December 05, 2025

สำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (KOTRA) เผยยุทธศาสตร์อาหารเกาหลี (K-Food) สู่วัฒนธรรมอาหารกระแสหลักของโลก ผสานจุดแข็งรสชาติ สุขภาพ และวัฒนธรรม ผ่านความนิยม K-Culture, K-POP และ K-Drama

ล่าสุดเตรียมจัดงาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 ระหว่างวันที่ 26–28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ คาดมูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจในงานสูงกว่า 250 ล้านดอลลาร์ พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลาง K-Food อาเซียน

นาย ยงซอง คิม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (Korea Trade-Investment Promotion Agency : KOTRA Bangkok (โคทรา กรุงเทพฯ)) ซึ่งเป็นองค์กรรัฐภายใต้กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน ของประเทศเกาหลีใต้ กล่าวถึง การส่งเสริมอาหารเกาหลีให้เป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของโลกว่า วันนี้อาหารเกาหลีกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมาจากการผสานจุดแข็งด้านรสชาติ สุขภาพ และวัฒนธรรม ผนวกเอกลักษณ์ภูมิปัญญาดั้งเดิม นำเสนอใหม่ให้เป็นที่สนใจของผู้บริโภค เช่น การนำอาหารหมักและเทคนิคการหมักแบบดั้งเดิมที่ทำให้เกิด โพรไบโอติกส์ (probiotics) มานำเสนอในรูปแบบอาหารสุขภาพ สื่อสารไปยังผู้บริโภคโดยผ่าน K-Culture, K-POP และ K-Drama ทำให้เกิดการรับรู้และความนิยมในวงกว้าง ซึ่งจุดแข็งของ K-Food นอกจากอาหารหมักดั้งเดิมอย่างกิมจิและซอสต่างๆ แล้ว ยังรวมถึงอาหารพร้อมรับประทาน ขนม-ของหวาน อาหาร-เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย ส่วนการพัฒนาอาหารเกาหลีต่อไปนั้น มีเป้าหมายในการเป็นสัญลักษณ์ของอาหารคุณภาพ สุขภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเน้นไปที่กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม (Functional Wellness Foods & Beauty Supplements) เช่น เยลลี่คอลลาเจน เครื่องดื่มสมุนไพรหมัก โทนิคโสมและเครื่องดื่มโปรตีน อาหารสะดวกพร้อมรับประทาน (Smart Convenience Meals) เช่น เกี๊ยวเกาหลีพรีเมียม (Korean Premium Dumpling) ผัดวุ้นเส้นเกาหลีแช่แข็ง (Korean Frozen Japchae) ข้าวถ้วยสำเร็จรูปและข้าวผัดหอยเป๋าฮื้อ ที่ใช้เทคโนโลยีรีทอร์ตและโซ่ความเย็นขั้นสูง อาหารพืชและบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน (Plant-Based & Sustainable K-Food) เช่น เกี๊ยวเกาหลีวีแกน (Korean Vegan Dumpling) กาแฟหมักจากสโคบี้ และ อาหารเกาหลีดั้งเดิมในรูปแบบทันสมัย (Modernized Korean Traditions) เช่น ต๊อกบกกี น้ำมันงาและน้ำเชื่อมขิงแบบร่วมสมัย

ด้านข้อมูลการบริโภคอาหารเกาหลีในประเทศไทยนั้น กลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน กลุ่มครอบครัวในเมืองใหญ่ มีมุมมองต่ออาหารเกาหลีว่าทันสมัย ช่วยให้สุขภาพดี อยู่ในกระแสนิยม ส่วนข้อมูลจากองค์กรส่งเสริมการค้าและพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าเกษตร ประมงและอาหาร ประเทศเกาหลีใต้, KOTRA กรุงเทพฯ และสมาคมการค้าระหว่างประเทศของเกาหลีเผยว่า สินค้าอาหารที่เติบโตสูงสุด 5 อันดับ ในไทยและอาเซียน ได้แก่ 1.บะหมี่และอาหารพร้อมรับประทาน 2.ซอสและเครื่องปรุง เช่น โคชูจัง และซอสต๊อกบกกี 3.เครื่องดื่มสุขภาพ เช่น คอลลาเจน โสม และโปรไบโอติก 4.ขนมและของหวานเกาหลี 5.อาหารหมัก เช่น กิมจิ ส่วนร้านอาหารเกาหลีก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากกระแส K-Culture ด้วยเช่นกัน ทำให้แบรนด์ ร้านอาหารเกาหลีเริ่มขยายสาขาสู่ประเทศไทย อาทิ BHC Chicken หรือ Solsot และร้านอาหารไทยก็มีการเพิ่มเมนูอาหารเกาหลีเพื่อดึงดูดลูกค้า

สำหรับการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีและไทยถือว่าเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ประเทศไทยยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลจิสติกส์และเป็นผู้นำในการบริโภคที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น KOTRA มีเตรียมจัดงาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 ขึ้น ระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งงาน SEOUL FOOD เป็น 1 ใน 4 งานแสดงสินค้าอาหารสำหรับมืออาชีพที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย และไทยเป็นประเทศแรกที่ได้รับเลือกให้จัดงานนี้ขึ้นในต่างประเทศ โดยผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับ การจัดแสดงสินค้าที่มีการนำเสนอ ทั้งนวัตกรรมเทคโนโลยีอาหารที่ผสานแนวคิดด้านสุขภาพและความยั่งยืน การเปิดประสบการณ์ในวัฒนธรรมเกาหลีที่แท้จริง ชิมอาหารเกาหลีที่หลากหลาย พร้อมชมการสาธิตการทำอาหารจากเชฟที่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมเกาหลี ภายใต้แนวคิด “K-Food นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต : ก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนของโลก” (K-Food Innovation: Smart, Healthy & Sustainable)

ภายในงานฯ ประกอบด้วย 3 โซนหลัก ได้แก่

Trade & Business Zone โซนจัดแสดง ชม ชิม ทดลอง รวมทั้งเจรจาและจับคู่ธุรกิจ (Buyer Matching) กับผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารจากเกาหลี อาทิ ขนมขบเคี้ยว ซอส เครื่องดื่ม อาหารเพื่อสุขภาพและอาหารแช่แข็ง ฯลฯ ที่เข้าร่วมงานฯ กว่า 150 แบรนด์ พร้อมสินค้า อุปกรณ์ และวัตถุดิบร่วมจัดแสดงกว่า 1,400 รายการ รวมถึงการจัดแสดงจาก 6 พาวิเลียน ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติของเกาหลี (Korea National Food Cluster (Foodpolis)), สถาบันอุตสาหกรรมอาหารชีวภาพ ช็อนบุก (Jeonbuk State Institute for Food-Bioindustry), คังวอน พาวิลเลียน, เมืองยังจู จังหวัดคยองกี พาวิลเลียน, จอนนัม พาวิลเลีย และ เซจู พาวิลเลีย

Cultural & Culinary Showcase โซนการสาธิตการทำอาหาร ขนมและเปิดประสบกาณณ์การผสมผสาน K-Food และ K-Culture เพื่อสะท้อนความสร้างสรรค์ของอาหารเกาหลีสมัยใหม่ โดยมีกิจกรรมและการจัดแสดงที่น่าสนใจ อาทิ Seoul Food Awards Showcase: โซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ที่คว้ารางวัล 4 ประเภท ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและอาหารออร์แกนิก ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยีหรือกระบวนการผลิต อาหารและของหวานระดับพรีเมียมดีไซน์โดดเด่น และ เครื่องจักร บรรจุภัณฑ์ และเทคโนโลยีการผลิตอาหารแห่งอนาคต, การสาธิตการทำอาหารและชิมอาหารโดยเชฟจากเกาหลี และ กิจกรรมถ่ายภาพในงาน พร้อมชิมและลิ้มรสบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลี หรือ รามยอน ฟรี ฯลฯ

Business Support & Consultation Services โซนให้คำปรึกษาด้านพิธีการศุลกากร การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับองค์การอาหารและยา (อย.) และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งคาดว่ามูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจที่เกิดขึ้นในงานฯ จะมากกว่า 250 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 8,196 ล้านบาท ดังนั้นงาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 นอกจากจะเป็นงานแสดงสินค้าที่สำคัญแล้ว ยังเป็นกลไกในการวางรากฐานความร่วมมือระยะยาวด้านอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเกาหลี–ไทย เพื่อสร้าง “ระบบนิเวศ K-Food” ที่มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขยายสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงสร้างแพลตฟอร์มสำหรับการเข้าสู่ตลาด การส่งเสริมความร่วมมือด้านนวัตกรรม การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การสร้างแบรนด์ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การสร้างการเติบโตร่วมกันของทั้งวัฒนธรรมอาหารเกาหลี อาหารของไทยและอาเซียนอีกด้วย

งาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงานล่วงหน้าได้ที่ www.seoulfood-bangkok.com

 

โรงไฟฟ้า BLCP เดินหน้าพันธกิจหลักพัฒนานวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนต่อทุกภาคส่วน ล่าสุดประกาศความสำเร็จโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำเป็นเชื้อเพลิงร่วมถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) ถือเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งแรกของอาเซียนและลำดับ 3 ของเอเชีย พร้อมจับมือ ปตท. ในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำเพื่อผลิตไฟ 5 แสน–1 ล้านตันต่อปี เพื่อช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์

นายยุทธนา เจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด กล่าวถึง ภาพรวมของธุรกิจโรงไฟฟ้าและทิศทางการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า BLCP ว่า โรงไฟฟ้า BLCP เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ (IPP) มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 1,434 เมกะวัตต์ จากหน่วยผลิต 2 หน่วย โดยไฟฟ้าที่ผลิตจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งพันธกิจหลักขององค์กรครอบคลุมทั้งด้านการสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า (System Stability) รักษาต้นทุนการผลิตไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)

เป้าหมายดังกล่าวถูกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การเลือกถ่านหินทูมินัสคุณภาพสูงมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยนำเข้าจากออสเตรเลียปีละประมาณ 3.6 ล้านตัน ร่วมกับระบบเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ไม่ว่าจะเป็นระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ระบบดักจับฝุ่นไฟฟ้าสถิต (ESP) พร้อมการดูแลและการพัฒนาประสิทธิภาพในการเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยนวัตกรรมเทคโนยีสมัยใหม่ ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เช่น การลดการใช้น้ำจืดในกระบวนการผลิต การจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียและนำน้ำที่บำบัดแล้วหมุนเวียนมาใช้ใหม่ การควบคุมการปล่อยมลพิษที่ได้มาตรฐานตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด ฯลฯ ส่งผลให้การใช้เชื้อเพลิงลดลง ของเสียจากการผลิตลดลง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนมากขึ้น

ส่วนความสำคัญและบทบาทของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนั้น ถือว่ายังคงมีความจำเป็นต่อบริบททางสังคมและเศรษฐกิจของไทย ก่อนจะเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานอื่นที่ปัจจุบันยังมีต้นทุนการผลิตและการลงทุนที่สูงอยู่มาก ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า BLCP นั้น เฉลี่ยไม่ถึง 2 บาท เพราะถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น หาได้ง่ายและมีปริมาณมาก ทำให้เมื่อนำต้นทุนการผลิตไปคำนวณเป็นค่าเอฟทีแล้ว สามารถรักษาเสถียรภาพของค่าไฟฟ้าไม่ให้สูงจนเกินไปจนเกิดผลกระทบต่อประชาชน หรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

นอกจากหน้าที่สำคัญในการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าให้ดีที่สุดแล้ว โรงไฟฟ้า BLCP ยังมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชนและบริษัทชั้นนำของไทย

และต่างประเทศ อาทิ เจร่า (JERA) หนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของโลกจากประเทศญี่ปุ่น, Mitsubishi Corporation และ Mitsubishi Heavy Industries, Chiyoda Corporation, Algae Bio, สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฯลฯ ซึ่งโครงการความร่วมมือนั้น ครอบคลุมในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า การลดมลพิษ การลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและโครงการที่สนับสนุนการสร้างความยั่งยืนตามแนวทาง ESG Model

ล่าสุดโรงไฟฟ้า BLCP ได้มีการจับมือกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าของ BLCP โดยเป็นผลต่อเนื่องจากการศึกษาถึงโอกาสในการจัดหาแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าถ่านหินของ BLCP เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โดยได้ร่วมกันเพื่อศึกษาตลาดแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ เจรจากับผู้ผลิตและผลักดันกับทางภาครัฐให้แอมโมเนียใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ ซึ่งบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่ ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมการร่วมกันศึกษาและประเมินศักยภาพของโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการสาธิต (Demonstration) จนถึงการพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสมดุล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล ซึ่งการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาเป็นเชื้อเพลิงร่วมในการผลิตไฟฟ้านั้น โรงไฟฟ้า BLCP นับเป็นแห่งแรกของอาเซียนและเป็นลำดับที่ 3 ของเอเชีย ต่อจากญี่ปุ่นและเกาหลี

โดยผลดีของการนำแอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมนั้น ทำให้การผลิตไฟฟ้าสะอาดขึ้น ช่วยลดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) โดยชนิดของแอมโมเนียคาร์บอนต่ำที่นำมาใช้นั้นเป็นแอมโมเนียสีน้ำเงิน (Blue Ammonia) ที่ดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปกักเก็บเพื่อใช้ประโยชน์อื่น โดยไม่ปล่อยออกสู่อากาศ ซึ่งการศึกษาเบื้องต้นโรงไฟฟ้า BLCP จะใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำร่วมในการผลิตที่ 5 แสน – 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถ่านหินลงได้ประมาณ 5-20%

สำหรับโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำมาเป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้า BLCP นั้น เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยเป็นการศึกษาวิจัยและพัฒนาร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งโรงไฟฟ้า BLCP, บ้านปู, เอ็กโก, เจร่า (JERA), Mitsubishi Corporation, Mitsubishi Heavy Industries ภายใต้ทุนสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) ที่นอกจากจะสนับสนุนโครงการศึกษาการใช้แอมโมเนียคาร์บอนต่ำแล้ว ยังให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ของโรงไฟฟ้า BLCP อาทิ โครงการนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ โครงการใช้จุลสาหร่ายในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดำเนินการร่วมกับ Algal Bio ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลสาหร่ายระดับโลก จากประเทศญี่ปุ่น และอีกหลายโครงการในอนาคตอีกด้วย

โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) “มุ่งพัฒนาพลังงานที่มั่นคง เพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.blcp.co.th/web/index หรือ Facebook : โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี - BLCP Power Limited

ลาซาด้า ประเทศไทย ร่วมมือกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้โครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2025 ผลักดันการท่องเที่ยวไทยสู่กลุ่มนักเดินทางอาเซียนผ่าน LazTravel บริการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักบนแพลตฟอร์มลาซาด้า ชูจุดแข็งฐานผู้ใช้งานครอบคลุม 6 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย สร้างแคมเปญโปรโมตรูปแบบข้ามพรมแดน พร้อมมอบดีลสุดคุ้มสำหรับการจองเที่ยวบินและที่พัก ชูไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวทั้งในประเทศ (Domestic Tourism) และจากต่างประเทศ (Inbound Tourism)

วาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า “LazTravel ไม่เพียงช่วยให้การจองทริปเป็นเรื่องง่ายและคุ้มค่า แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการส่งเสริมและโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวไทย ทั้งเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว ช่วยเปิดประสบการณ์และถ่ายทอดเสน่ห์ความเป็นไทยสู่สายตานักเดินทาง ผ่านบริการท่องเที่ยวแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์มของเรา ซึ่งเข้าถึงฐานผู้ใช้ได้มากขึ้นในระดับภูมิภาค ตอกย้ำประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Thailand as a popular destination in Southeast Asia) ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับ ททท. ในครั้งนี้ยังช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคุณภาพได้กว้างขึ้น ในฐานะผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคนี้ เราภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”

ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอาเซียนกว่า 10.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ขณะที่รายงานจาก Visa ยังชี้ว่า นักท่องเที่ยวจาก สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม เป็นกลุ่มที่สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวสูงสุด 3 อันดับแรกในไทย โดยเฉพาะหมวดที่พัก ช้อปปิง ร้านอาหาร และบริการสุขภาพ

ความร่วมมือระดับภูมิภาคครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Amazing Thailand Grand Sale 2025 ซึ่งเป็นแคมเปญสำคัญของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มุ่งกระตุ้นการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยว พร้อมมอบประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟแก่นักท่องเที่ยวจากอาเซียน ผ่านส่วนลดเที่ยวบินและโรงแรมสูงสุด 15% (เป็นไปตามเงื่อนไขในแต่ละประเทศ)

ขณะเดียวกัน ลาซาด้ายังเดินหน้าสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศผ่านแคมเปญเที่ยววันธรรมดา เพื่อจูงใจให้คนไทยออกเดินทางในช่วงวันจันทร์ - พฤหัสบดี โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568’ จากภาครัฐ ซึ่งเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อกระตุ้นการเดินทางในช่วงโลว์ซีซันอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ LazTravel ยังมีบทบาทสำคัญในการขยายการรับรู้และกระตุ้นการเดินทางในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลักดันแหล่งท่องเที่ยวทางเลือก เช่น เมืองน่าเที่ยว ให้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของลาซาด้า อาทิ แบนเนอร์หน้าแคมเปญหลัก การแจ้งเตือนข้อความ และคูปองส่วนลดพิเศษ เช่น

· Amazing Thailand Grand Sale: นักท่องเที่ยวจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม รับส่วนลดสูงสุด 15% เมื่อจองตั๋วเครื่องบินและที่พักในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2568

· เที่ยววันธรรมดา: นักท่องเที่ยวชาวไทยรับส่วนลดสูงสุด 15% สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินและที่พักภายในประเทศ (สูงสุด 150 บาท) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน 2568

LazTravel ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก กิจกรรม และแหล่งท่องเที่ยว ผ่านแอปพลิเคชันลาซาด้า โดยรวบรวมเที่ยวบินจากกว่า 200 สายการบิน ครอบคลุมกว่า 50,000 เส้นทาง พร้อมตัวเลือกโรงแรมมากกว่า 282,000 แห่งใน 7,000 เมืองทั่วโลก ปัจจุบันเปิดให้บริการใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ โดยผู้ใช้งานสามารถวางแผนและจองการเดินทางทั้งในและต่างประเทศได้อย่างสะดวกสบาย ครบจบในแอปเดียว พร้อมความคุ้มค่าสูงสุดจากฟีเจอร์เปรียบเทียบราคาสายการบินและโรงแรม รวมถึงโปรโมชันพิเศษจากแคมเปญต่าง ๆ ตลอดทั้งปี ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่ทั้งในไทยและอาเซียน

 

Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) ฮับแห่งใหม่สำหรับวงการครีเอทีฟ พัฒนาโดย MQDC บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ประกาศแต่งตั้งนายพอล สิริสันต์ ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทัพสร้าง Creative Destination พร้อมระบบนิเวศสำหรับนักสร้างสรรค์ หรือ Creative Ecosystem ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็นศูนย์กลางครีเอเตอร์ทุกแขนงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองรับการเติบโตของตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์มูลค่า 45,000 ล้านบาท

"ผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Cloud 11 ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าที่นี่จะเป็นศูนย์กลางของครีเอเตอร์ทุกแขนง” นายพอล กล่าว "เรากำลังสร้างระบบนิเวศของครีเอเตอร์ที่สมบูรณ์แบบ และพร้อมจะสนับสนุนทุกความคิดสร้างสรรค์ ดึงดูดความร่วมมือจากทั่วโลก เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยก้าวสู่ระดับโลก"

การแต่งตั้งนายพอล สิริสันต์ ถือเป็นการเสริมความแข็งแรงให้กับโครงการ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ครอบคลุมทั้งวงการดนตรีที่เคยเป็นผู้บริหารค่ายเพลงสากลระดับโลกในไทย รวมถึงเป็นนักการตลาด และผู้บริหารธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในบทบาทผู้บริหารจากมุมมองของนักสร้างสรรค์

โครงการ Cloud 11 คือพื้นที่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของครีเอเตอร์ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร อาทิ สตูดิโอผลิตงาน ห้องตัดต่อ ห้องบันทึกเสียง โรงภาพยนตร์ โรงละคร และพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ นอกจากนี้ Cloud 11 ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมและโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของครีเอเตอร์

ทั้งนี้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยและอาเซียนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีมูลค่าตลาดรวมกันหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่มีอัตราการเติบโตต่อปีเฉลี่ย 20-30% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Cloud 11 ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับนักสร้างสรรค์ (Creative Ecosystem) เพื่อผลักดันให้ Cloud 11 เป็นศูนย์รวมโครงสร้างพื้นฐานแห่งใหม่ที่ครบวงจรของวงการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในเอเชีย

ทั้งนี้นายพอล สิริสันต์ เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เพื่อร่วมนำทีมพัฒนา Creative Destination ของเอเชีย และเป็นระบบนิเวศแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ออกแบบมาเสริมพลังให้กับศิลปิน บริษัทโปรดักชั่น และสถาบันสร้างสรรค์ระดับโลกจะมีการพัฒนา Cloud 11 ให้แข็งแกร่งเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้วงการครีเอเตอร์ไทยก้าวสู่เวทีโลกต่อไป

“ในโลกดิจิทัลการมีคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับทุกองค์กร ตั้งแต่การสร้างแบรนด์ การตลาด การสื่อสารให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นหลายบริษัทจึงมองหาช่องทางเพื่อเข้าถึงการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงและรวดเร็ว Cloud 11 จึงเป็นโซลูชั่นที่ไม่เหมือนใคร เพราะเราเป็นทั้งพื้นที่สำนักงานและมีระบบนิเวศของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ที่ครบวงจร ผู้เช่าพื้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการใช้สตูดิโอและสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกพื้นที่ของโครงการสำหรับผลิตผลงานแบบมืออาชีพ เปรียบเสมือนมีกำลังการผลิตสื่ออยู่ในมือที่ใกล้แค่เอื้อม” นายพอล กล่าวปิดท้าย

โครงการ Cloud 11 ได้ดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าแล้วเสร็จ 80% โดยมีนายองศา จรรยาประเสริฐ ดำรงตำแหน่ง Project Director หรือผู้อำนวยการโครงการควบคู่กับ คุณพอล สิริสันต์ มีหน้าที่ในการบริหารโครงการ และการหาผู้เช่า รวมทั้งร่วมมือกับผู้ที่เป็นครีเอเตอร์ จนถึงในแวดวงเอนเตอร์เทนเมนต์ ที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ ใช้พื้นที่ของ Cloud 11 ต่อไป

โดยก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกับ Cloud 11 นายพอล สิริสันต์ ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Universal Music Group (UMG) และเป็นผู้ก่อตั้ง Def Jam Thailand

Funding Societies | Modalku (Funding Societies) แพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลแบบครบวงจรขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับ SME ประกาศความสำเร็จในการได้รับการลงทุนเชิงกลยุทธ์จาก Gobi Partners บริษัทร่วมทุนชั้นนำที่มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจในตลาดเอเชีย ตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของ Funding Societies ในการขยายโอกาสทางการเงินให้ SME ด้วยโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง ความยืดหยุ่นในการปรับตัว และความมุ่งมั่นในการลดช่องว่างการเข้าถึงแหล่งเงินทุน

การลงทุนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะที่ผู้ให้บริการสินเชื่อและนักลงทุนให้ความระมัดระวังมากขึ้นต่อบริษัทฟินเทคต่างๆ หลังจากที่อุตสาหกรรมเผชิญความท้าทายหลากหลายด้าน การได้รับการสนับสนุนจาก Gobi Partners ไม่เพียงเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับ Funding Societies แต่ยังช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ตอกย้ำบทบาทสำคัญของบริษัทในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินแก่ SME มากว่าสิบปี และบริการด้านการชำระเงินตั้งแต่ปี 2565 ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแนวทางการบริหารจัดการที่แข็งแกร่งของ Funding Societies และความสามารถในการสนับสนุนธุรกิจที่ขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั่วทั้งภูมิภาคฯ

นายเคลวิน เตียว ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Funding Societies กล่าวว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการลงทุนเชิงกลยุทธ์จาก Gobi Partners โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่นักลงทุนให้ความระมัดระวังมากขึ้นต่อบริษัทฟินเทค การสนับสนุนครั้งนี้สะท้อนถึงพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของเราในการขับเคลื่อน SME ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เข้าถึงได้และตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จ"

นายวิกาส เจน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Funding Societies ประเทศไทย กล่าวว่า "การลงทุนจาก Gobi Partners จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการสนับสนุน SME ที่มีศักยภาพแต่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในประเทศไทย ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์และเหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ เรามุ่งมั่นที่จะช่วยธุรกิจเหล่านี้เติบโต โดยจัดหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตรงกับความต้องการและในเวลาที่เหมาะสม สำหรับปีนี้ เราตั้งเป้าหมายการเติบโต 30% โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และเน้นสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการใหม่ๆ ที่ช่วยผู้ประกอบการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน"

เร่งการขับเคลื่อนสินเชื่อ SME และนวัตกรรมฟินเทค

ธุรกิจ SME ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังขาดแคลนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากกว่า 87 ล้านล้านบาท (2.5ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใหญ่ในการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ Funding Societies ยังคงเป็นผู้นำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตรงตามความต้องการของ SME และการลงทุนจาก Gobi Partners จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ AI และระบบอัตโนมัติ เพื่อเร่งกระบวนการให้สินเชื่อให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยในการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การสนับสนุน SME เป็นไปอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิผลสูงสุด.

นายโธมัส จี. เฉา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน Gobi Partners กล่าวว่า “Funding Societies ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการให้สินเชื่อแก่ SME ซึ่งส่งผลกระทบเชิงบวกต่อภาคธุรกิจในภูมิภาคนี้ การลงทุนครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของเราในความสามารถของ Funding Societies ในการปรับตัวตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการขับเคลื่อนนวัตกรรมฟินเทคที่ล้ำสมัย พร้อมทั้งความสามารถเติมเต็มช่องว่างทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ SME เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือเพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการทางการเงินและเสริมสร้างศักยภาพให้กับ SME ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ Funding Societies ยังคงมุ่งมั่นในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับ SME ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ โดยที่ผ่านมา Funding Societies ได้ปล่อยสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 140,000 ล้านบาท (4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับ SME กว่า 100,000 ราย พร้อมทั้งมีมูลค่าธุรกรรมการชำระเงิน (GTV) ต่อปีมากกว่า 50,000 ล้านบาท (1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ด้วยบทบาทสำคัญของบริการทางการเงินดิจิทัลในการเพิ่มโอกาสทางการเงินในภูมิภาค ความร่วมมือกับ Gobi Partners จะช่วยให้ Funding Societies ขยายขอบเขตการให้บริการ และเพิ่มขีดความสามารถในการสนับสนุน SME ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

Funding Societies พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่กับการรักษามาตรฐานการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนชั้นนำอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จในปี 2567 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาด ผ่านการลงทุนจาก Cool Japan Fund (กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่น) และ Maybank รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินจาก HSBC ภายใต้กองทุน อาเซียน โกรท ฟันด์ เป็นปีที่สาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยสินเชื่อรวมมูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท (100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับ SME และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

Page 1 of 6
X

Right Click

No right click