December 22, 2024
×

Warning

JUser: :_load: Unable to load user with ID: 802

ECO-FANTASY

August 04, 2017

สมัยเด็กๆ เคยดูละคร “จักรๆ วงศ์ๆ” รู้สึกเวียนหัวทุกที กับฉากที่ตัวละครเสกคาถา “เรียกลมเรียกฝน” เพราะผู้สร้างมักใช้วิธีแพนกล้องไปมา ซ้ายขวาขึ้นลง ซูมเข้าซูมออก เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล หรือไม่ก็เขย่าภาพให้สั่นๆ ถี่ๆ จนเด็กเวียนหัว ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะมีคนทำแบบนั้นได้จริงๆ !

ใช่ “เรียกลมเรียกฝน” นั่นแหละ

แต่พวกเขามิได้เรียกด้วย “คาถา” ทว่า เรียกด้วย “เทคโนโลยี”

ฟังๆ ดูแล้ว ก็ “ไสยศาสตร์” พอกัน...ใช่ ไม่ใช่

 

Eco-weapon

ผู้อ่าน MBA บางท่านคงรู้จัก HAARP กันมาบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่คงฟังแล้วงงๆ ว่า ฝรั่งมาเกี่ยวอะไรกับกระบวนการ “เรียกลมเรียกฝน” ด้วยเล่า

อันที่จริง HAARP ย่อมาจาก High Frequency Active Auroral Research Program เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Star Wars ของประธานาธิบดีเรแกน ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2535 ในมลรัฐอลาสก้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กองทัพสหรัฐฯ ทำการสัประยุทธ์กลางห้วงหาว กับสหภาพโซเวียต เป็นสำคัญ

รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีอยู่แล้วมากมายในอินเทอร์เน็ต แม้แต่เป็นภาษาไทยก็เคยมีคนโพสต์ให้อ่านกันคร่าวๆ อยู่บ้างแล้ว (ลองดู http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=104390)

จากเอกสารอ้างอิงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ (U.S. Air Force) ระบุว่า โครงการนี้จะใช้วิธี “ปลุกปั่น” “ปรับแต่ง” “ยักย้าย” “ถ่ายเท” “ออกแบบ” หรือ “สถาปนาใหม่” ชั้นบรรยากาศของโลก (Ionospheric modifications) โดยจงใจปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วยน้ำมือมนุษย์ เพื่อหาทางทำลายคลื่นวิทยุตลอดจนสัญญาณเรด้าร์ของเหล่าปัจจามิตรทั้งมวล

ทั้งบล็อกการสื่อสารที่มาจากเครือข่ายดาวเทียมของศัตรู รบกวนระบบนำวิถีของหัวจรวดในชั้นบรรยากาศ และหาทางทำลายระบบสื่อสารระหว่างสถานีอวกาศและภาคพื้นของฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ

ที่สำคัญ เทคนิคที่ใช้ในการนี้ มันสามารถทำให้ไฟดับทั้งเมืองได้ หรือรบกวนกระแสไฟฟ้าในพื้นที่เป้าหมายได้ หรือรบกวนท่อส่งน้ำมันและก๊าซ หรือแม้กระทั่งส่งกระแสความร้อนสูงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศเกิดช่องโหว่ และสารกัมมันตภาพรังสีที่อันตรายบางอย่าง เล็ดลอดผ่านชั้นบรรยากาศและท้องฟ้าลงมาสู่พื้นโลกได้

กล่าวโดยสรุปก็คือ โครงการนี้เป็น “อาวุธ” อย่างหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ นั่นเอง

เป็นอาวุธแบบใหม่ ที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธไฮเทคที่จะเอาไว้รบหรือป้องกัน Cyberspace แต่เป็นอาวุธนิเวศน์ หรือ Eco-Weapon ที่อาศัยเทคนิคการปรับเปลี่ยนระบบนิเวศน์ หรือสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติของโลก ทั้ง “ดิน น้ำ ลม ไฟ”ให้วิปริตผิดเพี้ยนไป เพื่อจงใจสร้างภัยพิบัติและผลอันไม่พึงปราถนาต่อศัตรู

ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดอย่าง Michel Chossudovsky นักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนาดา ได้ให้ความเห็นว่าโครงการนี้เป็นอัตรายต่อโลกและมนุษย์ เป็นภัยคุกคามทั้งในเชิงภัยพิบัติและในเชิงสุขภาพ โดยเขาเรียกร้องให้บรรจุประเด็นนี้เข้าอยู่ในความสนใจของสหประชาชาติ และการประชุมสุดยอด Climate Summit ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล 

เขาต้องการให้สมาชิกสหประชาชาติกดดันสหรัฐฯ ให้เปิดเผยรายละเอียดของโครงการฯ และส่งผู้แทนเข้าไปตรวจสอบ

นอกจากเขาแล้ว ก็ยังมีคณะกรรมการระดับสูงของสหภาพยุโรปและรัฐบาลรัสเซีย ที่แสดงความจำนงแบบเดียวกัน

ทว่า ทั้งการประชุม Kyoto Protocol และ Copenhagen Climate Change Summit ที่เพิ่งผ่านไป หาได้มีเรื่องทำนองนี้บรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวาระการประชุมไม่

 

Green Weapons 

เรื่องราวข้างต้น ทำให้เราต้อง “ยั้งใจ” ไว้บ้าง ถ้าคิดจะเชื่อจน “หมดใจ” ว่า ปัญหาโลกร้อนและความวิปริตผันแปรของภูมิอากาศทั้งปวงอันเนื่องมาแต่สภาวะเรือนกระจกนั้น เป็นเรื่องจริงตามที่ฝรั่งโฆษณาชวนเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์

ทั้งเรื่องความเข้มข้นของคาร์บอนในอากาศ (Carbon Concentration) การจับไนโตรเจนของพืช (Nitrogen Fixation) การสูญวงศ์วานของนกและปลาในทะเล (Bird and Fish Extinction) การบุกรุกของพืชต่างถิ่น (Plant Invasion) การกลายเป็นทะเลทรายของบางพื้นที่ในโลก (Desertization) ตลอดจนนโยบายพลังงานทางเลือก และอัตราการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ที่พวกเขาพยายามกำหนดให้โลกปฏิบัติตาม

เพราะ การ Manipulate ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ นั้น ย่อมส่งผลข้างเคียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เราต้องไม่ลืมว่า ผลประโยชน์ของเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ Global Warming นั้น ประมาณค่ามิได้

เพียงแค่ผู้ผลิตในเอเชียเปลี่ยนมาใช้ Sustainable Technology หรือ Clean Tech เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ชาติตะวันตก ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเหล่านั้น ได้ประโยชน์มหาศาล

เพื่อนฝูงในแวดวงการเงินเล่าให้ผมฟังว่า ที่แคลิฟอร์เนียเดี๋ยวนี้มีการทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการประเภทนี้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

บรรดา Venture Capitalist ที่เคยลงเงินให้กับกิจการไฮเทคแล้วประสบความสำเร็จอย่าง Yahoo, Google, Amazon.com, eBay, Facebook, Twitter ฯลฯ กำลังง่วนกับการ “บ่มเพาะ” เถ้าแก่รุ่นใหม่ที่สร้างกิจการแปลกๆ เช่น Zero-emission Home, Intelligent Solar Panel, eSolar, Energy-efficient Window, Algae-to-fuel Experiment, Advanced Biofuels, Smart Grid, Green Materials, Carbon-capture-cement, Sugar Diesel, Soladigm, หรือบริการการท่องเที่ยวในแบบที่พวกเขาเรียกว่า Carbon Footprint-Free Travel เป็นต้น 

พวกเขากำลังทุ่มเงิน ทุ่มความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านไฮเทคและไบโอเทคที่พวกเขาชำนาญกว่าใครๆ ในโลกนี้ เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Clean Tech ที่พวกเขาจะใช้สร้างความมั่งคั่งให้กับอเมริกาในรอบใหม่นี้

อีกไม่นาน เราคงจะได้เห็นเศรษฐีหน้าใหม่ๆ ที่เกิดจากการนำหุ้นของกิจการเหล่านั้นเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ด้วย P/E และ Growth Rate สูงลิ่ว แบบที่เคยเกิดมาแล้วกับพวกไฮเทคในอดีต

ที่สำคัญ ผมว่าพวกเขาคงคิดไกลไปกว่านั้น

พวกเขาย่อมต้องการใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีที่ผูกขาดเอาไว้ในมือแต่ผู้เดียวนี้ ผนวกกับอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ แผ่อิทธิพลเหนืออุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Clean Tech ของโลกในอนาคตอีกด้วย

แบบที่พวกเขาเคยทำมาแล้วกับ Digital Technology กับอุตสาหกรรมไฮเทคและอินเทอร์เน็ต หรือฮอลลิวู้ดกับอุตสาหกรรมบันเทิง

เมื่อเขาสร้างมาตรฐานได้แล้ว สถานะของพวกเขาจะอยู่บน “ต้นทางของห่วงโซ่อาหาร” ในทันที
และเมื่อนั้น เขาก็จะเป็นผู้กุมทิศทาง (และกอบโกยผลประโยชน์มากกว่าใครเพื่อนจาก) กระบวนทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับโลก ซึ่งจะมีค่ามหาศาลในอนาคต

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูสิครับ ว่ากระบวนทัศน์การผลิตแบบใหม่นี้ จะก่อให้เกิดอุตสาหกรรม ตลอดจนสินค้าและบริการ “ต่อหาง” ไปอีกหลายขบวน

บางคนว่ามันอาจเปรียบได้กับ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่ของโลก” เลยทีเดียว
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ยุโรป ที่ว่าแน่ๆ ก็คงต้องวิ่งไล่กวดสหรัฐฯ กันอีกรอบ

..........................................................


โดย ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว

ติดตามอ่านผลงานของ ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว ได้ที่ Blog “Editor’s Observation”: www.mba-magazine.blogspot.com

X

Right Click

No right click