December 05, 2025

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) พร้อมการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เปิดตัว “โครงการฝึกอบรมหลักสูตรเชฟอาหารไทยมืออาชีพ (Master Thai Chef Program) หลักสูตรอาหารเจ (Vegetarian Food)” มุ่งใช้ “อาหารไทย” เป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเสริมศักยภาพบุคลากรด้านอาหารไทยในระดับสากล 

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศ ยกระดับศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ระดับสากล โดยขับเคลื่อนผ่านนโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” 4 ให้ 1 ปฏิรูป ให้ทักษะใหม่ให้เครื่องมือทันสมัย ให้โอกาสโตไกล ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน และปฏิรูปดีพร้อมสู่องค์กรที่ทันสมัย โดยร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) พร้อมการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ดำเนินโครงการฝึกอบรมหลักสูตรเชฟอาหารไทยมืออาชีพ (Master Thai Chef Program) หลักสูตรอาหารเจ (Vegetarian Food) ด้วยการ “สร้างสรรค์และต่อยอด” ให้เกิดเสน่ห์ คุณค่า และเพิ่มมูลค่า “โน้มน้าว” ให้เกิดการยอมรับ เปิดใจ และต้องการ “เผยแพร่” ให้เป็นที่รู้จัก

นางสาวจุฑารัตน์ อาชวรัตน์ถาวร ผู้อำนวยการกองโลจิสติกส์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในเทศกาลกินเจของทุกปีนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการซื้อวัตถุดิบอาหารเจ อาหารพร้อมทาน และการใช้บริการร้านอาหาร ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ในระบบเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการท้องถิ่น เกษตรกรผู้ปลูกวัตถุดิบ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีรายได้เพิ่มขึ้น และยังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ต่างๆ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) จึงมีแนวคิดการดำเนินโครงการ Master Thai Chef Program หลักสูตรอาหารเจ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเชฟมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างทุนมนุษย์ผ่านการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ให้กับผู้ที่เข้าร่วมโครงการ สามารถนำเอาศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น มาต่อยอดเมนูอาหารเจ นับเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน และยกระดับภาพลักษณ์ประเทศไทยในเวทีโลก โดยผู้เข้าร่วมอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รวมกว่า 242 ชั่วโมง ถ่ายทอดความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญอาหารไทยและอาหารเจ พร้อมระบบการวัดและประเมินผลตามมาตรฐานวิชาชีพ ผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์จะได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) หรือ ใบรับรองผู้สัมผัสอาหารจากกรมอนามัย ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญในการประกอบอาชีพในธุรกิจอาหาร โรงแรม และบริการด้านอาหารระดับนานาชาติ

ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในฐานะผู้ร่วมดำเนินการพัฒนาหลักสูตรนี้ เล็งเห็นความสำคัญในการนำเมนูอาหารไทย และวัตถุดิบในท้องถิ่นมาใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยการนำเสน่ห์และภูมิปัญญาอาหารต้นตำรับ มาผสมผสานกับแนวคิดอาหารสุขภาพและอาหารทางเลือก ควบคู่กับการสร้างเครือข่ายเชฟรุ่นใหม่ที่สามารถต่อยอดอาหารไทยในมิติสุขภาพให้สามารถเติบโตในตลาดระดับสากล โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาบุคลากรเชฟมืออาชีพในหลักสูตรอาหารเจ จำนวน 500 คน ครอบคลุมพื้นที่ ภูเก็ต นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี นนทบุรี และปทุมธานี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง โดยจะเปิดอบรมทั้งหมด 5 รุ่น ระหว่างเดือน กันยายน 2568 – มกราคม 2569 โดยเริ่มการอบรมรุ่นแรกในเดือนตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  http://rmutt.ac.th หรือทาง https://ofos.thacca.go.th/course/SpecialCourse  

 

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) โดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ National Pingtung University ประเทศไต้หวัน และสมาคม IEEE เตรียมจัดการประชุมวิชาการนานาชาติด้านการจัดการเทคโนโลยีและวิศวกรรม IEEE Technology and Engineering Management Society Conference: Asia-Pacific 2025 (IEEE TEMSCON-ASPAC 2025) ภายใต้หัวข้อ “Achieving Competitiveness in the Age of AI and Big Data Analytics” ระหว่างวันที่ 13–16 กันยายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร

รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี เผยว่า การประชุมครั้งนี้นับเป็นเวทีวิชาการสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักวิจัย นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศนำเสนอผลงาน แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม อันจะช่วยผลักดันผลงานวิจัยของไทยสู่ระดับสากล พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมด้านวิศวกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ การประชุมวิชาการครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยให้สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและโมเดล BCG Economy

ทางด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิพัทธ์ จงสวัสดิ์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่มเติมว่า การที่มหาวิทยาลัยได้เป็นเจ้าภาพร่วมจัดประชุมนานาชาติ IEEE TEMSCON-ASPAC 2025 สะท้อนถึงศักยภาพด้านวิชาการและการวิจัยของไทยที่ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งยังเป็นเวทีสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติ อันจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ยังได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ โดยการประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ยกระดับผลงานวิจัยสู่สากล และเชื่อมโยงองค์ความรู้สู่ภาคอุตสาหกรรมและสังคม

งานประชุม IEEE TEMSCON-ASPAC 2025 จึงไม่เพียงเป็นเวทีทางวิชาการ หากยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากำลังคนคุณภาพ และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี   และนวัตกรรมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย (The Federation of Thai SME Association) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ จัดตั้งศูนย์ปัญญาประดิษฐ์สำหรับเอสเอ็มอี (AI Center for SME) อย่างเป็นทางการ เพื่อผลักดันการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและสากล ณ ห้องเมธาวี ชั้น 5 อาคารวิทยบริการ สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มทร.ธัญบุรี

การก่อตั้งศูนย์ฯ มีเป้าหมายชัดเจนในการ สร้างระบบนิเวศด้าน AI สำหรับ SME โดยเน้นการบูรณาการองค์ความรู้จากภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และสมาคมวิชาชีพ เข้าสู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม ครอบคลุมทั้ง การวิจัยและพัฒนา (R&D) การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอบรมบุคลากร และการสร้างต้นแบบนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยให้ SME สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และขยายตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า ความร่วมมือนี้สะท้อนพันธกิจอีกบทบาทหนึ่งในการเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนและประเทศชาติ โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือในการยกระดับ SME โดยศูนย์ฯดังกล่าวจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลก ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยได้เรียนรู้และทำงานร่วมกับภาคธุรกิจจริง อันจะนำไปสู่การสร้างกำลังคนคุณภาพสูงที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่

ด้าน ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า AI Center for SME เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้าน AI และเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงกับ SME เข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สร้างรายได้เพิ่มให้กับ SME ด้วย แพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับบริบทของ SME นั้น ๆ เนื่องจาก SME คือฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถ้า SME ของประเทศไทย เข้มแข็งจะส่งผลโดยตรงให้ประเทศไทยสามารถสร้างนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม และแข่งขันกับตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

ขณะที่ ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) กล่าวถึงแนวทางดำเนินงานว่า ศูนย์ฯ จะมุ่งเน้นการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในสาขาหลักที่ SME ไทยมีศักยภาพสูง เช่น การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming), การผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing), การค้าปลีกดิจิทัล และการบริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมพัฒนาโมเดลต้นแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในธุรกิจ ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปิดศูนย์ แต่คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับเศรษฐกิจไทย

ส่วน ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เน้นย้ำว่า ความร่วมมือนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ SME ไทยในเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ซึ่งจะเป็นเหมือนคลินิกธุรกิจสำหรับ SME ที่ต้องการใช้ AI เพื่อปรับตัวและเติบโต ลดต้นทุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

การจัดตั้ง AI Center for SME นี้ เป็นความร่วมมือกันหลายภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และเครือข่าย SME ในการสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยศูนย์ฯ จะเริ่มเดินหน้ากิจกรรมและโครงการนำร่องตั้งแต่ปลายปีนี้ เพื่อปูทางไปสู่การเป็น ศูนย์กลางความร่วมมือด้าน AI สำหรับ SME แห่งแรกของประเทศ.

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) จัดงานมหกรรมวิจัยและนวัตกรรมครั้งยิ่งใหญ่ RMUTT EXPO 2025” ภายใต้แนวคิด “RMUTT NEXT พลิกโฉมงานวิจัย สร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” โดยมี ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด ณ หอประชุมราชมงคล มทร.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ซึ่งการจัดงานครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยที่มุ่งมั่นยกระดับผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์จริง สอดคล้องกับนโยบาย “สร้างปัญญา เปิดโอกาส สร้างอนาคต” และตอบรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ

รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดี มทร.ธัญบุรี เปิดเผยว่า ภายในงานจะเต็มไปด้วยกิจกรรมและการแสดงผลงานที่สะท้อนศักยภาพของนักวิจัย บุคลากร และนักศึกษา อาทิ นิทรรศการ “งานวิจัยพร้อมขาย” (Ready to Launch) ที่คัดสรรผลงานวิจัยคุณภาพ ทั้งที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติและจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว นอกจากนี้ยังมีการนำผลงานวิจัยที่ร่วมพัฒนากับชุมชนมาจัดแสดงในรูปแบบตลาดชุมชน สะท้อนความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและท้องถิ่น อีกทั้งยังเปิดเวทีให้อาจารย์และนักศึกษาได้เข้าประกวดผลงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ในเวที “RMUTT Innovation and Invention Awards 2025” เพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ศ.ดร.กฤษณ์ชนม์ ภูมิกิตติพิชญ์ รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวเสริมว่า งานครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง มีผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน จากทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พร้อมนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมกว่า 400 ผลงาน โดยใช้หลักการ NUDIV (Novelty–Uniqueness–Differentiation–Innovation–Value) เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน ซึ่งผลงานที่จัดแสดงครอบคลุมตั้งแต่งานวิจัยสิ่งประดิษฐ์ งานวิจัยพร้อมขาย ไปจนถึงงานวิจัยจากชุมชน ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพร้อมของมหาวิทยาลัยในการก้าวสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยนวัตกรรม” ที่ผลิตนักวิจัยและนวัตกรรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

รศ.ดร.เกียรติศักดิ์ แสงประดิษฐ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มทร.ธัญบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า วันแรกของการจัดงานในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พร้อมการเสวนาในหัวข้อ “กลยุทธ์พลิกโฉมงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์” และการบรรยายพิเศษเรื่อง “Storytelling for Research Pitching” เพื่อเสริมทักษะในการนำเสนองานวิจัยแก่แหล่งทุนได้อย่างน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ส่วนวันที่ 30 สิงหาคม 2568 จะมีเวทีเสวนาพิเศษหัวข้อ “Inspiring Innovation: งานวิจัยไทยในมุมมองระดับสากล” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้นักวิจัยและนวัตกรรุ่นใหม่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยพิธีมอบโล่และเกียรติบัตรแก่ผลงานที่ได้รับรางวัล

การจัดงาน “RMUTT EXPO 2025” จึงนับเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และชุมชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม และที่สำคัญยังเป็นโอกาสให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักว่า งานวิจัยไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่เป็น “พลังขับเคลื่อน” ที่จะนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

สถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้จังหวัดปราจีนบุรี โดยเฉพาะอำเภอกบินทร์บุรี เตรียมพร้อมรับมือทุกด้าน จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 8 แห่ง รองรับผู้อพยพได้ถึง 16,000 คน ขณะที่ มทร.ธัญบุรี วิทยาเขตปราจีนบุรี เปิดพื้นที่เป็นศูนย์รับผู้อพยพรองรับได้ 2,000 คน พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคช่วยเหลือทั้งผู้ลี้ภัยและผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ

จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายแดนของจังหวัดสระแก้วและอาจมีการอพยพของประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเข้ามายังจังหวัดใกล้เคียง จังหวัดปราจีนบุรี โดยเฉพาะอำเภอกบินทร์บุรี ได้ประกาศเตรียมความพร้อมเพื่อรับมืออย่างเร่งด่วน โดยได้มีการจัดเตรียมสถานที่พักพิงชั่วคราวจำนวนทั้งสิ้น 8 แห่ง ภายในเขตจังหวัดปราจีนบุรี รองรับผู้อพยพได้สูงสุดถึง 16,000 คน เพื่อให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

หนึ่งในหน่วยงานที่เข้าร่วมสนับสนุนอย่างเต็มที่คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) วิทยาเขตปราจีนบุรี ซึ่งได้เปิดพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยจัดตั้งเป็น ศูนย์รับผู้อพยพ (สำรอง 1) สามารถรองรับประชาชนที่ต้องอพยพจากพื้นที่ชายแดนได้สูงสุดถึง 2,000 คน

 

ขณะเดียวกัน มทร.ธัญบุรี ยังได้ขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคสิ่งของจำเป็น อาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม และชุดเครื่องนอน (การบริจาคจะรับเฉพาะสิ่งของจำเป็นเท่านั้น ไม่รับบริจาคในรูปแบบเงินสดหรือเงินโอนทุกกรณี) เพื่อช่วยเหลือทั้งผู้ลี้ภัยจากสถานการณ์ชายแดนและผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือที่ยังคงเผชิญกับสภาวะวิกฤต ประชาชนที่ประสงค์จะร่วมบริจาคสิ่งของสามารถนำมามอบได้ที่ ศูนย์รักษาความปลอดภัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (บริเวณข้างสนามกีฬากลาง) โทรศัพท์ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม: 02-549-3195

นอกจากนี้ มทร.ธัญบุรี ยังให้ความสำคัญในการสำรองโลหิตเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ชายแดน โดยได้เชิญชวนนักศึกษา บุคลากร และประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคโลหิตเพื่อสนับสนุนการรักษาทั้งทหารและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ทางจังหวัดปราจีนบุรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ในทุกมิติ ทั้งด้านที่พักพิง ความปลอดภัย และสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click