ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเวลาเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ผลการสำรวจ Eco Deals ของอโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว พบว่า 84% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยใส่ใจกับการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน จำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่มีให้เลือกมากขึ้น และแนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจนมากขึ้น สามารถช่วยกระตุ้นให้พวกเขาตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยวครั้งต่อไปได้
การสำรวจครั้งนี้มีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามบนแพลตฟอร์มของอโกด้า ทั้งหมดกว่า 10,000 คน จาก 10 ประเทศ ทั่วทวีปเอเชีย โดยนักท่องเที่ยวเกือบ 8 ใน 10 คน ระบุว่าเต็มใจที่จะเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อไปท่องเที่ยว โดย 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าทุกครั้งพวกเขาจะพยายามท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้นอยู่เสมอ ในทางกลับกัน 22% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าแทบไม่ได้คำนึงถึงความยั่งยืนเวลาวางแผนท่องเที่ยวเลย โดยในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นถึง 45% และเป็นนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์เพียง 8%
สิ่งจูงใจทางการเงินอาจมาเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การสำรวจ Eco Deals 2024 ของอโกด้า มีคำถามเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยกระตุ้นให้ผู้ตอบแบบสอบถามตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งนักท่องเที่ยวทุกประเทศระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงิน เช่น ส่วนลด คือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 เฉลี่ยแล้วคิดเป็น 45% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด โดยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ (58%) ไต้หวัน (54%) และอินโดนีเซีย (47%) เป็น 3 ชาติแรก ที่ระบุว่าสิ่งจูงใจทางการเงินคือปัจจัยสำคัญอันดับ 1 มากที่สุด ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยมี 43% ที่ระบุเช่นเดียวกัน
ปัจจัยสำคัญอันดับ 2 คือจำนวนแพ็คเกจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่มีให้เลือกมากขึ้น เช่น แพ็คเกจที่เตรียมทริป หรือกิจกรรมไว้ให้แล้ว อย่างการเดินป่าเชิงอนุรักษ์แบบมีผู้นำทาง และการส่งเสริมโครงการริเริ่มในท้องถิ่น ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ 28% เวียดนาม 24% และไทย 23% ส่วนปัจจัยสำคัญอันดับต่อมานั้น คือ แนวทางวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ชัดเจน (#3) การให้ความรู้ และส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (#4) และนโยบายเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เกี่ยวข้องรัฐบาลในประเทศ (#5)
คุณเอนริก คาซาลส์, Associate Vice President Southeast Asia, อโกด้า กล่าวว่า “เราเห็นได้ชัดจากผลการสำรวจว่านักท่องเที่ยวต้องการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โปรแกรม Eco Deals ของอโกด้ามีข้อเสนอสุดคุ้มมากมายให้นักท่องเที่ยวที่เลือกจองที่พักที่เข้าร่วมโปรแกรม และสำหรับทุกรายการจองของทุกที่พัก Eco Deals อโกด้าก็จะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการอนุรักษ์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ใน 8 ประเทศ ในทวีปเอเชีย โดยเราตั้งใจที่จะบริจาคเงินให้ได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อโกด้ามุ่งมั่นช่วยให้ทุกคนออกไปท่องโลกทั้งใบได้ในราคาถูกลง และโปรแกรม Eco Deals ของเราช่วยให้นักท่องเที่ยว ‘ตอบแทน’ เมืองและสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปได้พร้อมกัน”
เมื่อถามเรื่องวิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอะไรที่ให้ความสำคัญมากที่สุดเวลาท่องเที่ยว ซึ่ง 36% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยระบุว่าให้ความสำคัญกับการส่งเสริมชุมชน และโครงการอนุรักษ์ในท้องถิ่นมากที่สุด ส่วนทั่วทั้งทวีปเอเชีย ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 1 ใน 4 (26%) เลือกส่งเสริมชุมชนในท้องถิ่นด้วยการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในท้องถิ่น หรือมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มของชุมชน
วิธีปฏิบัติสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เวลาท่องเที่ยว คือการรีไซเคิลและการลดของเสีย (20%) เช่น การใช้ผ้าเช็ดตัว และผ้าปูที่นอนซ้ำ อันดับ 3 คือการเข้าร่วมกิจกรรม และทัวร์เกี่ยวกับการอนุรักษ์ (17%) ส่วนอันดับ 4 และ 5 คือการเลือกจองที่มีการรับรองศักยภาพด้านความยั่งยืน และการเลือกตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเวลาเดินทาง ตามลำดับ
นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันสัตว์ป่าโลก นักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทุกคนสามารถจองที่พัก Eco Deals บนอโกด้าได้ สำหรับทุกรายการจองของทุกที่พัก Eco Deals อโกด้าจะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการอนุรักษ์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ที่มุ่งมั่นปกป้องสัตว์ป่า และอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่จองจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 15% อีกด้วย ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.agoda.com/ecodeals
สมัยเด็กๆ เคยดูละคร “จักรๆ วงศ์ๆ” รู้สึกเวียนหัวทุกที กับฉากที่ตัวละครเสกคาถา “เรียกลมเรียกฝน” เพราะผู้สร้างมักใช้วิธีแพนกล้องไปมา ซ้ายขวาขึ้นลง ซูมเข้าซูมออก เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล หรือไม่ก็เขย่าภาพให้สั่นๆ ถี่ๆ จนเด็กเวียนหัว ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะมีคนทำแบบนั้นได้จริงๆ !
ใช่ “เรียกลมเรียกฝน” นั่นแหละ
แต่พวกเขามิได้เรียกด้วย “คาถา” ทว่า เรียกด้วย “เทคโนโลยี”
ฟังๆ ดูแล้ว ก็ “ไสยศาสตร์” พอกัน...ใช่ ไม่ใช่
Eco-weapon
ผู้อ่าน MBA บางท่านคงรู้จัก HAARP กันมาบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่คงฟังแล้วงงๆ ว่า ฝรั่งมาเกี่ยวอะไรกับกระบวนการ “เรียกลมเรียกฝน” ด้วยเล่า
อันที่จริง HAARP ย่อมาจาก High Frequency Active Auroral Research Program เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Star Wars ของประธานาธิบดีเรแกน ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2535 ในมลรัฐอลาสก้า โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กองทัพสหรัฐฯ ทำการสัประยุทธ์กลางห้วงหาว กับสหภาพโซเวียต เป็นสำคัญ
รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีอยู่แล้วมากมายในอินเทอร์เน็ต แม้แต่เป็นภาษาไทยก็เคยมีคนโพสต์ให้อ่านกันคร่าวๆ อยู่บ้างแล้ว (ลองดู http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=104390)
จากเอกสารอ้างอิงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ (U.S. Air Force) ระบุว่า โครงการนี้จะใช้วิธี “ปลุกปั่น” “ปรับแต่ง” “ยักย้าย” “ถ่ายเท” “ออกแบบ” หรือ “สถาปนาใหม่” ชั้นบรรยากาศของโลก (Ionospheric modifications) โดยจงใจปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศด้วยน้ำมือมนุษย์ เพื่อหาทางทำลายคลื่นวิทยุตลอดจนสัญญาณเรด้าร์ของเหล่าปัจจามิตรทั้งมวล
ทั้งบล็อกการสื่อสารที่มาจากเครือข่ายดาวเทียมของศัตรู รบกวนระบบนำวิถีของหัวจรวดในชั้นบรรยากาศ และหาทางทำลายระบบสื่อสารระหว่างสถานีอวกาศและภาคพื้นของฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ
ที่สำคัญ เทคนิคที่ใช้ในการนี้ มันสามารถทำให้ไฟดับทั้งเมืองได้ หรือรบกวนกระแสไฟฟ้าในพื้นที่เป้าหมายได้ หรือรบกวนท่อส่งน้ำมันและก๊าซ หรือแม้กระทั่งส่งกระแสความร้อนสูงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่งผลให้ชั้นบรรยากาศเกิดช่องโหว่ และสารกัมมันตภาพรังสีที่อันตรายบางอย่าง เล็ดลอดผ่านชั้นบรรยากาศและท้องฟ้าลงมาสู่พื้นโลกได้
กล่าวโดยสรุปก็คือ โครงการนี้เป็น “อาวุธ” อย่างหนึ่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ นั่นเอง
เป็นอาวุธแบบใหม่ ที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธไฮเทคที่จะเอาไว้รบหรือป้องกัน Cyberspace แต่เป็นอาวุธนิเวศน์ หรือ Eco-Weapon ที่อาศัยเทคนิคการปรับเปลี่ยนระบบนิเวศน์ หรือสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติของโลก ทั้ง “ดิน น้ำ ลม ไฟ”ให้วิปริตผิดเพี้ยนไป เพื่อจงใจสร้างภัยพิบัติและผลอันไม่พึงปราถนาต่อศัตรู
ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดอย่าง Michel Chossudovsky นักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนาดา ได้ให้ความเห็นว่าโครงการนี้เป็นอัตรายต่อโลกและมนุษย์ เป็นภัยคุกคามทั้งในเชิงภัยพิบัติและในเชิงสุขภาพ โดยเขาเรียกร้องให้บรรจุประเด็นนี้เข้าอยู่ในความสนใจของสหประชาชาติ และการประชุมสุดยอด Climate Summit ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล
เขาต้องการให้สมาชิกสหประชาชาติกดดันสหรัฐฯ ให้เปิดเผยรายละเอียดของโครงการฯ และส่งผู้แทนเข้าไปตรวจสอบ
นอกจากเขาแล้ว ก็ยังมีคณะกรรมการระดับสูงของสหภาพยุโรปและรัฐบาลรัสเซีย ที่แสดงความจำนงแบบเดียวกัน
ทว่า ทั้งการประชุม Kyoto Protocol และ Copenhagen Climate Change Summit ที่เพิ่งผ่านไป หาได้มีเรื่องทำนองนี้บรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวาระการประชุมไม่
Green Weapons
เรื่องราวข้างต้น ทำให้เราต้อง “ยั้งใจ” ไว้บ้าง ถ้าคิดจะเชื่อจน “หมดใจ” ว่า ปัญหาโลกร้อนและความวิปริตผันแปรของภูมิอากาศทั้งปวงอันเนื่องมาแต่สภาวะเรือนกระจกนั้น เป็นเรื่องจริงตามที่ฝรั่งโฆษณาชวนเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์
ทั้งเรื่องความเข้มข้นของคาร์บอนในอากาศ (Carbon Concentration) การจับไนโตรเจนของพืช (Nitrogen Fixation) การสูญวงศ์วานของนกและปลาในทะเล (Bird and Fish Extinction) การบุกรุกของพืชต่างถิ่น (Plant Invasion) การกลายเป็นทะเลทรายของบางพื้นที่ในโลก (Desertization) ตลอดจนนโยบายพลังงานทางเลือก และอัตราการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ที่พวกเขาพยายามกำหนดให้โลกปฏิบัติตาม
เพราะ การ Manipulate ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ นั้น ย่อมส่งผลข้างเคียงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องไม่ลืมว่า ผลประโยชน์ของเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ Global Warming นั้น ประมาณค่ามิได้
เพียงแค่ผู้ผลิตในเอเชียเปลี่ยนมาใช้ Sustainable Technology หรือ Clean Tech เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ชาติตะวันตก ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเหล่านั้น ได้ประโยชน์มหาศาล
เพื่อนฝูงในแวดวงการเงินเล่าให้ผมฟังว่า ที่แคลิฟอร์เนียเดี๋ยวนี้มีการทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการประเภทนี้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
บรรดา Venture Capitalist ที่เคยลงเงินให้กับกิจการไฮเทคแล้วประสบความสำเร็จอย่าง Yahoo, Google, Amazon.com, eBay, Facebook, Twitter ฯลฯ กำลังง่วนกับการ “บ่มเพาะ” เถ้าแก่รุ่นใหม่ที่สร้างกิจการแปลกๆ เช่น Zero-emission Home, Intelligent Solar Panel, eSolar, Energy-efficient Window, Algae-to-fuel Experiment, Advanced Biofuels, Smart Grid, Green Materials, Carbon-capture-cement, Sugar Diesel, Soladigm, หรือบริการการท่องเที่ยวในแบบที่พวกเขาเรียกว่า Carbon Footprint-Free Travel เป็นต้น
พวกเขากำลังทุ่มเงิน ทุ่มความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านไฮเทคและไบโอเทคที่พวกเขาชำนาญกว่าใครๆ ในโลกนี้ เพื่อสร้างอุตสาหกรรม Clean Tech ที่พวกเขาจะใช้สร้างความมั่งคั่งให้กับอเมริกาในรอบใหม่นี้
อีกไม่นาน เราคงจะได้เห็นเศรษฐีหน้าใหม่ๆ ที่เกิดจากการนำหุ้นของกิจการเหล่านั้นเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ด้วย P/E และ Growth Rate สูงลิ่ว แบบที่เคยเกิดมาแล้วกับพวกไฮเทคในอดีต
ที่สำคัญ ผมว่าพวกเขาคงคิดไกลไปกว่านั้น
พวกเขาย่อมต้องการใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีที่ผูกขาดเอาไว้ในมือแต่ผู้เดียวนี้ ผนวกกับอำนาจทางการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ แผ่อิทธิพลเหนืออุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Clean Tech ของโลกในอนาคตอีกด้วย
แบบที่พวกเขาเคยทำมาแล้วกับ Digital Technology กับอุตสาหกรรมไฮเทคและอินเทอร์เน็ต หรือฮอลลิวู้ดกับอุตสาหกรรมบันเทิง
เมื่อเขาสร้างมาตรฐานได้แล้ว สถานะของพวกเขาจะอยู่บน “ต้นทางของห่วงโซ่อาหาร” ในทันที
และเมื่อนั้น เขาก็จะเป็นผู้กุมทิศทาง (และกอบโกยผลประโยชน์มากกว่าใครเพื่อนจาก) กระบวนทัศน์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับโลก ซึ่งจะมีค่ามหาศาลในอนาคต
ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูสิครับ ว่ากระบวนทัศน์การผลิตแบบใหม่นี้ จะก่อให้เกิดอุตสาหกรรม ตลอดจนสินค้าและบริการ “ต่อหาง” ไปอีกหลายขบวน
บางคนว่ามันอาจเปรียบได้กับ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบใหม่ของโลก” เลยทีเดียว
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ยุโรป ที่ว่าแน่ๆ ก็คงต้องวิ่งไล่กวดสหรัฐฯ กันอีกรอบ
..........................................................
โดย ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว
ติดตามอ่านผลงานของ ทักษ์ศิล ฉัตรแก้ว ได้ที่ Blog “Editor’s Observation”: www.mba-magazine.blogspot.com