February 23, 2025

บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ผู้จัดจําหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BYD และ DENZA อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ เปิดตัวกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและเรเว่ครั้งแรกของปี ภายใต้โครงการ BYD REVER Social Club - Defining Moment ที่นำผู้เข้าร่วมกิจกรรมไปยังจุดหมายสุดพิเศษ เพื่อสร้างช่วงเวลาอันน่าจดจำและความประทับใจของลูกค้ากับเรเว่และรถยนต์ BYD โดยจุดหมายของกิจกรรมเป็น ‘บอลลูนเฟียสต้า 2025’ เทศกาลบอลลูนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน จัดขึ้น ณ สิงห์ปาร์ค จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “เรเว่ให้ความสำคัญในการสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับลูกค้า เราจึงเปิดตัวโครงการ BYD REVER Social Club - Defining Moment เดิมที เราคาดการณ์ว่าอาจต้องใช้เวลา 2  - 3 วัน ในการเชิญชวนลูกค้าของเรามาร่วมกิจกรรมจนครบ แต่กลายเป็นว่าเราได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม เนื่องจากโควต้าสำหรับ 40 ครอบครัวผู้โชคดีนั้นถูกจองจนครบภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง หลังเปิดรับสมัครผ่าน Facebook Page: BYD REVER Thailand เราขอแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าของเรา ที่ให้การต้อนรับก้าวแรกของโครงการนี้อย่างอบอุ่น และขอให้คำมั่นว่าจะมีครั้งถัดไปตามมาอย่างแน่นอน”

นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า “จุดหมายของโครงการ BYD REVER Social Club - Defining Moment ในครั้งนี้คือเทศกาลบอลลูนนานาชาติซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเราได้จัดเตรียมสิทธิพิเศษเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการร่วมงานในโซน VIP เฉพาะของลูกค้าเรเว่และจุดจอดรถพิเศษ นอกจากนั้น ยังมีบัตรขึ้นบอลลูนและของที่ระลึกจากเรเว่ อีกทั้งยังมีอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิดรับรองลูกค้าตลอดงาน ซึ่งมีเพียงเรเว่เท่านั้นที่สร้างประสบการณ์อีกระดับให้กับลูกค้าของเราได้ เราจึงอยากเชิญชวนให้ทุกท่านมาเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวของเรา และเตรียมพร้อมออกเดินทางสู่จุดหมายถัดไป ไปด้วยกัน”

ในวันงาน ผู้โชคดีทั้ง 40 ครอบครัว จากโครงการ BYD REVER Social Club - Defining Moment เริ่มต้นกิจกรรมอันน่าจดจำ ด้วยการแวะรับบัตรเข้างานพร้อมของที่ระลึก ณ จุดนับพบซึ่งอยู่ในสิงห์ปาร์ค เชียงราย จากนั้น ทุกท่านได้เข้าร่วมกิจกรรม บริเวณ Exclusive Zone และเวทีหลัก ที่มีกิจกรรมให้ทุกคนเพลิดเพลินทั้งกิจกรรมระบายสีบอลลูนจำลอง และ Body Painting Workshop

ผู้เข้าร่วมงานยังสนุกไปกับการขึ้นบอลลูน และการแสดงหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงค่ำ ทั้งการแข่งขันบอลลูนสีสันสดใสมากกว่า 30 ลูกจาก 13 ประเทศ, การแสดงโขน, Balloon Magic Night Glow และคอนเสิร์ตโดยนักร้องชื่อดังมากมาย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชาและกาแฟ ยังมีมุม Chiangrai Brewtopia ให้ได้ลิ้มลองเครื่องดื่มกันด้วย เรเว่ยังได้จัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิดไว้รับรองลูกค้าตลอดงาน เพื่อให้ทุกท่านอิ่มท้องพร้อมสนุกไปกับทุกกิจกรรมในงาน ทั้งหมดนี้สงวนสิทธิ์เพื่อลูกค้าของเรเว่ผู้ใช้รถ BYD และ DENZA เท่านั้นนอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมงานยังได้สัมผัสรถยนต์กลุ่มพลังงานใหม่ 3 รุ่นล่าสุดจาก BYD ที่เรเว่นำมาจัดแสดงในงาน ประกอบด้วย BYD Sealion 6 DM-i รถยนต์ SUV 5 ที่นั่ง พร้อมนวัตกรรม PHEV, BYD Shark 6 DM-i รถกระบะมาดเข้ม ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง PHEV และ Denza Z9 GT DM-i ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วย PHEV พร้อมสร้างนิยามใหม่ของรถยนต์ Wagon สุดหรู โดยในพื้นที่จัดแสดง ยังมีเจ้าหน้าที่พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรเว่ ด้วยการเป็นเจ้าของ BYD และ DENZA โดยท่านสามารถสัมผัสรถยนต์รุ่นที่ชื่นชอบได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการ BYD ซึ่งพร้อมให้บริการทั้ง 142 สาขาทั่วประเทศ และไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวรวมถึงข้อมูลกิจกรรมดีๆ ครั้งถัดไปที่ Official Facebook Page: BYD REVER Thailand

เมกะเทรนสำคัญของโลกที่กำลังเกิดขึ้นและจะดำเนินไปอีกเป็นสิบปีนับจากนี้ คือการสลายตัวของระบบโลกาภิวัฒน์ และนำโรงงานและฐานการผลิตกลับสู่บ้านตัวเองของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังจะมีการกีดกันการค้าและปกป้องเทคโนโลยีของตนให้เข้มข้นขึ้น


หลายคนเรียกเทรนสำคัญนี้ว่า “Re-calibrations” ไทยเราจะรับมือกับโลกที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปนี้อย่างไร?

โลกเราในรอบ 40 กว่าปีมานี้ เสียเงินเสียทองและทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนไปกับการสถาปนาระบบ Globalization หรือที่เราแปลไทยว่า “โลกาภิวัฒน์” ขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบเศรษฐกิจ การค้า การผลิต และการเงินของทั้งโลก ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกา


นับแต่จีนเปิดประเทศและแบ่งเขตภาคตะวันออกให้เป็นฐานการตั้งโรงงานผลิตของโลกตะวันตก โดยป้อนแรงงานราคาถูกที่มีอยู่เป็นจำนวนมหาศาลให้กับโรงงานเหล่านี้ กิจการธุรกิจของประเทศตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ก็ย้ายฐานไปผลิตในจีน ยุบเลิกโรงงานในประเทศ แล้วนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกจากจีนแทน โดยในประเทศก็ได้จัดตั้งห้างยักษ์ใหญ่ที่ขายสินค้าราคาถูก และมีเครือข่ายทั่วประเทศ เช่น Walmart และอีกหลายแห่ง ขึ้นบริการผู้บริโภคของตัว


ฝ่ายจีนนั้นเล่า เมื่อรับเงินดอลล่าร์เข้ามาเป็นรายได้จากการส่งออก ก็ได้นำกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน ถือไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศภายใต้โลกาภิวัฒน์และเปิดเสรีทางการเงิน จนจีนได้กลายเป็นเจ้าหนี้รายสำคัญของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้


มิเพียงจีนเท่านั้น ที่เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ Eastern Seaboard เพื่อรับเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งไทยเองก็ได้ดำเนินนโยบายแบบนี้เช่นกัน ส่งผลให้ไทยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Globalization แบบเต็มตัว และเต็มที่หลังจากเปิดเสรีทางการค้าและการเงินด้วยอีกช่องทางหนึ่ง


Globalization มาถึงจุดสูงสุดหลังจากโซเวียตล่มสลาย ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นเจ้าโลกแต่ผู้เดียว และเป็นช่วงที่ American Empire ขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกด้วย


ระบบแบบนี้พอทำไปนานเข้า ส่งผลให้โรงงานในสหรัฐฯ ยุโรปและญุ่ปุ่น ต้องปิดตัวลง ชนชั้นกลางลำบาก อีกทั้งกิจการที่เข้าสู่ระบบนี้ แม้โรงงานในบ้านจะปิดตัวลง แต่ก็สามารถทำกำไรได้มากเพราะต้นทุนการผลิตต่ำลง ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนก่อให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น และส่งผลต่อการเมืองในประเทศ เป็นรากฐานให้นักการเมืองฝ่ายขวาขึ้นมามีอำนาจ อีกทั้งยังต้องสูญเสียความลับทางการผลิตหรือเทคโนโลยีให้กับจีน จนจีนผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง และจีนเองก็เริ่มไหวตัว นำเงินสำรองออกมาใช้ขยายแสนยานุภาพและขยายอิทธิพลไปทั่วโลก อย่างที่เห็นกันอยู่


อีกทั้งค่าแรงในจีนที่สูงขึ้นมากๆ เมื่อเทียบกับอดีต และปัญหาละเมิดสิทธิบัตรและขโมยความลับทางการผลิตต่างๆ ตลอดจนคุณภาพการผลิตของโรงงานจีน ที่หลายครั้งต้องนำมาแก้ไขก่อนส่งมอบให้ลูกค้า ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากจีน


สถานการณ์โควิดทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้นเมื่อจีนปิดประเทศและล็อกดาวน์เข้มงวดทำให้ Supply Chain ของโลกปั่นป่วน เพราะขาดวัตถุดิบพื้นฐานแทบทุกด้าน เคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้กระทั่งยาสำคัญหลายชนิด เช่น Antibiotic ก็ยังขาดแคลน เป็นต้น อีกทั้งปัจจุบันค่าแรงในจีนก็สูงขึ้นมากๆ เมื่อเทียบกับอดีต และรัฐบาลจีนเองก็ประกาศชัดเจนว่าจะเข้าควบคุมไต้หวันให้เป็นส่วนหนึ่งให้ได้ โดยที่ไต้หวันเป็นฐานการผลิตใหญ่ของ Micro-processor Chips ชั้นสูง ที่เป็นสมองของระบบเศรษฐกิจแบบดิจิตัล


เหล่านี้ทำให้กิจการของตะวันตกต้องหันมาลดความเสี่ยงของตนลง โดยเริ่มย้ายฐานการผลิตที่มีความสำคัญกลับบ้านหรือย้ายไปที่อื่นแทน เพื่อกระจายความเสี่ยง Systematic Risk นั่นเอง


ที่เห็นชัดเจนคือวงการชิปและกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งได้ทยอยกลับไปสหรัฐฯ กันมาก ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel, Samsung, Micron, และ TSMC ต่างประกาศโครงการลงทุนมหาศาลของตัวไปแล้ว อีกทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกแพ็กเกจใหญ่ภายใต้กฎหมาย CHIPS เพื่อจูงใจให้กิจการย้ายฐานกลับบ้าน เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง 3-D Printing ที่ก้าวหน้าขึ้นมาก ก็มีส่วนสำคัญ ให้โรงงานรุ่นใหม่ผลิตด้วยต้นทุนต่ำ และตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมาอยู่ใกล้ตลาดในบ้านได้ง่ายขึ้น หรือเทคโนโลยีทางด้านหุ่นยนต์และ AI ก็ช่วยลดปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงานไปได้ เพราะแม้สังคมตะวันตกจะเข้าสู่สังคมสูงอายุกันมาก ก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการผลิต

 

เทรนแห่งการลดความเสี่ยง โดยกระจายฐานการผลิตออกจากจีนเพิ่งเริ่มต้น และกำลังจะโหมกระหน่ำแรงขึ้นๆ เมื่อความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เปิดเผยรุนแรงขึ้น


การโดดเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ของซาอุดิอาราเบีย อิหร่าน UAE อาร์เจนตินา อียิปต์ และเอธิโอเปีย ยิ่งจะทำให้กลุ่ม BRICS ซึ่งมีจีนและรัสเซียเป็นโต้โผ เข้มแข็งขึ้น และอีกไม่นาน กลุ่มนี้อาจหันไปใช้เงินสกุลอื่นมาซื้อขายน้ำมันและพลังงานแทนดอลล่าร์ ส่งผลให้ Petrodollar ลดความสำคัญลง


หากไทยเราสามารถดำเนินการเชิงรุกในช่วงนี้ นำเสนอบริการแพ็กเกจจูงใจที่น่าสนใจ เพื่อช่วงชิงกิจการสมัยใหม่ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจแบบใหม่ของโลก และคาดว่าจะเติบโตในอนาคต ให้เข้ามาลงทุน และแบ่งปันความรู้ทางการผลิตให้เรา ย่อมเป็นเรื่องเร่งด่วน

 โดย ทักษ์ศิล  ฉัตรแก้ว / Editor in Chief _MBA magazine

29/09/2566

 

X

Right Click

No right click