

โรงไฟฟ้า BLCP เดินหน้าพันธกิจหลักพัฒนานวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนต่อทุกภาคส่วน ล่าสุดประกาศความสำเร็จโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำเป็นเชื้อเพลิงร่วมถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) ถือเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งแรกของอาเซียนและลำดับ 3 ของเอเชีย พร้อมจับมือ ปตท. ในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำเพื่อผลิตไฟ 5 แสน–1 ล้านตันต่อปี เพื่อช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์
![]()
นายยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด กล่าวถึง ภาพรวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าและทิศทางการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า BLCP ว่า โรงไฟฟ้า BLCP เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ (IPP) มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 1,434 เมกะวัตต์ จากหน่วยผลิต 2 หน่วย โดยไฟฟ้าที่ผลิตจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งพันธกิจหลักขององค์กรครอบคลุมทั้งด้านการสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า (System Stability) รักษาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)
เป้าหมายดังกล่าวถูกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเลือกถ่านหินทูมินัสคุณภาพสูงมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยนำเข้าจากออสเตรเลียปีละประมาณ 3.6 ล้านตัน ร่วมกับระบบเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ไม่ว่าจะเป็นระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ระบบดักจับฝุ่นไฟฟ้าสถิต (ESP) พร้อมการดูแลและการพัฒนาประสิทธิภาพในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยนวัตกรรมเทคโนยีสมัยใหม่ ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น การลดการใช้น้ำจืดในกระบวนการผลิต การจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียและนำน้ำที่บำบัดแล้วหมุนเวียนมาใช้ใหม่ การควบคุมการปล่อยมลพิษที่ได้มาตรฐานตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด ฯลฯ ส่งผลให้การใช้เชื้อเพลิงลดลง ของเสียจากการผลิตลดลง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนมากขึ้น
ส่วนความสำคัญและบทบาทของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนั้น ถือว่ายังคงมีความจำเป็นต่อบริบททางสังคมและเศรษฐกิจของไทย ก่อนจะเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานอื่นที่ปัจจุบันยังมีต้นทุนการผลิตและการลงทุนที่สูงอยู่มาก ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า BLCP นั้น เฉลี่ยไม่ถึง 2 บาท เพราะถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น หาได้ง่ายและมีปริมาณมาก ทำให้เมื่อนำต้นทุนการผลิตไปคำนวณเป็นค่าเอฟทีแล้ว สามารถรักษาเสถียรภาพของค่าไฟฟ้าไม่ให้สูงจนเกินไปจนเกิดผลกระทบต่อประชาชน หรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
นอกจากหน้าที่สำคัญในการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าให้ดีที่สุดแล้ว โรงไฟฟ้า BLCP ยังมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชนและบริษัทชั้นนำของไทย
และต่างประเทศ อาทิ เจร่า (JERA) หนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของโลกจากประเทศญี่ปุ่น, Mitsubishi Corporation และ Mitsubishi Heavy Industries, Chiyoda Corporation, Algae Bio, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฯลฯ ซึ่งโครงการความร่วมมือนั้น ครอบคลุมในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า การลดมลพิษ การลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและโครงการที่สนับสนุนการสร้างความยั่งยืนตามแนวทาง ESG Model
ล่าสุดโรงไฟฟ้า BLCP ได้มีการจับมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าของ BLCP โดยเป็นผลต่อเนื่องจากการศึกษาถึงโอกาสในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าถ่านหินของ BLCP เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โดยได้ร่วมกันเพื่อศึกษาตลาดแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ เจรจากับผู้ผลิตและผลักดันกับทางภาครัฐให้แอมโมเนียใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ ซึ่งบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมการร่วมกันศึกษาและประเมินศักยภาพของโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการสาธิต (Demonstration) จนถึงการพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล ซึ่งการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาเป็นเชื้อเพลิงร่วมในการผลิตไฟฟ้านั้น โรงไฟฟ้า BLCP นับเป็นแห่งแรกของอาเซียนและเป็นลำดับที่ 3 ของเอเชีย ต่อจากญี่ปุ่นและเกาหลี
โดยผลดีของการนำแอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมนั้น ทำให้การผลิตไฟฟ้าสะอาดขึ้น ช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) โดยชนิดของแอมโมเนียคาร์บอนต่ำที่นำมาใช้นั้นเป็นแอมโมเนียสีน้ำเงิน (Blue Ammonia) ที่ดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปกักเก็บเพื่อใช้ประโยชน์อื่น โดยไม่ปล่อยออกสู่อากาศ ซึ่งการศึกษาเบื้องต้นโรงไฟฟ้า BLCP จะใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำร่วมในการผลิตที่ 5 แสน – 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถ่านหินลงได้ประมาณ 5-20%
สำหรับโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้า BLCP นั้น เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยเป็นการศึกษาวิจัยและพัฒนาร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งโรงไฟฟ้า BLCP, บ้านปู, เอ็กโก, เจร่า (JERA), Mitsubishi Corporation, Mitsubishi Heavy Industries ภายใต้ทุนสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) ที่นอกจากจะสนับสนุนโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำแล้ว ยังให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ของโรงไฟฟ้า BLCP อาทิ โครงการนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ โครงการใช้จุลสาหร่ายในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดำเนินการร่วมกับ Algal Bio ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลสาหร่ายระดับโลก จากประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายโครงการในอนาคตอีกด้วย
โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี - BLCP Power Limited
ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นางสาวสุจิตรา อมิตรพ่าย (ที่ 4 จากซ้าย) หัวหน้าสายงานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ ทรู รีเทลช็อป ร่วมกับ Pocketalk Corporation โดย มร.มาซาฮารุ วากายามะ (ที่ 5 จากขวา) ประธานกรรมการ Pocketalk Corporation ประเทศญี่ปุ่น ประกาศเปิดตัวการขายเครื่องแปลภาษาระบบ AI “Pocketalk” อันดับ 1 ของญี่ปุ่นในด้านการแปลภาษาหลายภาษาแบบเรียลไทม์ รองรับการแปลกว่า 85 ภาษา ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันใช้งานที่สะดวก รวดเร็ว เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในชีวิตประจำวันและการเดินทาง โดยวางจำหน่ายเฉพาะที่ทรูช็อป 21 สาขาทั่วประเทศไทย
สำหรับ Pocketalk เป็นอุปกรณ์แปลภาษาด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ที่พูดภาษาของตนเอง สามารถสื่อสารกับภาษาอื่นๆได้อย่างง่ายดาย “พูดปุ๊ปแปลปั๊ป ทลายทุกกำแพงทางภาษา สื่อสารอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วย Pocketalk” โดยรองรับการแปลด้วยเสียงและข้อความแบบเรียลไทม์ อาทิเช่น ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาเกาหลี รวมกว่า 74 ภาษา และการแปลเฉพาะข้อความอีก 11 ภาษา อาทิเช่น ภาษามองโกเลีย, ภาษาจอร์เจีย, ภาษาอาเซอร์ไบจาน, ภาษาลาว เป็นต้น ใช้กลไกแปลภาษาด้วย AI บนคลาวด์ที่ล้ำสมัย ซึ่งช่วยให้การแปลแม่นยำและรวดเร็ว แม้ในกรณีของประโยคยาวๆ ตอบโจทย์ทั้งการใช้ทำงานและการท่องเที่ยว เพียงแค่ใช้สายคล้องคอกับตัวเครื่อง ก็พร้อมลุยไปกับคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา
![]()
นอกจากนี้ Pocketalk ยังมาพร้อมฟังก์ชันฝึกอ่านออกเสียง โดยสามารถตรวจจับการออกเสียงของผู้ใช้ และตรวจสอบได้ว่าคำใดในประโยคที่ออกเสียงผิด เพื่อให้สามารถฝึกออกเสียงได้อย่างถูกต้อง เป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาทักษะการพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น และตัวเครื่องพร้อมอินเทอร์เน็ตโรมมิ่งในตัว ให้ใช้งานฟรีสองปี ช่วยให้การแปลเป็นไปอย่างราบรื่นแม้ในพื้นที่ที่ไม่มี Wi-Fi สามารถใช้งานได้ทันทีกว่า 140 ประเทศ สามารถดูรายละเอียดที่: https://th.pocketalk-th.com/
ทรูช็อป 21 สาขาที่ วางจำหน่าย ทรูแบรนด์ดิ้งช็อปสยามพารากอน, ทรูช็อปเซ็นทรัลบางนา, ทรูช็อปเซ็นทรัลลาดพร้าว, ทรูช็อปเซ็นทรัลพระราม 3, ทรูช็อปเซ็นทรัลพระราม 9, ทรูช็อปเซ็นทรัลเวสต์เกต, ทรูช็อปเซ็นทรัลเวิลด์, ทรูช็อปเอ็มควอเทียร์, ทรูช็อปเมกาบางนา, ทรูช็อปซีคอนบางแค, ทรูช็อปซีคอนสแควร์ 2, ทรูช็อปซีคอนสแควร์, ทรูช็อปสีลมคอมเพล็กซ์, ทรูช็อปเทอมินอล21อโศก, ทรูช็อปเดอะมอลล์บางกะปิ, ทรูช็อปเมญ่าไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ (เชียงใหม่), ทรูช็อปเซ็นทรัลพัทยา, ทรูช็อปเทอมินอล21พัทยา, ทรูช็อปเซ็นทรัลพลาซาอุดรธานี, ทรูช็อปเซ็นทรัลภูเก็ตเฟสติวัล, ทรูช็อปเซ็นทรัลสมุย
เฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น (Federal Express Corporation) หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าด่วนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดตัวคู่มืออีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน 2 ฉบับ เพื่อส่งเสริมลูกค้ากลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (SMEs) ในประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก1 ด้วยการนำเข้าและส่งออกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่แข็งแกร่ง มอบโอกาสทางธุรกิจที่กว้างขวางให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs โดยผู้ประกอบการต่างชาติที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดจีนและญี่ปุ่น จำเป็นต้องทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมผู้บริโภคในโลกดิจิทัล ความนิยมของผู้บริโภค และการขนส่งของตลาดแต่ละประเทศ เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจของตนอย่างยั่งยืน
FedEx มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง พร้อมนำความรู้และประสบการณ์มาพัฒนาคู่มืออันเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทางเว็บไซต์ FedEx โดยภายในคู่มือประกอบด้วย:
“การค้นหาและเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ในตลาดระดับนานาชาติถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ดึงดูดผู้บริโภคและสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน สื่อดิจิทัลช่วยลดอุปสรรคและเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเข้าใจข้อมูลเชิงลึกและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดและขาดไม่ได้ในการบริหารธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางบทบาทของอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” คาวาล พรีท ประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเฟดเอ็กซ์ กล่าว “ประเทศจีนและญี่ปุ่นนับเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทางบริษัทฯ ได้ต่อยอดประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากการดำเนินกิจการภายในประเทศเหล่านี้มาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ ซึ่งนับเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญสำหรับอีคอมเมิร์ซ ไม่เพียงเท่านี้ เรายังเชื่อมต่อแพลตฟอร์มและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ ผลักดันการส่งมอบแนวความรู้และช้อมูลเชิงลึกที่เป็นเอกลักษณ์ สนับสนุนให้ร้านค้าปลีกสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
“กลุ่มธุรกิจ SMEs ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศไทย เรามุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ในการผลักดันกลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศให้เข้าใจและสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ คู่มืออีคอมเมิร์ซ 2 ฉบับนี้ รวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์เชิงลึกมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันและลักษณะเฉพาะที่สำคัญภายในตลาดประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างครอบคลุม เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs ในประเทศสามารถดำเนินธุรกิจในตลาดอีคอมเมิร์ซระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เจตนารมณ์ในการผลักดันผู้ประกอบการ SMEs นี้ สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลไทยในการขยายตลาดสู่ประเทศจีน ส่งเสริมการค้าไร้พรมแดน พร้อมเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคง”
“ในปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจในประเทศไทยมีศักยภาพในการเติบโตและประสบความสำเร็จภายในตลาดอีคอมเมิร์ซประเทศจีนและญี่ปุ่นอย่างมาก” นายศศธร ภาสภิญโญ กรรมการผู้จัดการ เฟดเอ็กซ์ ประเทศไทย กล่าว “เราเชื่อมั่นว่ากลุ่มธุรกิจ SMEs ในประเทศจะสามารถเติบโตภายในตลาดเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืนด้วยคู่มืออีคอมเมิร์ซที่เป็นประโยชน์ โดยคู่มือนี้รวบรวมข้อมูลและการบริการจากความรู้ความชำนาญ รวมถึงเครือข่ายทั่วโลก สะท้อนบทบาทของเฟดเอ็กซ์ในฐานะหนึ่งในพาร์ทเนอร์สำหรับกลุ่มธุรกิจในการขยายตลาดสู่ระดับสากล”
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในระดับภูมิภาคเอเชียและระดับสากล โดยผู้ประกอบการ SMEs ชาวไทยซึ่งคิดเป็น 99% ของผู้ประกอบการทั้งหมดในประเทศไทย2 ต่างมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านตลาดสินค้าส่งออก อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมการเกษตร รถยนต์ และเครื่องจักรกล ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศจีนและญี่ปุ่นถือเป็นตลาดส่งออกหลัก 3 อันดับแรกของประเทศที่สำคัญและน่าจับตามอง ส่งเสริมโอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มธุรกิจ SME ในไทย ให้สามารถก้าวขึ้นสู่เวทีการค้าระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดคู่มือได้ทาง: คู่มือการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซไร้พรมแดนสู่ประเทศจีนและญี่ปุ่น
บริษัท รินไน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำร้อน รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรมคุณภาพมาตรฐานระดับสากล เตรียมนำเสนอเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า (Plasma) มาประยุกต์ใช้แบรนด์แรกของไทย ช่วยให้ขจัดกลิ่นควันจากการทำอาหาร แบคทีเรีย ไวรัส และฝุ่นระดับ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อม G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ผลิตและพัฒนาโดย รินไน ประเทศญี่ปุ่น ร่วมโชว์ในงานสถาปนิก’ 67 ครั้งที่ 36 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
รินไน (Rinnai) มุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า มีการออกแบบที่ทันสมัย สามารถขจัดได้ทั้งกลิ่นควันจากการทำอาหาร กำจัดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และฝุ่นระดับ PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการนำเสนอ G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ผลิตและพัฒนาโดย รินไน ประเทศญี่ปุ่น ที่เน้นไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานและเสริมความแข็งแกร่งด้วยสีดำและการออกแบบอันประณีต จนเป็นซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์ที่ขับเคลื่อนความรู้สึกและไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ให้เหนือชั้นและน่าหลงใหล ซึ่งความหมายของ G คือ ตัวอักษรตัวแรกของคำหลายๆ คำที่มีความหมายสื่อถึงความยิ่งใหญ่และความประณีต อาทิ gland , great , Gold , Grace, Glamorous โดยใช้สีดำที่เป็นองค์ประกอบหลักเพื่อสะท้อนและสื่อถึงความแข็งแกร่ง พร้อมแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ประณีต สำหรับความนิยมของ G-Line ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากบรรดาศิลปินและสไตล์ลิสที่มีชื่อเสียง
รินไน เป็นแบรนด์สินค้าจากประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องครัวประเภทเตาฝัง เครื่องดูดควัน เครื่องทำน้ำอุ่น-เครื่องทำน้ำร้อน ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเป็นลำดับต้นของไทยในราคาที่จับต้องได้ โดยในการผลิตมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้ใช้งาน ซึ่ง รินไน เชื่อว่าทั้งหมดนี่ คือ การสร้างสิ่งความยั่งยืนให้แก่แบรนด์ นอกจากนั้น รินไน ยังเป็นแบรนด์ที่มีเครือข่ายทั่วโลก การพัฒนาแบรนด์และผลิตภัณฑ์นั้น มีการดำเนินการอย่างสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละภูมิภาค ภายใต้แนวคิด ‘Good for Person, Good for Region’
สำหรับผู้สนใจเครื่องดูดควัน นวัตกรรมและเทคโนโลยี พลาสม่า พร้อม G-Line series ซีรีส์ชุดครัวระดับไฮเอนด์จากประเทศญี่ปุ่น และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จาก รินไน สามารถเยี่ยมชมได้ที่งานสถาปนิก’ 67 ที่บูธหมายเลข L106 ระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 5 พฤษภาคม 2567 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
คณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น (ต่อไปนี้จะเรียกว่า สมาคมญี่ปุ่น) ร่วมมือกับศูนย์ส่งเสริมผลิตภัณฑ์อาหารญี่ปุ่นไปยังต่างประเทศ (ต่อไปนี้จะเรียกว่า JFOODO) และ Japanese Food Export Platform ที่จัดตั้งโดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่น จัดแคมเปญส่งเสริมการขายโดยเลือกใช้คาแรกเตอร์จากการ์ตูนชื่อดังอย่าง DORAEMON มุ่งหวังให้ผู้บริโภคชาวไทยได้รู้จักกับผลไม้รสชาติแสนอร่อยของญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลญี่ปุ่นมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ป่าไม้ และการประมง รวมถึงอาหาร โดยตั้งเป้าการส่งออกเป็น 2 ล้านล้านเยนในปี 2025 และ 5 ล้านล้านเยนในปี 2030 ทั้งนี้ ความนิยมของผลไม้ญี่ปุ่นในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะแอปเปิ้ล และสตรอเบอร์รี่ จึงคาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกผลไม้จากประเทศญี่ปุ่นจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลไม้ญี่ปุ่นมีสีสันที่สดใส สวยงาม รสชาติหวานฉ่ำจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศทุกวัย อีกทั้งอ้างอิงจากตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ทราบได้ว่าความต้องการทานผลไม้ที่เคยทานในประเทศญี่ปุ่นโดยเฉพาะคนไทยเองนั้นก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ด้วยความปรารถนาของสมาคมญี่ปุ่น ที่ต้องการให้ “คนไทยทุกคนคุ้นเคยกับผลไม้ญี่ปุ่นที่แสนอร่อยมากขึ้น” สมาคมญี่ปุ่นจึงจัดแคมเปญประจำปี 2023 ขึ้นในคอนเซ็ปต์ “ผลไม้พรีเมียมสำหรับเด็กๆ” โดยนำคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนอมตะที่เป็นที่รู้จักในไทยและทั่วโลกอย่าง DORAEMON มาสร้างสีสัน ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การติดป็อบอัพโปรโมทที่ร้านจำหน่ายผลไม้ญี่ปุ่น การเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ และการให้ข่าวสารผ่านอินฟลูเอนเซอร์ การร่วมมือกับร้านค้าปลีกในไทยรวมถึงเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ รวมถึงการจัดอีเวนต์ชิมผลไม้ญี่ปุ่นในวันเด็กของไทยอีกด้วย
มร. โยชิฮิสะ ฮิชินุมะ ประธานสมาคมญี่ปุ่น กล่าวว่า “ผักและผลไม้ของญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของ ความอร่อย คุณภาพดี และความปลอดภัย จึงได้รับกระแสตอบรักจากลูกค้าทุกท่านจากทั่วทุกมุมโลกที่อย่างสูง ผลไม้ญี่ปุ่นที่เด็กๆ ชื่นชอบ จะช่วยเพิ่มสีสันการรับประทานอาหารให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงคนสำคัญ จึงอยากให้ทุกคนได้ทานผักและผลไม้ตามฤดูกาลที่หลากหลายนี้”
![]()
รายละเอียดแคมเปญ
ชื่อแคมเปญ: Japanese Fruit -Color the Family Table
ระยะเวลาแคมเปญ: กันยายน 2023 ถึงมีนาคม 2024
รายละเอียดงาน: เผยแพร่ข่าวสารทางเว็บไซต์ และ เฟซบุ๊ค รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลโดยอินฟลูเอนเซอร์
ความร่วมมือกับร้านค้าปลีกในท้องถิ่นในไทยและเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ อีกทั้ง ยังจัดอีเวนท์ลองชิมผลไม้ญี่ปุ่นในวันเด็กของไทย เป็นต้น
อ้างอิง: เว็บไซต์โปรโมทผลไม้ญี่ปุ่น: https://japanese-fruit.jp/thailand/ Official Facebook ของ Japanese Fruit.: https://www.facebook.com/JapaneseFruitsTH
![]()
เกี่ยวกับคณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น
Japan Fruit and Vegetables Export Promotion Council (JFEC)
คณะกรรมการส่งออกผักผลไม้แห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นสมาคมจัดตั้งทั่วไป (General incorporated association) ที่รวบรวมและให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกที่จำเป็นสำหรับการส่งออกผักผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูปของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังให้การสนับสนุนสมาชิกโดยส่งเสริมการเร่งขยายตัวของการส่งออกผักและผลไม้