม

ภายในงานมีกิจกรรมหลากหลายและน่าสนใจมากมาย เริ่มจากวันที่ 17 กันยายน 2568 มีการจัดเวทีอภิปราย 2 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ "Demographic and Climate Crises" เป็นเวทีนานาชาติระหว่างหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (NDP), คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP),  กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA), องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF), สำนักงานเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNDRR), องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM), ธนาคารโลก (World Bank), ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD), ศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม (ACAI) และ สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEC) รวมถึง สถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย ซึ่งดำเนินรายการ โดย ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้ดำเนินรายการ 8 Minute History และ Morning Wealth จาก THE STANDARD PODCAST อีกทั้งมีการจัด เวทีเด็กนานาชาติ โดยผู้แทนเด็กอาเซียนนำเสนอข้อเสนอประเด็น “Children Who Shape Tomorrow: ASEAN Community Vision 2045”

ส่วนในวันที่ 18 กันยายน 2568 พบกับการประชุมในรูปแบบ World Café หรือ สภากาแฟ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และความคิดเห็นร่วมกันให้ได้มุมมองที่หลากหลายระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ โดยมี 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาเด็กและเยาวชนคุณภาพ (Overcoming Challenges to Enhance Quality and Productivity of Children and Youth)   2. การเสริมสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทุกช่วงวัยเพื่อความเข้มแข็งของครอบครัว (Fostering Intergenerational Solidarity to Strengthen Families for a Better Tomorrow)  3. การสร้างสังคมที่เข้าถึงได้และยั่งยืนสำหรับทุกคน (Building the Accessible and Sustainable Society for All)  4. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบทางสังคม (Climate Change and Its Social Impacts: Building Resilience and Adaptation)

ภายในงานทั้ง 2 วันยังมีโซนนิทรรศการที่น่าสนใจ 5 โซน ได้แก่ 1) โซน SDx Pavillion: Demographic and Climate Crises นำเสนอสถานการณ์ แนวโน้ม ผลกระทบของ “วิกฤตซ้อนวิกฤต : โครงสร้างประชากรและสภาพภูมิอากาศ” ทั้งในระดับโลก ภูมิภาค และประเทศ ผ่าน จอ LED ลูกโลกขนาดใหญ่  

2) โซน Better Life นำเสนอการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีความสุขได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันในสังคม ด้วยการนำเสนอ 1. บูธกิจกรรมจำลองการเป็นคนแก่และคนพิการ 2. บูธศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) กระทรวง พม. 3. บูธศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม.  4. บูธนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร กระทรวง พม. และ 5 บูธการจำลองห้องต่างๆ ภายในบ้าน  พร้อมกิจกรรมสำหรับคนทุกช่วงวัย ได้แก่ ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องนอน และห้องน้ำ อีกทั้งจำลองพื้นที่นอกบ้าน เป็นพื้นที่ Safe Sport  และพื้นที่สุขสันทนาการ พร้อมกิจกรรมWorkshop อาทิ การนวดผ่อนคลาย, การนวดแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome),  การมัดหมี่ผ้าไหม, การทำกิมจิ ด้วยหัวใช้เท้า, การทำของที่ระลึก เช่น ผ้าพันคอลายบาติกและพวงกุญแจลูกปัด

3) โซน Better Society นำเสนอโมเดลในการสร้างโอกาสและสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อคนทุกช่วงวัย ได้แก่ นิคม Next โมเดลที่นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ BCG โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม เป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ ด้วยการจัดนิทรรศการมีชีวิตจากนิคมสร้างตนเองเลี้ยงไหม จังหวัดสุรินทร์ อีกทั้งมีการจัดแสดงบูธกาแฟกับการพัฒนาชาวเขา

4) โซน Better Future & International Pavilion นำเสนอผลงานของหน่วยงาน พม. ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ  ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ และนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบางและประชาชนทุกคน

5) โซน Market place ตลาดเอื้อสุข เป็นการเปิดพื้นที่นำเสนอแนวคิด (Concept) “ทุกความสุขใจของผู้ซื้อ คือกำลังใจให้ผู้สร้าง” โดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าจากกิจกรรมฝึกอาชีพกลุ่มเปราะบางและเครือข่ายในชุมชนของกระทรวง พม. อาทิ งานหัตถกรรม เสื้อผ้า สิ่งทอ งานศิลปะ เครื่องประดับ งานฝีมือพื้นถิ่น นวัตกรรมอาชีพ สมุนไพร อาหารแปรรูป งานจักสาน และผลิตภัณฑ์เกษตร

ขอเชิญประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ภายใต้หัวข้อ “Demographic and Climate Crises” ระหว่างวันที่ 17–18 กันยายน 2568 ณ บอลรูม 1-4 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อร่วมกันจัดการและหาทางออกจากวิกฤตซ้อนวิกฤต โดยเราทุกคนต้องร่วมมือ รวมพลังกัน เพราะไม่ใช่เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ทั้งนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊กกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ : https://www.facebook.com/share/1AVVt5UNCK/ 

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สนับสนุนหลักการประกวด นางสาวถิ่นไทยงาม 2568 ภายใต้แนวคิด “ไทยแบบใหม่ ไม่ลืมถิ่น”

ซึ่งถ่ายทอดเสน่ห์แห่งการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างเอกลักษณ์ความเป็นไทยอันทรงคุณค่ากับความร่วมสมัยได้อย่างสง่างามและทรงพลัง โดยมี ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตัดสิน พร้อมมอบรางวัลพิเศษ “TIP ICONIC STAR” ให้แก่ นางสาวปาณิศา สุทธิสว่าง หรือน้องอีน ผู้ชนะการประกวดผู้มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก โดดเด่นด้วยทักษะการสื่อสาร บุคลิกภาพ และความงามที่เปี่ยมด้วยศักยภาพและแรงบันดาลใจ

สำหรับรางวัล “TIP ICONIC STAR” ผู้ชนะจะได้รับโอกาสสำคัญในการเป็นตัวแทนที่จะนำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการของทิพยประกันภัย ผ่านกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์ การตลาด และโครงการพิเศษต่าง ๆ ของทิพยประกันภัย พร้อมรับรางวัลมูลค่า 100,000 บาท และในปีนี้สาวงามผู้ได้รับตำแหน่งนางสาวถิ่นไทยงาม ประจำปี 2568 ได้แก่ นางสาวนาตาลี สุกีอุระ หรือน้องนานะ

การประกวด นางสาวถิ่นไทยงาม 2568 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 75 ณ โรงแรม เอส พาร์ค รังสิต เพื่อเฟ้นหาสาวงามที่เปี่ยมด้วยความงดงาม บุคลิกภาพ และความสามารถรอบด้านอันสะท้อนถึงการเชื่อมโยงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทยกับความทันสมัยได้อย่างกลมกลืนและทรงคุณค่า

บมจ. กรุงไทย–แอกซ่า ประกันชีวิต มุ่งมั่นเคียงข้างคนไทย ผ่านกิจกรรม “คาราวานตรวจสุขภาพทั่วไทย” ตรวจสุขภาพพื้นฐานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลในเครือข่าย โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้ให้บริการตรวจสุขภาพฟรีแก่ลูกค้าและประชาชนทั่วไป ใน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ และ กรุงเทพฯ ในพื้นที่สถานีรถไฟใต้ดิน พระราม 9 กรุงเทพมหานคร นอกจากนั้นทางบริษัทฯ ได้มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์จากผลกระทบน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัด

ทางบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสุขภาพที่ดี คือรากฐานของชีวิตที่มั่นคง จึงมุ่งมั่น ทุ่มเท มอบความห่วงใย และสุขภาพที่ดีให้คนไทยผ่านโครงการดังกล่าว พร้อมทั้งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเคียงข้างคนไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และส่งเสริมการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพอย่างเท่าเทียม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายบริษัทฯ ที่พร้อมเคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป ทั้งนี้สำหรับท่านที่สนใจเข้ารับบริการ สามารถดูรายละเอียดวัน และสถานที่ให้บริการคาราวานตรวจสุขภาพทั่วไทยประจำเดือนกันยายน-เดือนตุลาคม ได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/caravan-health-check-2025 หรือ โทร. 1159

Lark แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันแบบครบวงจรในเครือบริษัท ByteDance จัดกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟ รวมผู้บริหารกว่า 30 คนจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการยกระดับการทำงานร่วมกันภายในองค์กร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของทั้งอุตสาหกรรม

ภายในงานมีผู้บริหารระดับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (COO) และผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล (CHRO) จากเครือร้านอาหาร แบรนด์เครื่องดื่ม และผู้ประกอบการคาเฟ่ชั้นนำ ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของเทคโนโลยีในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรม F&B นอกจากนี้ ยังมีวิดีโอพิเศษจาก คุณอรรถกร รัตนารมย์ (กานต์) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BEARHOUSE เน้นย้ำความสำคัญของการวางรากฐานภายในองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมชี้ให้เห็นว่าการทำงานร่วมกันบนแฟลตฟอร์มดิจิทัลและการออกแบบเวิร์กโฟลว์ อย่างรอบคอบช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของทีมและยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในวงกว้าง

จากนั้น คุณธัชพล ทองสุข ผู้จัดการโครงการฝ่ายไอทีของ BEARHOUSE ร่วมเสวนาและยกตัวอย่างการผสานระบบอัตโนมัติ และเครื่องมือการทำงานเข้าด้วยกัน เพื่อขยายธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ BEARHOUSE ในฐานะหนึ่งในแบรนด์ชานมไข่มุกที่เติบโตเร็วที่สุดในไทย เดินหน้ายกระดับความเป็นเลิศด้านปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ทีมผู้บริหารของ Lark ได้สาธิตตัวอย่างการใช้งานจริงว่าระบบอัตโนมัติและ AI ช่วยเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงาน การมีส่วนร่วมของพนักงาน และการทำงานระหว่างทีมต่าง ๆ ในอุตสาหกรรม F&B ในประเทศไทยได้อย่างไร ซึ่งการยกระดับเทคโนโลยีช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ตั้งแต่ร้านชานมไข่มุกไปจนถึงร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับประสบการณ์การทำงานของพนักงานได้อย่างเป็นรูปธรรม

Mark Dembitz ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Lark กล่าวย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนธุรกิจไทยให้เติบโตด้วยนวัตกรรมว่า “อุตสาหกรรม F&B ของไทยเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วที่สุดในภูมิภาค แบรนด์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวให้ทันต่อความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้น การทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องจึงต้องอาศัยมากกว่ารสชาติอาหารหรือการบริการที่ดี แต่ยังต้องมีระบบการทำงานที่ลื่นไหล และทีมงานที่พร้อมทดลองและนำนวัตกรรมมาปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว”

“ที่ Lark ภารกิจของเราคือการสร้างแพลตฟอร์มที่รวมทุกการสื่อสารไว้ในที่เดียว ทั้งระบบเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ และระบบเชื่อมทีมงานในทุกระดับขององค์กร เพื่อช่วยให้ทุกบริษัทฯ โดยเฉพาะแนวหน้าของอุตสาหกรรม F&B สามารถเปลี่ยนรูปแบบการทำงานหลังบ้านให้ทันสมัย ขยายธุรกิจได้เร็วขึ้น ให้บริการได้ดียิ่งขึ้น และนำหน้าคู่แข่งในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”

ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นในอุตสาหกรรม F&B ในประเทศไทย Lark ตั้งเป้าเป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ ของทั้งผู้เล่นหน้าใหม่และแบรนด์ชั้นนำ เสริมพลังการเติบโตระยะต่อไปด้วยระบบอัตโนมัติและ AI

โออิชิ ราเมน (OISHI RAMEN) สร้างสรรค์ความอร่อยแบบไม่ซ้ำใคร พร้อมเปิดตัวเมนูซีรีส์ใหม่ “ราเมนสุกี้ผัดแห้ง” ครั้งแรกของการจับคู่ระหว่างราเมนญี่ปุ่น เส้นเหนียวนุ่ม เป็นเอกลักษณ์ กับรสชาติสุกี้ผัดแห้งแบบไทย ๆ เผ็ด เปรี้ยว หวาน กลมกล่อม ครบรส พลาดไม่ได้กับสองเมนูไฮไลต์ที่ต้องลอง ไม่ว่าจะเป็น “ราเมนสุกี้ผัดแห้งหมู” ที่อัดแน่นด้วยหมูสไลซ์ชิ้นโต นุ่ม...เต็มคำ ผัดคลุกเคล้าด้วยซอสสุกี้เข้มข้นได้อย่างลงตัว  ราคาจานละ 125 บาท หรือ “ราเมนสุกี้ผัดแห้งกุ้ง” ที่จัดเต็มกุ้งเนื้อเด้ง ท็อปด้วยไข่กุ้ง เพิ่มสัมผัสให้กรุบกรอบในทุกคำ ราคาจานละ 145 บาท อิ่ม ฟิน ยิ่งขึ้น เมื่อสั่งเพิ่มท็อปปิ้งไข่กุ้งเน้น ๆ เพียง 39 บาท ตั้งแต่ 1 กันยายน 2568 – 30 พฤศจิกายน 2568 ติดตามข้อมูลข่าวสารและโปรโมชันอื่น ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม คลิกแฟนเพจ OISHI Restaurant Thailand: www.facebook.com/oishigroup หรือค้นหา โออิชิ ราเมน สาขาใกล้ ๆ คุณ คลิกเว็บไซต์โออิชิฟู้ด: www.oishifood.com

X

Right Click

No right click