

บลจ.อเบอร์ดีน เปิดตัว "ABALL-TESGX" กองทุนลดหย่อนภาษีน้องใหม่ ลงทุนแบบผสมในหุ้นและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน ชูจุดเด่น "ปรับพอร์ตการลงทุน" ให้เหมาะสมทุกสภาวะตลาด ผสานมุมมองนักวิเคราะห์ระดับโลกและผู้จัดการกองทุนในประเทศ พร้อมความเชี่ยวชาญการลงทุนด้าน ESG กว่า 30 ปี เปิดขาย IPO ชนิดหน่วยลงทุน "ABALL-TESGX1" ตั้งแต่ 2-9 พ.ค.68 และ "ABALL-TESGX2" รองรับนักลงทุนที่สับเปลี่ยนมาจาก LTF เริ่ม 14 พ.ค.นี้ โอกาสลงทุนภายใน 30 มิ.ย.68
นายโรเบิร์ต เพนนาโลซา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเสนอขาย "กองทุนเปิด อเบอร์ดีน ออล ซีซันส์ ไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ" หรือ "ABALL-TESGX" กองทุนลดหย่อนภาษีกองใหม่ ซึ่งเป็นกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) เน้นลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อความยั่งยืนของไทยในสัดส่วนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ในรอบปีบัญชี โดยมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยเพื่อความยั่งยืนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 65% ในรอบปีบัญชี โดยจะพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) เพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน
สำหรับนโยบายการลงทุนของกองทุน "ABALL-TESGX" ซึ่งเป็นกองทุนรวมแบบผสม (มีความเสี่ยงระดับ 5) ลงทุนในหุ้น ESG และตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนที่ผ่านเกณฑ์ ESG โดยมีให้เลือก 2 ชนิดหน่วยลงทุน ได้แก่ 1.ABALL-TESGX1 ชนิดเงินลงทุนใหม่ 2568 เปิดขายผู้ลงทุนที่สนใจ เสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 2-9 พ.ค.2568 และเปิดให้ลงทุนอีกครั้งในวันที่ 14 พ.ค.-30 มิ.ย.2568 และ 2.ABALL-TESGX2 ชนิดเงินลงทุนเดิม 2568 เปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สับเปลี่ยนกองทุนเข้ามาตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.-30 มิ.ย.2568
จุดเด่นของกองทุน "ABALL-TESGX" ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) Dynamic Moves Across Market Cycles มีความยืดหยุ่นในการปรับพอร์ตปรับสัดส่วนลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งแตกต่างจากกองทุนทั่วไปที่มักเป็นกองทุนผสมแบบ 70/30 ที่เน้นลงทุนหุ้น 70% และตราสารหนี้ 30% โดยอเบอร์ดีนมองว่านักลงทุนที่สับเปลี่ยนกองทุน LTF มาเป็นกองทุน Thai ESGX ส่วนใหญ่ยังขาดทุนจึงไม่อยากสูญเสียเงินต้นแล้ว ประกอบกับการลงทุนที่มีเงื่อนไขถือครอง 5 ปีวันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน อาจทำให้นักลงทุนมีความกังวลการขาดทุนที่อาจไม่คุ้มกับภาษีที่ได้รับลดหย่อน อเบอร์ดีนจึงออกแบบกองทุนในรูปแบบดังกล่าวเพื่อตอบโจทย์นักลงทุน

"ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนมองตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วง Recession ตลาดขาลงซึ่งใกล้จุดต่ำสุดแล้ว จึงมีกรอบลงทุนในหุ้น 65-75% และตราสารหนี้ 25-35% โดยเลือกลงทุนหุ้นคุณค่า (Value) และหุ้นปันผลสูง ให้น้ำหนักหุ้นใหญ่มากกว่าหุ้นขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ตลาดหุ้นฟื้นตัว ผู้จัดการกองทุนก็สามารถลดน้ำหนักตราสารหนี้ลงเหลือประมาณ 15-25% และเพิ่มน้ำหนักหุ้นเป็น 75-85% โดยเน้นหุ้นเติบโต (Growth) หุ้นที่เกาะกระแสตลาดฟื้นตัว และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเล็ก ขณะที่สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ ในบางช่วงอาจเป็น Short Duration บางช่วงอาจเป็น Long Duration ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในช่วงเวลานั้น" นายโรเบิร์ต กล่าว
นอกจากนี้จุดเด่น 2) Robust Investment Process to Maximize Total Returns การวางกลยุทธ์และปรับพอร์ตเพื่อศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดอย่างแม่นยำเพื่อปรับ Allocation ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับวัฎจักรเศรษฐกิจและทิศทางตลาด มีการผสมผสานการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ที่เหมาะสมกับความเชี่ยวชาญในการเฟ้นหาสินทรัพย์รายตัว เพื่อสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่ง รวมทั้งเฟ้นหาสินทรัพย์รายตัวที่ตอบโจทย์ในแต่ละสภาวะตลาด เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในทุกช่วงเวลา
จุดเด่นที่ 3) ESG Intergration วิเคราะห์ปัจจัยด้าน ESG เชิงลึกในทุกขั้นตอนการลงทุนและลงทุนเฉพาะบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ ESG ของอเบอร์ดีน ซึ่งอเบอร์ดีนเป็นบลจ.ที่เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มี ESG ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปีและมีสถาบันด้านความยั่งยืนของตัวเอง ที่ดูแลด้าน ESG นอกจากนี้ยังมีทีมงาน ESG ในภูมิภาคเอเชียประจำอยู่ที่สิงคโปร์ที่คอยดูแลด้านการลงทุนเพื่อความยั่งยืนโดยเฉพาะ
ในส่วนของการวิเคราะห์ปัจจัยด้าน ESG ของฝั่งหุ้น ผู้จัดการกองทุนจะจัดอันดับบริษัทเป็น 5 กลุ่มก่อนพิจารณาเลือกลงทุน ประกอบด้วย 1.กลุ่ม Best in Class บริษัทที่มีการใช้ ESG เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์องค์กรและมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน 2.กลุ่ม Leader บริษัทที่มีการนำ ESG มาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร แต่ไม่ใช่ผู้นำตลาดและมีการเปิดเผยข้อมูลที่ดี 3.กลุ่ม Average บริษัทนำเอาปัจจัยความเสี่ยงด้าน ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจและเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ข้อกำหนด 4.กลุ่ม Below Average บริษัทอาจมีประเด็นข้อโต้แย้งบางประการเกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินและมีการกำกับดูแลประเด็น ESG ที่จำกัด และ 5.กลุ่ม Laggard บริษัทที่มีประเด็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินหลายประการและมีข้อกังวลหลายประเด็นเกี่ยวกับธรรมาภิบาลของบริษัท ซึ่งอเบอร์ดีนจะลงทุนเฉพาะบริษัทที่ผ่านเกณฑ์การประเมินด้าน ESG
ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยด้าน ESG ฝั่งตราสารหนี้ ผู้จัดการกองทุนประเมินและให้คะแนนความเสี่ยงด้าน ESG ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุน โดยแบ่ง rating เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ความเสี่ยงตํ่า ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ อเบอร์ดีนยังช่วยส่งเสริมและแนะนำให้บริษัทและผู้ออกตราสารที่เราจะเข้าไปลงทุนมีการพัฒนาด้าน ESG ที่ดีขึ้นอีกด้วย
นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยว่า "เรามองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นไทย 2 ปีผ่านมา ได้สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยไปมากแล้ว ปัจจุบัน SET Index ณ ระดับ 1150 คิดเป็น forward P/E ประมาณ 12X ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับในอดีต การลงทุนกอง Thai ESGX ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้ จึงน่าเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนจะได้ทั้งประหยัดภาษีและยังได้โอกาสในสร้างผลตอบแทนที่ดีในอีก 5 ปีข้างหน้า และถ้าเราพิจารณาส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของ SET Index กับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี หรือ Earnings yield gap ในปัจจุบัน อยู่ที่ระดับสูงกว่า 6% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงโควิด ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ สุดท้ายเรามองว่า โอกาสที่นักลงทุนจะขาดทุนอย่างหนักจากจุดนี้ไป มีค่อนข้างน้อย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาลง ไม่เหมือนช่วงก่อนเกิด crisis ในอดีตที่ตลาดเป็นขาขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนปันผล หรือ Dividend yield ในปัจจุบันที่ค่อนสูง ยิ่งน่าจะช่วยพยุงตลาดขาลงได้ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นแบบไหน หากเรามีกลยุทธ์ กระบวนการ การวางแผน และทีมงานที่มีความชำนาญ เราจะสามารถมองหาโอกาสในการลงทุนและโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในแต่ละสภาวะตลาดได้”
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนนี้ พิเศษ! รับ หน่วยลงทุน ABCC 100 บาท เมื่อลงทุนทุก ๆ 50,000 บาท ใน ABALL-TESGX1 และ ABALL-TESGX2 ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
CPF ผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน รวมใจจิตอาสาทั่วประเทศ เติมเต็มคลังเลือด เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
“โครงการทำความดีบริจาคโลหิต“ คือกิจกรรมที่บริษัทฯ ดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนหนึ่งในค่านิยมสำคัญของเครือเจริญโภคภัณฑ์และซีพีเอฟ ในการ “ตอบแทนคุณแผ่นดิน”

โดยร่วมมือกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนผู้บริหาร พนักงานจากสถานประกอบการทั่วประเทศ ตลอดจนประชาชนทั่วไป มาร่วม “ทำความดีด้วยการบริจาคโลหิต” เป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยทั่วประเทศ และตอกย้ำคุณค่าของการเป็น “ผู้ให้” ที่แท้จริง

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่าง CPF และภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เหล่ากาชาด ทหาร ตำรวจ โรงเรียน และชุมชน ร่วมกันสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน พร้อมปลูกจิตสำนึกถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิต เพื่อส่งต่อชีวิตและความหวังให้แก่เพื่อนมนุษย์
ฟังเรื่องจริงที่อบอุ่นหัวใจได้ที่ >> https://youtube.com/shorts/MlbORapwhAo
บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ได้รับเกียรติจาก คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง(คนที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วย คุณลวรรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง (คนที่ 3 จากซ้าย) คุณสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานการจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo (คนที่ 2 จากซ้าย) และคุณภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ (คนซ้าย) ประธานจัดงานร่วมงานมหกรรมการเงิน Money Expo ร่วมเปิดบูธในงานมหกรรมการเงิน กรุงเทพ ครั้งที่ 25 โดยมี คุณณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่ 3 จากขวา) คุณบุปผาวดี โอวรารินท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและภาพลักษณ์องค์กรและการสื่อสารองค์กร (คนที่ 2 จากขวา) คุณชัยณรงค์ เอื้อสิทธิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายจัดจำหน่าย (คนขวา) ให้การต้อนรับ และร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ทั้งด้านสุขภาพ ความคุ้มครอง การลงทุน พร้อมสิทธิพิเศษจากแคมเปญต่างๆ มากมาย และบริการตรวจสุขภาพฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ฯลฯ โดยมุ่งเน้นการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และพร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungthai-axa.co.th/ หรือ โทร 1159 และทางอีเมล This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
นายภูวดล ทรงวุฒิชโลธร (แถวบน ที่ 9 จากซ้าย) Assistant Managing Director - Project Management บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และนายโภไคย ศรีรัตโนภาส (แถวบน ที่ 6 จากขวา) ผู้ช่วยอธิการบดี ด้านบริหารงานบุคคล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเป็นประธานมอบรางวัลโครงการ CU NEX Hackathon ภายใต้หัวข้อ “Boost up Chula, Sustainable Lifestyle – พลังจุฬาฯ สู่ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน” เพื่อเฟ้นหาไอเดียสร้างสรรค์ที่ช่วยต่อยอดการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน เปิดโอกาสให้นิสิตได้ลงมือทำจริงในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ บนแอป CU NEX ผ่านฟีเจอร์ L.L.E. (Life-long Experimental) หรือ Open API โดยมีทีมที่ชนะการแข่งขัน ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ ทีม StephanNex กับไอเดียสุดล้ำ ฟีเจอร์ “C-Canteen” ที่ใช้ AI ตรวจจับความหนาแน่นของโรงอาหาร บอกที่นั่งว่าง และฟังก์ชันสั่งอาหารล่วงหน้า ได้รับรางวัลมูลค่า 60,000บาท และโอกาสในการฝึกฝนทักษะเพื่อพัฒนาศักยภาพร่วมกับทาง KBTG เป็นระยะเวลา 3 เดือน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ ทีม REMTO พัฒนาฟีเจอร์ CU Connex เชื่อมต่อศิษย์เก่าและนิสิตปัจจุบันของจุฬาฯ สำหรับการค้นหาเมนเทอร์ ได้รับรางวัลมูลค่า 40,000 บาท และรางวัลจากการชนะ popular vote 5,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ ทีม CU FW พัฒนาแพลตฟอร์มการจ้างงานสำหรับชาวจุฬาฯ และรวบรวมเป็น Portfolio รูปแบบดิจิทัลบน CU NEX ได้รับรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
ทั้งนี้ โครงการ CU NEX เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทยและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสร้าง Digital Lifestyle University ในการใช้ชีวิตของนิสิตในรั้วมหาวิทยาลัย ผ่านแอป CU NEX โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจาก KBTG มาช่วยให้ความรู้และคำแนะนำทั้งการทำ Workshop และเป็นพี่เลี้ยงที่คอยให้คำปรึกษา โดยมีการจัดกิจกรรมและเปิดโอกาสให้นิสิตมาร่วมคิดไอเดียดีๆ อย่างต่อเนื่อง
ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ยังซบเซา กำลังซื้อชะลอตัวและความเสี่ยงจากห่วงโซ่การค้าโลก ส่งผลให้ SME คาดหวังมาตรการสนับสนุนที่มีความเฉพาะเจาะจง ครอบคลุมทุกภาคธุรกิจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด และสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่เปราะบางทั้งในและต่างประเทศ
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ประจำเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 51.5 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.1 ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2568 สาเหตุสำคัญมาจากแรงกดดันจากภาวะกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว ประกอบกับโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท (ระยะที่ 2) ที่ยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้ในระยะสั้น นอกจากนี้ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญเริ่มมีแนวโน้มชะลอลง โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการภาคการค้าและภาคการบริการ ขณะที่ภาคการเกษตรมีความกังวลต่อทิศทางราคาผลผลิตในตลาดหลายรายการที่ปรับลดลงและในบางพื้นที่ยังได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น เหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาที่มีแรงสั่นสะเทือนถึงกรุงเทพมหานคร ยิ่งตอกย้ำความเปราะบางของภาคธุรกิจรายย่อยในระดับภูมิภาค ในทางกลับกันภาคการผลิตมีสัญญาณฟื้นตัว โดยเริ่มเร่งกำลังการผลิตตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม เพื่อเตรียมส่งมอบสินค้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นแรงบวกชั่วคราวแต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มของภาพรวมเศรษฐกิจได้ในวงกว้าง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบดัชนี พบว่า ด้านปริมาณการผลิต/การค้า/บริการ ทรงตัวที่ระดับ 56.0 เป็นระดับ 56.1 เนื่องจากเริ่มเข้าใกล้เทศกาลสงกรานต์ ธุรกิจส่วนใหญ่เร่งการผลิตก่อนถึงช่วงวันหยุดยาว นอกจากนี้องค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 40.7 เป็นระดับ 41.2 ขณะที่ด้านคำสั่งซื้อโดยรวมปรับลดลงจากระดับ 58.8 อยู่ที่ระดับ 57.1 ด้านการลงทุนโดยรวมปรับลดลงจากระดับ 50.6 อยู่ที่ระดับ 50.2 ด้านกำไรปรับจากระดับ 56.3 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.7 และด้านการจ้างงานปรับลดลงจากระดับ 50.5 อยู่ที่ระดับ 49.9 สะท้อนให้เห็นภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เศรษฐกิจจะคึกคักก็ตาม
สำหรับดัชนี SMESI รายภาคธุรกิจ ประจำเดือนมีนาคม 2568 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ภาคการผลิต มีระดับความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 47.9 เป็นระดับ 50.6 ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเร่งกำลังการผลิตเพื่อรองรับออเดอร์ระยะสั้นในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะการผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ ในขณะที่กลุ่มการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกและผลิตภัณฑ์จากยาง ขยายตัวจากการเร่งส่งออกของคู่ค้ารายใหญ่ เช่นเดียวกับกลุ่มการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่ภาคธุรกิจอื่น ๆ ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะภาคธุรกิจการเกษตร ปรับลดลงมากที่สุดจากระดับ 50.5 ลงมาอยู่ที่ระดับ 48.7 โดยระดับความเชื่อมั่นลดลงตามรายได้จากภาคธุรกิจการเกษตรที่ปรับตัวลดลง หลังสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิดยังอยู่ในทิศทางอ่อนตัวต่อเนื่อง รองลงมาคือภาคการบริการ ปรับตัวลดลงจากระดับ 53.4 ลงมาอยู่ที่ระดับ 52.0 ซึ่งระดับความเชื่อมั่นปรับลดลงต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีนและมาเลเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูง เช่น ภาคใต้และภาคตะวันออกเป็นสำคัญ ส่วนภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 52.0 ปรับลดลงจากระดับ 54.5 ของเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการแผ่วลงของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะที่ 2 ซึ่งยังกระตุ้นกำลังซื้อได้ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น
สำหรับดัชนี SMESI รายภูมิภาค ประจำเดือนมีนาคม 2568 พบว่า ภาคใต้ อยู่ที่ 50.9 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.3 และลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามกำลังซื้อที่ยังอ่อนตัวจากผู้บริโภคในพื้นที่ ขณะที่บรรยากาศการจับจ่ายช่วงเดือนรอมฎอนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าและบริการ นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียที่ลดลง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในภูมิภาค เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 50.7 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.5 ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในพื้นที่ปรับลดลง จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอตัว และแรงกดดันจากสถานการณ์แผ่นดินไหว ขณะที่ภาคการผลิตหลายสาขา เช่น เสื้อผ้า แป้งหอม ดินสอพอง และอาหารแปรรูป เริ่มเร่งกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเมษายน ภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 50.1 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.1 โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามแรงกดดันจากภาคบริการและการค้าเป็นหลัก แม้ภาคการผลิตยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ยอดขายในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมภายในประเทศยังชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มโรงงานที่พึ่งพาการส่งออกซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนและความไม่แน่นอนทางการค้า
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.2 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.5 ตามทิศทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ยังซบเซา โดยเฉพาะภาคบริการ ธุรกิจการเกษตร และการค้า ซึ่งยังไม่ตอบสนองต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน ขณะที่ภาคการผลิตบางกลุ่ม เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก ยังได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อในกลุ่มลูกค้า B2B ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 51.8 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.1 แม้เชียงใหม่ยังเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลี แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน รวมถึงสถานการณ์แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ และการแผ่วของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองรอง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวลง ภาคกลาง อยู่ที่ 51.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.6 ความเชื่อมั่นในภาคกลางอ่อนตัวลงตามกำลังซื้อที่ชะลอในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ภาคเกษตรเผชิญผลผลิตลดลงและราคาสินค้าเกษตรหลักตกต่ำต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตเริ่มปรับเพิ่มกำลังการผลิตบางส่วน เพื่อตอบสนองต่อคำสั่งซื้อช่วงเทศกาลเดือนถัดไป

สำหรับดัชนี SMESI คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ประจำเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 54.7 ซึ่งปรับลดลงจากระดับ 55.6 จากที่คาดการณ์ไว้ โดยมีสาเหตุจากความไม่ชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ระยะถัดไป ในด้านระยะเวลา วิธีการโอน และกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับสิทธิ์ ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่รอคอยอานิสงส์จากนโยบายรัฐโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อผู้ประกอบการ SME ภาคการผลิตที่มีตลาดส่งออกเป็นสำคัญ สะท้อนความเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ผู้ประกอบการยังไม่สามารถควบคุมได้
อย่างไรก็ดี จากเหตุแผ่นดินไหวในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายภาคส่วนโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มหดตัวแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ที่ปีนี้มีระยะวันหยุดยาวหลายวัน และในหลายพื้นที่มีจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้กำลังซื้อในประเทศที่หายไปอย่างชัดเจนในหลายภาคธุรกิจ ไม่มีการจ้างแรงงานใหม่เพิ่มเติม ดังนั้นสิ่งที่ SME ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐคือ การสร้างรายได้ให้กับผู้บริโภคผ่านการลงทุนให้เกิดการจ้างงาน การเร่งออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ตรงจุดในระยะสั้น การดูแลปัจจัยด้านต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงควรพิจารณามาตรการบรรเทาต้นทุนในกลุ่มวัตถุดิบอาหารและปัจจัยทางการเกษตร แม้ต้นทุนน้ำมันจะเริ่มทรงตัว รวมถึงผู้ประกอบการยังคงประสบปัญหาด้านสภาพคล่องจากภาระหนี้เดิม ขณะที่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ในระบบยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ จึงมีความต้องการให้มีมาตรการสนับสนุนทางการเงินที่ตรงจุดและตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจมากขึ้น ทั้งนี้ สสว. ยังคงมีมาตรการความช่วยเหลือและที่ปรึกษาเพื่อให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่านhttps://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร ซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301