December 18, 2025

เมื่อสไตล์มาพร้อมกับรสชาติ LELE BURGER (เลอเล่อเบอร์เกอร์) ผุดแนวคิดของจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับเบอร์เกอร์แห่งเอเชีย เปิดตัวสาขาแรกใจกลางกรุงเทพแบบจัดเต็ม  พร้อมยกระดับประสบการณ์ในการทานเบอร์เกอร์ และแรงบันดาลใจต่างๆ ในการใช้ชีวิตตามคอนเซ็ปท์ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Special Guest สุดปัง คุณโทนี่ จา (Tony Jaa) ผู้ซึ่งเป็นนักแสดงภาพยนตร์แอคชั่น เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทั้งศาสตร์ตะวันตกและตะวันออก ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผู้ซึ่งเป็นตำนานแห่งวงการบันเทิงที่ไม่เคยหลับใหล พร้อมขบวนกองทัพอินฟลูเอนเซอร์ และสื่อมากมายหลายแขนงแบบจัดเต็ม และกิจกรรมสุด Exclusive ในงาน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมหมุนวงล้อล่ารางวัล แฟชั่นโชว์สายแฟ Make Your Own Runway ที่เปรียบเสมือนแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง รวมไปถึงการเปิดตัว น้องเฮดี้ (Hedy) แบรนด์แอมบาสเดอร์ (Brand Ambassador) สุดน่ารัก ขนาด 3 เมตร พร้อมกองทัพกล่องสุ่ม Hedy ทั่วทุกพื้นที่ของเลอเล่อเบอร์เกอร์ และแน่นอนว่า เมนูไฮไลท์ของ เลอเล่อเบอร์เกอร์ เบอร์เกอร์แป้งสดแบบ Flat Bun สไตล์โฮมเมด ก็ขนมาอย่างเต็มพื้นที่ พร้อมไก่ย่าง ไก่ทอด ของทานเล่น ชาชีส ชาผลไม้ กาแฟพรีเมี่ยม มัทฉะเกรดพิธีการ ต่างๆ ก็ถูกคัดสรรมาให้ได้เลือกทานกันอย่างจุใจแบบไม่อั้น ชนิดที่ว่า ไม่อิ่ม ไม่ให้ออกจากงาน กันเลยทีเดียว

ดร.สุมิท พิฮ์ กรรมการผู้จัดการ (Managing Director) บริษัท เลอเล่อเบอร์เกอร์ กล่าวว่า LELE ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อ แต่คือคำ 4 คำที่แบรนด์ยึดถือ คือ Life, Energy, Light, และ Enjoyment เพราะทุกคำที่ได้ทาน ไม่ใช่แค่เรื่องของความอิ่มท้อง แต่มันคือการเติมพลังให้ชีวิต การจุดแสงสว่างในการสร้างความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำสิ่งใหม่ๆ และสร้างความสุขในการใช้ชีวิตในทุกๆวัน และเพราะเลอเล่อเบอร์เกอร์ มาพร้อมกับความมุ่งมั่นตั้งใจในการยกระดับประสบการณ์การทานเบอร์เกอร์ และยึดถือคุณภาพ รสชาติ และความสดใหม่เป็นสำคัญ เพื่อมอบประสบการณ์แห่ง Next Level ให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง ตามทัศนคติ และสโลแกน Stay Hungry, Stay Fresh ของแบรนด์ ที่อยากให้ลูกค้าทุกคนรับรู้ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องความสดใหม่ของอาหาร แต่รวมไปถึงทัศนคติที่ดี และความหิวกระหายในการค้นหาสิ่งใหม่ๆ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ พร้อมเรี่ยวแรงและพลังใจอย่างล้นเหลือในการลงมือสร้าง ดีไซน์ และยกมาตรฐานใหม่ขึ้นอีกระดับอย่างไม่หยุดยั้ง

ดร.สุมิท กล่าวเพิ่มเติมว่า เลอเล่อเบอร์เกอร์เป็นแบรนด์เบอร์เกอร์สายครีเอทีฟที่ “แตกต่าง” ทั้งความสดใหม่ และทั้งไอเดียที่ผสมผสานคุณภาพและความสดใหม่ของวัตถุดิบ รสชาติความอร่อย และภาพลักษณ์ของอาหารและเครื่องดื่ม ให้เบลนด์เข้ากันได้อย่างลงตัว กับภาพลักษณ์ของแบรนด์ และแพกเกจจิ้งตามเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมไปถึงความสนุกสนานของ “เฮดี้” (Hedy) แบรนด์ไอคอนิกสุดน่ารักของเลอเล่อเบอร์เกอร์ ซึ่งถูกออกแบบมาเป็น Art Toy ทั้ง 6 เวอร์ชันในเฟสแรก ก็พร้อมมาร่วมเติมสีสัน และความสนุกให้กับทุกวันของทุกท่าน

ดร.สุมิท กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นคุณโทนี่ จา, ผู้บริหารพื้นที่และศูนย์การค้าหลากหลายแห่ง เช่น Central Pattana Group, The Mall Group, Magnolia Quality Development Corporation, LH Mall, Siam Piwat  รวมไปถึงสำนักข่าวและสื่ออีกมากมายหลายแขนง ที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับประสบการณ์แห่งการทานเบอร์เกอร์ และทำให้ เลอเล่อเบอร์เกอร์ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามและเป็น Next Level อย่างแท้จริง

พบกับ เลอเล่อเบอร์เกอร์ ที่ไม่เพียงแค่อร่อย แต่ครองใจคนมากมายได้แล้ววันนี้ ที่ศูนย์การค้าซัมเมอร์ฮิลล์ ติดรถไฟฟ้าสถานีพระโขนง ทางออกที่ 4 ทุกวัน เวลา 08.00 - 22.00 น. รวมไปถึงช่องทางเดลิเวอรี่พาร์ทเนอร์

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วาฬนำร่องจำนวน 246 ตัว ถูกต้อนเข้าอ่าวเลย์นาร์ ณ หมู่เกาะแฟโร และถูกรุมฆ่าอย่างทารุณด้วยมีดปลายแหลมที่เรียกว่า “แลนซ์ไนฟ์” จากรายงานของผู้อยู่ในเหตุการณ์ พบว่าเหยื่อที่เป็นแม่วาฬที่กำลังตั้งท้องกว่า 30 ตัว และลูกวาฬเล็กๆ อีกจำนวนมากที่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้แน่ชัด องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก (World Animal Protection Denmark) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีของหมู่เกาะแฟโร ยุติการล่าอันโหดร้ายนี้โดยทันที

วาฬฝูงใหญ่แสดงอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรง ถูกเรือติดเครื่องยนต์ไล่ล่าเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะถูกต้อนเข้าสู่น้ำตื้นในอ่าวและถูกลากขึ้นฝั่ง บางตัวถูกเกี่ยวด้วยตะขอโลหะที่แทงเข้าไปในรูหายใจ ซึ่งเป็นบริเวณที่ไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่ง สัตว์ที่มีชีวิตและความรู้สึกมากกว่า 246 ตัว ถูกฆ่าทิ้งในน้ำทะเลซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มนองไปด้วยเลือดที่พุ่งทะลักจากบาดแผลทั่วลำตัววาฬ มีรายงานว่า วาฬหลายตัวตายลงอย่างช้า ๆ ทั้งจากเลือดที่ทะลักไม่หยุด หรือจากการจมน้ำทะเลที่ถูกละเลงไปด้วยเลือด จากภาพวิดีโอของ Sea Shepherd Global เผยให้เห็นว่า ระยะเวลาในการฆ่าแต่ละครั้งอาจใช้เวลานานถึง 30 นาที ท้ายที่สุด ซากวาฬไร้ชีวิตลอยเกลื่อนทั่วอ่าว บาดแผลฉกรรจ์เป็นทางยาวบริเวณลำคอ สร้างความน่าหดหู่ แม่วาฬที่กำลังตั้งท้องหลายตัว รวมถึงลูกวาฬที่ดูเหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ถูกโยนทิ้งลงในถังขยะ ผู้อยู่ในเหตุการณ์จาก Sea Shepherd ได้ให้ข้อมูลกับองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งร่วมกับองค์กรอนุรักษ์สัตว์จากทั่วโลก จนนำไปสู่การร่วมประณามการล่านี้ว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม

กิตเต้ บุคฮาเว (Gitte Buchhave) ผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศเดนมาร์ก กล่าวว่า “มันช่างเหลือเชื่อและน่าสลดใจที่เรายังคงเห็นการฆ่าสัตว์จำนวนมากด้วยวิธีสุดโหดแบบนี้ในยุคปัจจุบัน”

พร้อมกล่าวเสริมว่า “แม้จะอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ก็ไม่มีสิทธิ์ใดจะมาทำลายสัตว์ที่มีชีวิตและความรู้สึกเช่นนี้ วัฒนธรรมไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกระทำอันโหดร้าย” ขณะนี้ องค์กรฯ กำลังยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลหมู่เกาะแฟโรโดยตรง เพื่อขอให้ออกกฎหมายห้ามการล่าโลมาและวาฬนำร่องอย่างเด็ดขาด

กิตเต้ บุคฮาเว กล่าวถึงเป้าหมายว่า “เราได้พยายามพูดคุยกับทางการมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้รัฐบาลแฟโรเลิกยุ่งเกี่ยวกับการล่าสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกับเรามาอย่างยาวนาน พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ควรมีที่ยืนในสังคมสมัยใหม่ และแม้แต่ประชาชนชาวแฟโรเองก็เริ่มตั้งคำถามกับประเพณีนี้แล้ว ถึงเวลาแล้วที่การฆ่าเหล่านี้ควรถูกเก็บไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ในโลกยุคปัจจุบัน”

ผู้ล่าวาฬมักอ้างว่า “มีดแลนซ์ไนฟ์” สามารถคร่าชีวิตสัตว์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่จากรายงานปี 2023 ชื่อ Unravelling the Truth – Whale Killing on the Faroe Islands กลับพบว่า “มีดเพียงทำให้สัตว์เป็นอัมพาต และตัดเส้นเลือดใหญ่เท่านั้นแต่สัตว์ยังไม่ตายทันที หากยังรู้สึกเจ็บปวด และยังมีสติอยู่ในขณะที่ค่อย ๆ ตายอย่างทุกข์ทรมาน”

โชคดี สมิทธิ์กิตติผล หัวหน้าฝ่ายงานรณรงค์ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาพวาฬจำนวนมากถูกไล่ล่าและฆ่าอย่างโหดร้ายสะท้อนให้เห็นถึงการเพิกเฉยต่อชีวิตและความรู้สึกของสัตว์อย่างสิ้นเชิง และสะท้อนถึงแนวคิดที่ฝังรากลึกในสังคมมนุษย์ ที่ยังมองสัตว์เป็นเพียงเครื่องมือให้ความบันเทิงหรือผลประโยชน์ ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจ และสามารถเจ็บปวดหรือทนทุกข์ได้”

“แนวคิดเช่นนี้ จึงทำให้เรายังเห็นโลมาและสัตว์ทะเลหลายชนิดถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในบ่อคอนกรีตแคบ ๆ และถูกฝึกให้แสดงต่อหน้าผู้ชมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อความสนุกของมนุษย์ ทั้งที่สัตว์เหล่านี้ควรได้ว่ายอิสระในมหาสมุทร เราต้องทบทวนว่าเรากำลังให้คุณค่ากับชีวิตสัตว์แบบใด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด จากการใช้สัตว์เพื่อความบันเทิง มาเป็นการเคารพในสิทธิและเสรีภาพของพวกเขาในฐานะเพื่อนร่วมโลกอย่างแท้จริง”

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวาฬ

  • วาฬเป็นสัตว์ที่ฉลาดและมีความรู้สึกทางสังคมสูง
  • วาฬใช้ชีวิต เดินทาง และล่าเหยื่อร่วมกันเป็นกลุ่มครอบครัว
  • สมองของวาฬคิดเป็น 5% ของน้ำหนักตัว (มนุษย์ประมาณ 2%)
  • วาฬสามารถจำตนเองในกระจก แสดงความเห็นอกเห็นใจ แก้ปัญหา สื่อสารระยะไกล และมีความจำซับซ้อน

เครดิตภาพถ่าย : Sea Shepherd Global

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความรุนแรง การให้ความสำคัญกับ "พนักงาน" จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสวัสดิการหรือผลตอบแทนเท่านั้น แต่เป็นการสร้าง "คุณค่า" ที่จับต้องได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนขององค์กร ล่าสุด โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงด้านการบริการระดับพรีเมียม ประกาศความร่วมมือกับ BUZZEBEES ผู้นำด้าน Digital Engagement Platform ครบวงจรในประเทศไทย ในการนำแพลตฟอร์ม BEES’ Benefit มาปรับใช้เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการรักษาคุณภาพด้านการให้บริการ ด้วยการให้ความสำคัญกับ ‘พนักงาน’ ซึ่งเป็นหัวใจของธุรกิจบริการ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับสวัสดิการพนักงาน และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้คุณค่ากับคนทำงานอย่างแท้จริง

ด้วยแนวคิด “พนักงานคือหัวใจสำคัญในการรักษาคุณภาพการบริการ” โรงแรมสุโขทัยจึงมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงานในทุกมิติ ซึ่งย่อมส่งผลต่อประสบการณ์การบริการที่ยอดเยี่ยมของลูกค้า โดย BEES’ Benefit เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงจูงใจและความผูกพันกับองค์กร ผ่านระบบสะสมแต้มจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอบรม การทำงานตรงเวลา พนักงานดีเด่น หรือการให้บริการลูกค้าอย่างโดดเด่น ซึ่งแต้มเหล่านี้สามารถแลกรับของรางวัลได้ตามไลฟ์สไตล์ของพนักงาน ครอบคลุมตั้งแต่ร้านอาหาร เครื่องดื่ม บัตรเติมน้ำมัน ไปจนถึงของใช้ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย

คุณสุรเดช กิจเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญกับพนักงานมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่า ‘คน’ คือหัวใจของการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ความร่วมมือกับ BUZZEBEES ครั้งนี้ ทำให้เราสามารถบริหารจัดการสวัสดิการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัยมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถติดตามข้อมูลการมีส่วนร่วมของพนักงานแบบเรียลไทม์ผ่านแดชบอร์ดของ BEES’ Benefit ซึ่งช่วยให้ฝ่าย HR ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับพฤติกรรมและความต้องการของพนักงานได้อย่างแท้จริง”

ด้าน BUZZEBEES ในฐานะผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม ได้ชูจุดเด่นของ BEES’ Benefit ว่าจุดมุ่งหมายในการออกแบบโซลูชั่นนี้ ไม่ใช่แค่ “ระบบให้รางวัล” แต่เป็น “ระบบจูงใจที่มีเป้าหมาย” ที่ช่วยให้พนักงาน “อยากพัฒนา” ไม่ใช่เพียงรู้สึกว่าต้องพัฒนา ซึ่งเป็นหัวใจของการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

คุณศิวพร เพ่งผล ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (หรือ BUZZEBEES) กล่าวว่า “BEES’ Benefit ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อสร้าง Engagement ระหว่างองค์กรกับพนักงานในทุกระดับ ซึ่งจากข้อมูลของ BUZZEBEES พบว่าองค์กรที่ใช้แพลตฟอร์มนี้สามารถลดอัตราการลาออกของพนักงานได้เฉลี่ย 25-35% พร้อมเพิ่ม Employee Engagement สูงขึ้นกว่า 40% ในระยะเวลาไม่ถึงปี ความร่วมมือกับโรงแรมสุโขทัยถือเป็นอีกก้าวสำคัญของธุรกิจบริการยุคใหม่ ที่เห็นคุณค่าในศักยภาพของคนเพิ่มขึ้น”

นอกจากนี้ แพลตฟอร์มแลกรางวัล BEES’ Benefit ยังได้รับการยอมรับในระดับอุตสาหกรรม โดยได้รับรางวัลจากเวที Human Resource Excellence Awards 2023 ในประเภท Excellence in The Use of HR Tech และ Excellence in Employee Engagement ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพของโซลูชันนี้ในการเสริมสร้างความผูกพัน และสร้างพลังขับเคลื่อนให้พนักงานมีส่วนร่วมกับองค์กร

ความร่วมมือระหว่างโรงแรมสุโขทัยและ BUZZEBEES จึงเป็นการสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ขององค์กรยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับ “คนทำงาน” ในฐานะกลไกสำคัญของการสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน

เช้าที่สดใสในหน้าฝนบริเวณบ้านไร่ลุงคริส เสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มจากเด็กๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ บ้างจับกลุ่มปีนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านร่มเงาอย่างสนุกสนาน บ้างไกวชิงช้า บ้างวิ่งเล่นไปตามทุ่งหญ้าสูงต่ำลาดชัน สะท้อนความสุขจากการได้สัมผัสธรรมชาติรอบตัว ด้วยเพราะเป็นพื้นที่ล้อมรอบด้วยภูเขาอุทยานแห่งชาติสามหลั่น จ.สระบุรี ที่มีทั้งป่า เขา อ่างเก็บน้ำ ทุ่งนาและแมลงมากมาย จึงเหมาะกับการเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศน์ และเป็นที่มาของโครงการ Little Heart Care & Learn with Nature ของกรุงเทพประกันชีวิต ที่จัดขึ้นเพื่อชักชวนลูกค้าพร้อมสมาชิกตัวน้อยให้มาร่วมกิจกรรมการปลูกฝังให้รัก เห็นคุณค่าและใส่ใจในธรรมชาติ พร้อมสร้างความผูกพันในครอบครัวผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน

อรนาฎ นชะพงษ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ในการเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในด้านความใส่ใจ ที่ให้ความสำคัญกับความใส่ใจในทุกมิติ โดยเฉพาะในส่วนของลูกค้า เราเห็นคุณค่าของคำว่า “ครอบครัว” ที่เป็นหน่วยเล็ก ๆ ในสังคม จึงส่งมอบความอุ่นใจ ความสบายใจ และความสุข ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่ทุกครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ สร้างความมั่นคงทางใจให้กับเด็กและเป็นรากฐานของสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และยังร่วมกันส่งต่อความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม ผ่านการเรียนรู้ให้กับหัวใจดวงน้อยของเด็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ

“โครงการ Little Heart Care & Learn with Nature” ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจากการลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่าน BLA Happy Life Application  โดยแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 วัน ๆ ละ 40 ครอบครัว ซึ่งแต่ละวันมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 120 คน สะท้อนถึงความใส่ใจของคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกใช้เวลาไปกับลูกในกิจกรรมเล็กๆ เพื่อการเรียนรู้ธรรมชาติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ฐาน ภายใต้การดูแลโดยคุณครูและวิทยากรผู้มีประสบการณ์การสอนเด็กในรูปแบบบูรณาการ เพื่อให้ความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และธรรมชาติ ซึ่งเริ่มต้นช่วงเช้าด้วย ฐานที่ 1 “ใส่ใจแมลงเพื่อนรัก” ที่ให้น้อง ๆ ได้จับแมลงเพื่อทำความคุ้นเคยกับแมลงชนิดต่างๆ ในธรรมชาติ รวมทั้งเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงและการป้องกันตนเองหากเจอแมลงที่อาจมีพิษ ฐานที่ 2 “สังเกต ใส่ใจ บันทึกไว้ในความทรงจำ” โดยการนำแมลงที่จับได้มาดูอย่างใกล้ชิด ฝึกสังเกตและวาดภาพแมลงที่เห็นตามสัดส่วนจริง ช่วยให้เข้าใจและจดจำลักษณะแมลงแต่ละชนิดได้ดีขึ้น

สำหรับช่วงบ่าย เริ่มต้นด้วย ฐานที่ 3 “มัดย้อม ใส่ใจ สีสันจากธรรมชาติ” โดยนำสีจากธรรมชาติมาสร้างสรรค์ลวดลายลงบนผืนผ้า ฝึกการคิด สังเกตและสร้างจินตนาการ  ฐานที่ 4 “ปั้นด้วยใจ ใส่ใจ ทุกก้อนดิน” อีกหนึ่งช่วงเวลาคุณภาพ ความสุข ความอบอุ่นในครอบครัว ทุกคนร่วมกันสร้างชิ้นงานจากดินเหนียว ช่วยกันลงสี  สร้างพัฒนาการการใช้นิ้วมือ การสัมผัส สร้างสรรค์ผลงานตามจินตนาการ และปิดท้าย ฐานที่ 5 “พายไปด้วยกัน ใส่ใจ ไปพร้อมกัน” กิจกรรมว่ายน้ำและพายเรือแพในบ่อน้ำธรรมชาติ ให้เด็กๆ เรียนรู้ในการคอยช่วยเหลือดูแลกัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งไม้พาย ช่วยประคองเรือ หรือกระโดดเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

ทุกๆ กิจกรรมในโครงการ Little Heart Care & Learn with Nature ช่วยสร้างโอกาสในการสื่อสาร พูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างคุณพ่อ คุณแม่และน้อง ๆ ทุกคนได้ร่วมกันวางแผน ลงมือทำ เรียนรู้ความอดทน พร้อมนำผลงานจากการสร้างสรรค์ภายในครอบครัวกลับบ้านด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งเราได้ยินเสียงหัวเราะและมองเห็นความสัมพันธ์อันน่ารักภายในครอบครัว จึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่พวกเราทีมงานกรุงเทพประกันชีวิต รู้สึกประทับใจและดีใจที่ได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเพื่อร่วมกันสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืน เป็นความใส่ใจที่เรามอบให้ และอยากให้ลูกค้าได้ติดตามสิทธิประโยชน์และกิจกรรมดีๆ ที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดปี เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสถึงความห่วงใยและความตั้งใจของเราที่พร้อมดูแลและสนับสนุนทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ แอปพลิเคชัน BLA Happy Life ของเราค่ะ” อรนาฎกล่าวทิ้งท้าย

 

เตรียมพบกับสุดยอดนวัตกรรมจากผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บริษัท วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2025 งานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก ที่จุดประกายไอเดียและเชื่อมต่อธุรกิจความงามนานาชาติ โดย วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล ขนทัพสุดยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากประเทศเยอรมนี ที่ผลิตภายใต้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย จากโรงงานผู้ผลิตระดับเวิลด์คลาสที่เปิดดำเนินกิจการมายาวนานกว่า 50 ปี เพื่อมาสร้างจุดแข็งที่แตกต่างให้กับนักธุรกิจที่ต้องการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เติบโตอย่างยั่งยืนในตลาด และพร้อมตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายได้อย่าง “ตรงโจทย์”

พร้อมไฮไลท์เด็ดอย่าง “นวัตกรรมเม็ดฟู่” ที่ผลิตจากประเทศเยอรมนี ซึ่งคว้ารางวัล "สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2568" PRODUCT INNOVATION AWARDS 2025 พร้อมอัปเดตเทรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากตลาดในฝั่งยุโรปและประเทศเยอรมนีที่มีความเชี่ยวชาญและโดดเด่นในศาสตร์ Anti-Aging เพื่อนำมาต่อยอดและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “แบรนด์ไทยสัญชาติเยอรมัน” ที่มีจุดขายที่แข็งแรง นอกจากนี้ ร่วมลิ้มรสเครื่องดื่มเมนูพิเศษจากทีม Labtender ที่ต่อยอดความอร่อยสดชื่นจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเม็ดฟู่สูตรพิเศษ ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยทีม R&D จากเยอรมนีผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติวงการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไทยด้วยมาตรฐานเยอรมันกับ วิตาซี อินเตอร์เนชั่นแนล ในงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2025 ระหว่างวันที่ 25 - 27 มิถุนายน 2568 ที่บูธ Z45 ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น. ฟรี!

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี มอบสิทธิพิเศษดูหนังสุดคุ้มทุกวัน เพื่อเอาใจคอหนัง เพียงซื้อบัตรชมภาพยนตร์ผ่านบัตรเครดิต ttb บัตรเครดิต ttb Global House และบัตรเครดิต ttb Disney 1 ที่นั่ง รับฟรี 1 ที่นั่ง (สำหรับที่นั่งปกติ) จำกัด 2 สิทธิ์ / หมายเลขบัตร / เดือน ณ โรงภาพยนตร์ในเครือ Major Cineplex ทุกสาขา โดยสิทธิพิเศษนี้สำหรับการซื้อบัตรผ่านช่องทางเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ Express Ticket เท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมของโปรโมชัน ได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/promotion/detail/major-apr25 

ทีทีบีส่งเสริมให้ลูกค้าบัตรเครดิตใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี เพื่อชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต

บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) บริษัทเงินร่วมทุนของธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) และสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute  หรือ GGGI) เปิดตัวคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Thailand Climate Tech Startup Guide) ฉบับแรกของประเทศ ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญ ตั้งแต่แหล่งเงินทุน นวัตกรรม การกำกับดูแลด้านนโยบาย กฎหมาย รวมทั้งข้อเสนอแนะด้านการนำ Climate Tech มาใช้สนับสนุนผู้ประกอบการและนักลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ท่ามกลางตลาดธุรกิจสีเขียวโลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 280 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายวรพจน์ กิ่งแก้วก้านทอง Investment Head ของ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) เปิดเผยว่า ท่ามกลางความท้าทายหลากหลายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ การขับเคลื่อนเพื่อบรรเทาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง   สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech จึงเข้ามามีบทบาทในการพัฒนานวัตกรรมที่มีส่วนช่วยให้ประเทศเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ Net Zero ที่วางไว้  โดยบีคอน วีซี ได้ส่งเสริมการด้านเงินทุนผ่าน Beacon Impact Fund นอกจากนี้ เพื่อสร้างพื้นฐานและพัฒนาระบบนิเวศ Climate Tech ไทยให้แข็งแกร่งขึ้น  บีคอน วีซี จึงได้ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และสถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก เปิดตัวคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (Thailand Climate Tech Startup Guide) ฉบับแรกของประเทศ ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นแนวทางสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบายในการใช้ประโยชน์จาก Climate Tech อย่างเต็มศักยภาพ โดยมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจพร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เนื้อหาในคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่นี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญหลายภาคส่วน แนวทางปฏิบัติที่ใช้ได้จริง และกรณีศึกษาที่ช่วยสตาร์ทอัพวางแผนธุรกิจและขยายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมประเด็นสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพด้าน Climate Tech ตั้งแต่แหล่งเงินทุน นวัตกรรม การกำกับดูแลด้านนโยบาย รวมถึงข้อเสนอแนะเพื่อให้ประเทศไทยสามารถนำ Climate Tech มาใช้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และข้อเสนอแนะการออกกฎหมายนโยบายเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ นักลงทุน ผู้พัฒนาเทคโนโลยี ด้วยความมุ่งหมายให้คู่มือนี้เป็นจุดเริ่มต้นการวางรากฐานที่ดีสำหรับผู้เกี่ยวข้องกับ Climate Tech ทุกภาคส่วน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือผลักดันการพัฒนาที่จำเป็น เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

นายกิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือในการจัดทำคู่มือคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศครั้งนี้ ตอกย้ำความสำคัญที่ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยนโยบายอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อนด้วย ผู้ประกอบการด้าน Climate Tech ใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปจนถึงการช่วยชุมชนปรับตัวรับมือกับผลกระทบ แม้รัฐบาลจะมีนโยบายและสิทธิประโยชน์สนับสนุนการพัฒนา Climate Tech แต่ภาคธุรกิจยังเผชิญความท้าทายสำคัญ ได้แก่ กฎระเบียบที่ซับซ้อน การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคในการปลดล็อกศักยภาพของภาค Climate Tech จึงจำเป็นต้องสร้างกรอบนโยบายที่ยืดหยุ่นแต่มั่นคงเพื่อรองรับนวัตกรรมใหม่ที่กฎหมายเก่าไม่สามารถตอบสนองได้ และสร้างช่องทางสนับสนุนสตาร์ทอัพโดยตรงมากขึ้น

 

นายศานติ์กร ภักดีเศรษฐกุล เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านยุทธศาสตร์การลงทุนสีเขียว สถาบันเพื่อการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลก (Global Green Growth Institute หรือ GGGI) เปิดเผยว่า ตลาดธุรกิจสีเขียวทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 280 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2593 ขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีความชัดเจนในเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเปิดโอกาสการลงทุนในสาขาใหม่ เช่น พลังงานสะอาด เกษตรกรรมยั่งยืน การจัดการขยะ และรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การจัดทำคู่มือคู่มือสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศจึงมุ่งส่งเสริม Climate Tech ให้สามารถตอบรับกับโอกาสที่เกิดขึ้นได้ หากเราสามารถลดข้อจำกัดต่างๆ และเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศให้ครบวงจร ประเทศไทยก็มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมด้านสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคนี้ได้อย่างแน่นอน

 

นายวรพจน์ กล่าวตอนท้ายว่า แม้วงการสตาร์ทอัพด้าน Climate Tech ในประเทศไทยจะยังเผชิญความท้าทายหลากหลาย แต่โอกาสในการพัฒนาธุรกิจด้านนี้ก็มีมาก เมื่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคส่วนต่างๆ เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ Climate Tech มากขึ้น ซึ่งเป็นตัวจุดประกายความร่วมมือในการสร้างนวัตกรรมเพื่อลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คู่มือฉบับนี้โดยคู่มือยังเจาะลึกถึงกลุ่มเทคโนโลยีเฉพาะทางของ Climate Tech ที่มีโอกาสเติบโตสูงในไทย รวมทั้งชวนทุกภาคส่วนมองไปข้างหน้าถึงสาขาที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต โดยเฉพาะการลดก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญทั้งในระดับประเทศและภูมิภาคอาเซียน ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด Thailand Climate Tech Startup Guide ฟรี ภาษาไทยที่ https://www.dcce.go.th/media/6757/  และภาษาอังกฤษที่ https://www.dcce.go.th/media/6762/

กสิกรไทย ส่งกองทุน K-CHINNO25A-UI สำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ คว้าโอกาสทำกำไรในตลาด Private Equity ของจีน โดยผสานความเชี่ยวชาญผู้จัดการกองทุนหลักจากกสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ และที่ปรึกษาการลงทุน Stepstone Group (China) นำผู้ลงทุนเข้าถึงบริษัทนอกตลาดของจีนได้อย่างมั่นใจ เปิดเสนอขายครั้งเดียว 18-30 มิถุนายนนี้ เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท

นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในยุคที่จีนกำลังเปลี่ยนบทบาทจากผู้ผลิตสู่ผู้นำนวัตกรรม การถูกกีดกันจากเทคโนโลยีตะวันตกกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างจริงจัง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้เกิดโอกาสการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ อย่างธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) พลังงานสะอาด (Energy Transition) เทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีสุขภาพ (Biotech & Health Tech) อย่างไรก็ดี แม้ตลาดจีนยังมีความผันผวน แต่ตลาด Private Equity ของจีนยังมีความน่าสนใจ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง กสิกร วิชั่น เซี่ยงไฮ้ “KVPE” ซึ่งถือเป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทยรายแรกและรายเดียวที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งกองทุนหุ้นนอกตลาด หรือ Private Equity ในจีนอย่างเป็นทางการ พร้อมสิทธิ์ในการนำเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ตลาดจีนโดยตรง และพันธมิตรระดับโลก Stepstone Group (China) “Stepstone” ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน Private Equity ระดับโลกซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดจีนกว่า 15 ปี และบลจ.กสิกรไทย “KAsset” เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนคว้าโอกาสทำกำไรในตลาด Private Equity ของจีนผ่านกองทุนเปิดเค China Innovation PE 25A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ K-CHINNO25A-UI ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้กับผู้ลงทุนไทย พร้อมกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลากหลายบริษัทและอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งในอนาคต

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวเสริมว่า กองทุน K-CHINNO25A-UI กำหนดเปิดเสนอขายครั้งเดียว ในระหว่างวันที่ 18-30 มิถุนายน 2568 เริ่มต้นลงทุน 500,000 บาท โดยมีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนหลัก Kasikorn Vision Private Fund I (Shanghai) Limited Partnership ที่เน้นลงทุนใน 3 ด้าน คือ 

  1. อุตสาหกรรมหลักที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาระยะยาวของจีน ได้แก่ AI, Digitalization, Energy Transition และ Biotech & Health Tech
  2. ตลาดรอง (Secondaries) และหรือ ลงทุนโดยตรง (Direct Investments)
  3. บริษัทที่มีช่วงของธุรกิจที่มีกำไรเป็นบวก (Late Stage) หรือ มีศักยภาพในการเติบโตสูง (Growth Stage)

ทั้งนี้ ความน่าสนใจของกองทุน K-CHINNO25A-UI อยู่ที่การผสานความเชี่ยวชาญของผู้จัดการกองทุนหลักจาก KVPE และที่ปรึกษาการลงทุน Stepstone ซึ่งมีความเข้าใจตลาดเชิงลึก มีกระบวนการลงทุนตามมาตรฐานระดับโลก และเครือข่ายที่กว้างขวาง สามารถนำผู้ลงทุนเข้าถึงบริษัทนอกตลาดของจีนได้อย่างมั่นใจ โดยกองทุนจะเรียกเก็บเงินลงทุนครั้งเดียว (Single Call) และกองทุนมีอายุประมาณ 8 ปี 2 เดือน

ตลาด Private Equity ในจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีขนาดสินทรัพย์เพิ่มจาก 8.7 ล้านล้านหยวนในปี 2018 เป็น 14.4 ล้านล้านหยวนในปี 2567 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและศักยภาพของตลาดนี้ โดยกองทุน K-CHINNO25A-UI ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสในการลงทุน แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงระบบนิเวศทางการเงินของไทยเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลให้จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ การเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนในตลาดรองถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ทั้งในแง่ของราคาที่ย่อมเยาและคุณภาพของสินทรัพย์ที่น่าสนใจ อีกทั้งจีนยังได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งในการพัฒนาเทคโนโลยี โดยเน้นการส่งเสริมบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) มีการสร้างห่วงโซ่อุปทานให้ครบครัน ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และมีการอัดฉีดเงินลงทุนจากภาครัฐในเทคโนโลยีขึ้นแนวหน้า (Frontier Technologies) อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 20 ปี ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เห็นว่าตลาด Private Equity ของจีนยังมีความน่าสนใจอยู่มาก

กองทุน K-CHINNO25A-UI เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงหรือซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษที่สามารถถือครองได้เป็นเวลาประมาณ 8 ปี 2 เดือน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท ผ่าน Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย และบลจ.กสิกรไทย โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ได้รับการจัดอันดับจากสถาบันไทยพัฒน์ ให้เป็นหนึ่งใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ ESG100 ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากการคัดเลือกบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 921 แห่ง

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM กล่าวว่า “การได้รับรางวัล ESG100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แสดงถึงความตั้งใจจริงของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนด้วย ESG in Process อย่างแท้จริง ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลอย่างสมดุลเราเชื่อมั่นว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ เมื่อดำเนินการควบคู่กับความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการ“เป็นองค์กรหลักในการพลิกฟื้นสินทรัพย์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”

รางวัล ESG100 ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลสำคัญที่สะท้อนถึงความสามารถในการรักษามาตรฐานการดำเนินงาน และความพร้อมในการยกระดับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่มองหาองค์กรที่ให้ความสำคัญกับทั้งผลการดำเนินงานทางการเงินและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

X

Right Click

No right click