

เอิร์ธ ร่วมงาน มหกรรมธงฟ้า ที่ จ.ศรีสะเกษ นำสินค้าพร้อมโปรโมชันสุดคุ้มร่วมงานกว่า 14 รายการ สนับสนุนช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ แถลง kick off การพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลสู่โลกการค้ายุคใหม่ ในงาน "เสริมแกร่งทัพการค้าไทย ด้วยบริการดิจิทัล ยุค AI" เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ เป็นประธานเปิดงานและเป็นสักขีพยาน การลงนาม MOU 2 ฉบับ ได้แก่ 1) การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยด้านการค้า ระหว่าง 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระห่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งจะบูรณาการข้อมูลด้านการค้าร่วมกัน โดยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ 2) การเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานและข้อมูล SMEs ระหว่าง DITP และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ SMEs ไทยในการเข้าถึงบริการระหว่าง 2 หน่วยงานแบบไร้รอยต่อ ทั้งนี้ ตั้งเป้าพัฒนา AI Chatbot แล้วเสร็จในปี 2569

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของกระทรวงที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ AI สาขา Generative AI จะเป็น change agent สำคัญของโลกการค้ายุคใหม่ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้าแก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้อย่างดี ช่วยให้ผู้ประกอบการซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพทางเศรษฐกิจ สามารถต่อสู้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้ ท่ามกลางตลาดโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนและความท้าทายที่ต้องปรับตัวได้เร็ว เพื่อต้องชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน และช่วยให้ผู้ส่งออกรายใหม่มีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า ครั้งนี้ ยังถือเป็นครั้งแรกที่สามารถทะลายไซโลระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรมของกระทรวง โดยมีการบูรณาการข้อมูลให้อยู่ในฐานเดียวกันแก้ pain point ของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาต้องติดต่อหลายหน่วยงานเพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำการค้าได้ครบถ้วน”

นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เสริมว่า “การพัฒนา AI Chatbot ครั้งนี้มุ่งยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้า ช่วยลดอุปสรรคของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยี ทลายข้อจำกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลกฎระเบียบการค้าที่มีปริมาณมาก ซับซ้อนเข้าใจยาก กระจัดกระจายหลายแหล่ง และเป็นภาษาต่างประเทศอื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ ช่วยให้ SMEs ไทยก้าวทันข้อมูลแนวโน้มความต้องการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อีกทั้ง AI Chatbot จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลา กำลังคนและทรัพยากรในการวิเคราะห์ข้อมูล เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออกรายเดิม และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจส่งออกรายใหม่ นอกจากนี้ AI Chatbot จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพมาตรฐานในการให้บริการข้อมูลคำปรึกษาด้านการค้าของ DITP และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งมีผู้ขอรับข้อมูลคำปรึกษารวมกัน 180,000 – 200,000 ครั้งต่อปี
นางสาวสุนันทา กล่าวต่อว่า “DITP ได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาระบบ AI Chatbot จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยมีมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้ร่วมดำเนินการร่วมกับ DITP นอกจากนี้ ยังมีทีม Hackathon อีก 2 ทีมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริษัท เวสเทิร์น กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้ามาช่วยพิสูจน์แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาต้นแบบผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า โดยใช้โมเดล AI ที่แตกต่างกันไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะคัดเลือกโมเดลที่ฉลาดหรือมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อนำมาพัฒนาเป็นบริการสำหรับผู้ประกอบการไทยต่อไป”

สำหรับ MOU ฉบับที่ 2 เป็นความร่วมมือในการเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานระบบดิจิทัลและข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ระหว่างระบบ DITP Single Sign-on (DITP SSO) กับ SME One ID ของ สสว. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานระบบของทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 255,000 ราย ให้สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลที่สำคัญระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ครบวงจร ไร้รอยต่อ ไม่ต้องลงทะเบียนหรือกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน ช่วยลดความยุ่งยากในการเข้าถึงบริการภาครัฐ และยังมีความมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลของทั้งสองหน่วยงานได้รวม 18 บริการ
พร้อมกันนี้ DITP ยังได้เปิดตัวบริการดิจิทัลใหม่ล่าสุดอีก 2 ระบบ ได้แก่ โมบายแอปพลิเคชัน DITP ONE ที่รวบรวมบริการดิจิทัลของกรมไว้ในที่เดียวในลักษณะ One Stop Service เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลที่นิยมใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ และระบบ DITP My Scores ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ความพร้อมและศักยภาพในการส่งออกของผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้ และจะได้รับคำแนะนำกิจกรรมหรือบริการที่เหมาะสม เพื่อยกระดับศักยภาพทางธุรกิจได้อย่างตรงจุด

“DITP ได้พัฒนาบริการดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงข้อมูลและบริการได้สะดวกรวดเร็ว การพัฒนาบริการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดต่อราชการของผู้รับบริการ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านราย แต่ยังเป็นการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทยท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในยุคดิจิทัล และคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยให้เป็น 1 ใน 3 ของโลก ภายในปี 2570 อีกทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการค้าไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวสุนันทา กล่าวสรุป
คต. ติวเข้มผู้ประกอบการสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย เปิดเวทีสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” พร้อมจับมือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop : SCAN ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล มุ่งเป้า SMEs และนักวิจัย ใช้นวัตกรรมต่อยอด สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และขยายโอกาสทางการค้า

นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงการดำเนินโครงการต่อยอดงานวิจัยและสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการค้า โดยเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 กรมฯ ได้จัดสัมมนา “Agri Plus Intelligence ถอดรหัสอัจฉริยะสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย จากงานวิจัยสู่ตลาดโลก” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งภาครัฐและเอกชน นักการตลาดชั้นนำ รวมถึงนักวิจัย ที่มาร่วมผสานพลังเติมเต็มองค์ความรู้ที่จะช่วยปลดล็อคศักยภาพสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้พร้อมเข้าสู่ตลาดสากล โดยมีไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ การเสวนาหัวข้อ “Agri Plus Intelligence: ถอดรหัสเทรนด์โลกและโอกาสของสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์การตลาด การวิจัย และนวัตกรรม การเสวนา “From Lab to a Billion” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และตัวแทนผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในการต่อยอดงานวิจัย มาร่วมแบ่งปันความรู้ ชี้แนะ Roadmap เส้นทางสู่ธุรกิจเกษตรมูลค่าสูง การบรรยายในหัวข้อ “Branding for Tomorrow” โดยแบรนด์กูรูชั้นนำของประเทศ และในหัวข้อ “Digital Harvest” พลิกเกมการตลาดด้วย Social Commerce และ AI” โดยนักการตลาดดิจิทัลมืออาชีพ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Business Networking เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เชื่อมโยงพันธมิตรทางธุรกิจ และการจัดแสดง “Agri Plus Showcase” โชว์ผลิตภัณฑ์เกษตรนวัตกรรมจากการต่อยอดงานวิจัยอีกด้วย

นอกจากการสัมมนาที่มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลามแล้ว กรมฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. จัด One-on-One Exclusive Workshop: Scan ธุรกิจ สำรวจนวัตกรรมองค์กร ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล ระหว่างวันที่ 17 - 19 กันยายน 2568 โดยนำทัพผู้เชี่ยวชาญมาช่วยประเมินความพร้อมในการประกอบธุรกิจแบบ Exclusive พร้อมให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการแบบครบวงจร โดยผู้เข้าร่วมได้รับแนวทางการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงการต่อยอดธุรกิจแบบ Insight เพื่อการขยายธุรกิจเกษตรนวัตกรรมสู่สากลได้อย่างเป็นรูปธรรม

รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความสำเร็จบนเวทีการค้าโลก ผลักดันมูลค่าการค้าของไทยให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันผู้ประกอบการเกษตรนวัตกรรมไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถแข่งขันในตลาดการค้าได้อย่างมีศักยภาพ ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้เกษตรกร ผ่านกลไกการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยนวัตกรรมเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ตามนโยบาย ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดสัมมนาและ Exclusive Workshop ในครั้งนี้จะเป็นแรงส่งเสริมผู้ประกอบการและนักวิจัยในการต่อยอดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ตลาดสากลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของกรมการค้าต่างประเทศ ในการส่งเสริม ผลักดัน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน และขยายโอกาสทางการค้าสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยได้อย่างยั่งยืน
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดงาน Thailand E-Commerce Expo 2025 งานอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดของไทย จัดระหว่างวันที่ 15–16 สิงหาคม 2568 ณ ทรูไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เพื่อเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยในยุคดิจิทัล เชื่อมโยงความรู้ เทคโนโลยี และเครื่องมือใหม่ๆ พบอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังกว่า 50 ชีวิต พร้อม 50 แพลตฟอร์มชั้นนำ และไฮไลท์การมอบรางวัล Thailand e-Commerce Genius 2025 เพื่อเชิดชูผู้ประกอบการ อีคอมเมิร์ซรุ่นใหม่ที่เติบโตจากการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ คาดสร้างมูลค่าการค้าได้กว่า 200 ล้านบาท
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Thailand E-Commerce Expo 2025 ณ ทรูไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ว่า ในวันนี้ (15 สิงหาคม 2568) กระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจัดงานดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 15–16 สิงหาคม 2568 เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยในยุคดิจิทัลให้สามารถแข่งขันในตลาดออนไลน์อย่างยั่งยืน เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า และขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับธุรกิจรายย่อยทั่วประเทศ
รมว.พณ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “งานนี้ถือเป็นงาน E-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ จัดต่อเนื่องขึ้นเป็นปีที่ 6 โดยปีนี้จะเน้นการเชื่อมต่อองค์ความรู้ด้านการค้าออนไลน์ เทคโนโลยี และเครื่องมือดิจิทัล ผ่านเวทีสัมมนาและกิจกรรมเชิงปฏิบัติการจากอินฟลูเอนเซอร์และ Creator ชื่อดังกว่า 50 ราย รวมถึงแพลตฟอร์มด้านอีคอมเมิร์ซชั้นนำกว่า 50 ราย ที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ตรง แชร์เทคนิคสร้างยอดขายผ่านตลาดออนไลน์ แนะนำการใช้ AI และเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ ตลอดจนเปิดพื้นที่ทดลองใช้งานจริงจากแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ Shopee, Lazada, TikTok Shop, LINE, Meta และอีกมากมาย
ภายในงานประกอบไปด้วย 6 กิจกรรมได้แก่ 1) Guru Talk เวทีถ่ายทอดความรู้จากอินฟลูเอนเซอร์และ Content Creator ชั้นนำกว่า 50 ราย ที่จะเล่าถึงวิธีการสร้างแบรนด์ สร้างไวรัลคอนเทนต์ การใช้ AI เสริมยอดขาย และการทำ Affiliate Marketing อาทิ โอม ค็อกเทล (นักร้องและนักธุรกิจชื่อดัง) ซีเค เจิง (เจ้าของแพลตฟอร์ม Fastwork), หยกทอง แม่ค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ, ทีม The Driver (โอ๊ต ปราโมทย์/พิชญ์ กาไชย/พลอย หอวัง) เจ้าของรายการที่สร้างคอนเทนต์ได้น่าสนใจ, นัทนิสา (จากอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังจนกลายเป็นเจ้าของแบรนด์ Lip It), iHaveCPU (จากแบรนด์เล็กๆ สู่ยอดขายร้อยล้าน), จือปาก (อินฟลูเอนเซอร์ที่ครองใจชาวเน็ตสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ) , RAD Cosmetics (พิม พิมประภา นักแสดงและเจ้าของแบรนด์ ที่มียอดขายอันดับ 1 ใน Tiktok), ฝ้าย ใช้เท้าแต่งหน้า (บิวตี้ครีเอเตอร์ที่มีผู้ติดตามกว่า 6 ล้านราย) และแบงค์กิ (อินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เปลี่ยนอาหารให้เป็นรายได้ จนมีผู้ติดตามกว่า 9 ล้านคน) 2) Pain-Point Fixer โซนที่รวมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั่วไทยกว่า 50 แห่ง อาทิ Lazada, Meta, NocNoc, NextGenCommerce, Shopee และ TikTok Shop พร้อมโซลูชันแก้ปัญหาเฉพาะทาง ทั้งเรื่องโลจิสติกส์ การวิเคราะห์ข้อมูล การปิดการขาย และการชำระเงิน
3) Business Consult โซนให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัวจากผู้เชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซกว่า 20 ราย ครอบคลุมทุกขั้นตอนการทำตลาดออนไลน์ 4) Review and Reward โซนจัดแสดงสินค้าออนไลน์แบรนด์ไทยจากผู้ประกอบการที่ผ่านหลักสูตร Online Marketing Genius รุ่นที่ 5 พร้อมโค้ดส่วนลดและโอกาสเข้าร่วม Affiliate กับครีเอเตอร์ 5) E-Commerce Lab พื้นที่ทดลองและ Workshop การขายออนไลน์จริง เสริมสร้างทักษะผู้ประกอบการผ่านการจำลองสถานการณ์ และ6) DBD Online Mega Sale โปรโมชันพิเศษบน Shopee ผ่านหน้าแลนดิ้งเพจ “สุขใจซื้อของไทย” พร้อมคูปองส่วนลดภายใต้โค้ด “DBD50” รวมมูลค่ากว่า 205,000 บาท ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้
ประกอบการเข้าร่วมงานทั้งออฟไลน์และออนไลน์รวมกว่า 10,000 ราย สร้างมูลค่าการค้ากว่า 200 ล้านบาท โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยจะได้รับแรงบันดาลใจในการขยายตลาดและพัฒนาธุรกิจออนไลน์ พร้อมทั้งได้เชื่อมโยงกับพันธมิตรใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ในวันนี้ยังมีกิจกรรมไฮไลท์อีกหนึ่งกิจกรรมคือ การมอบรางวัล Thailand e-Commerce Genius 2025 ซึ่งเป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากโครงการ Online Marketing Genius รุ่นที่ 5 (OMG#5) หลักสูตรเข้มข้นที่จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 โดยผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี AI การทำคลิปวิดีโอ การปักตะกร้า และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ก่อนจะผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มข้น จนได้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม One-on-One Coaching ระยะเวลา 1 เดือนเต็มกับผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง จำนวน 50 ราย และคัดเหลือ 10 รายสุดท้าย สู่รอบชิงชนะเลิศครั้งนี้
การมอบรางวัลในวันนี้ประกอบไปด้วย 3 ประเภทรางวัลคือ 1) รางวัลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มูลค่ารวม 100,000 บาท พร้อมโล่ ใบประกาศนียบัตร และรางวัลสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ AIS, Flash Express, LINE และ Shopee มูลค่ารวม 579,476 บาท โดยแบ่งเป็น รางวัลชนะเลิศ คือ คุณอิทธิกร เทพมณี แบรนด์ JAIKLA ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท โล่ พร้อมประกาศนียบัตร สิทธิพิเศษจาก Flash Express แพคเกจส่งเสริมธุรกิจ (ส่งสินค้าในราคาพิเศษ) กับช่องทางประชาสัมพันธ์ธุรกิจผ่าน Flash Express และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็นหนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 749 บาท จำนวน 6 เดือน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 คือ คุณซูลกิฟลี มะเต๊ะ แบรนด์ Hobee ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท โล่ พร้อมใบประกาศนียบัตร และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็นหนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 499 บาท จำนวน 6 เดือน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ คุณอนุวัช อินปลัด แบรนด์ไทยทิชชู ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท โล่ พร้อมใบประกาศนียบัตร และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็น
หนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 499 บาท จำนวน 6 เดือน และรางวัลชมเชย คือ คุณดวงสมร ผุดผ่อง แบรนด์ Fur a Friend ได้รับโล่ พร้อมใบประกาศนียบัตร และสิทธิพิเศษจาก AIS ซิมเป็นหนึ่งพร้อมแพกเกจมูลค่า 499 บาท จำนวน 6 เดือน
2) รางวัลพิเศษจาก LINE ร่วมสนับสนุนให้เป็น Success Case ซึ่งจะได้รับการโปรโมทผ่านช่องทางของ LINE พร้อมของที่ระลึกผ้าห่มลิขสิทธิ์ LINE Friends จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ คุณดวงสมร ผุดผ่อง แบรนด์ Fur a Friend, คุณณัฐพร กิตติพงษ์ถาวร แบรนด์ Mami Cover และคุณจิณณ์ณณัช ธนะพิทักษ์ แบรนด์ Grase และ 3) รางวัล Shopee Awards for Thailand E-commerce Genius จำนวน 3 รางวัล ได้แก่ คุณอิทธิกร เทพมณี แบรนด์ JAIKLA ได้รับพื้นที่ในการโปรโมทร้านค้าบนแลนดิ้งเพจ “สุขใจซื้อของไทย” ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2568 พร้อม Shopee Voucher มูลค่า 3,000 บาท, คุณธนวชร หนูแสง แบรนด์ Muscle Chef ได้รับ Shopee Voucher มูลค่า 2,000 บาท และคุณดวงสมร ผุดผ่อง แบรนด์ Fur a Friend ได้รับ Shopee Voucher มูลค่า 1,000 บาท
รมว.พณ. กล่าวปิดท้ายว่า “โอกาสนี้ผมขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และเป็นกำลังใจกับผู้ประกอบการไทย ขอให้มีพลังสร้างสรรค์ธุรกิจสู่อนาคต และภูมิใจในตัวเองว่าท่านคือแรงสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยประกอบกับขอให้ความสำคัญกับการค้าออนไลน์ที่จะไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือโอกาสในการเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ผลักดันและเสริมปัจจัยต่างๆ ให้ผู้ประกอบการมีความรู้ที่ทันสมัย และมีเครื่องมือทางการตลาดที่ดี โดยงานนี้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพสูงมาก พร้อมที่จะพัฒนาไปสู่แบรนด์ระดับประเทศ และเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดโลก”