

บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO โดย บริษัท นีโอ แฟคทอรี่ จำกัด จับมือ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ปั้นสินค้า FMCG ตอบโจทย์ผู้คนทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรม ครอบคลุมวิทยาศาสตร์สุขภาพของคนรวมถึงสัตว์เลี้ยง เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์และวัสดุภัณฑ์ ตลอดจนมิติด้าน ESG ตอกย้ำบทบาท “Segment Creator” ผู้นำด้านนวัตกรรม FMCG เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน พร้อมสร้างคุณค่าให้โลกและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
![]()
นางสาวณิชมน ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายนวัตกรรมธุรกิจ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผู้บริโภคปัจจุบันมีความต้องการที่หลากหลาย จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัย ตลอดจนปัจจัยทางสังคมและเทคโนโลยี ทั้งด้านความใส่ใจต่อสุขภาพ หรือความต้องการผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคล (Personalization) นีโอในฐานะ Segment Creator ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เราจึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยและเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์และวัสดุภัณฑ์ การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและพัฒนากระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิธีการจัดการขยะ (Waste Management) ที่มีประสิทธิภาพ โดยนำวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตรหรืออุตสาหกรรมมาเพิ่มมูลค่าให้ได้ประโยชน์สูงสุด พร้อมยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาและนักวิจัยได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในภาคอุตสาหกรรม”
“ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของนีโอ ซึ่งตอกย้ำกลยุทธ์ ‘Innovation-led Premiumization’ ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อขยายเซกเมนต์ใหม่ ๆ โดยเชื่อมโยงงานวิจัยสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าออกผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่น้อยกว่า 100 SKUs ในแต่ละปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกช่วงวัยและทุกไลฟ์สไตล์ สู่เป้าหมายในการเป็น FMCG ที่ช่วยยกระดับการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นในทุกวันให้กับผู้บริโภค (Uplift the Essentials for Everyday Betterment) ควบคู่กับแนวทางดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับหลัก ESG เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวณิชมน กล่าวเพิ่มเติม
![]()
ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ นีโอในครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ มหาวิทยาลัยได้ส่งเสริมและผลักดันงานวิจัยที่มีประโยชน์ทั้งเชิงพาณิชย์และสังคม เป้าหมายคือการเป็น 1 ใน 5 มหาวิทยาลัยไทยที่มีคุณภาพงานวิจัยโดดเด่นและเข้าสู่กลุ่มอันดับ 1001-1200 ของโลกในปี 2570 ความร่วมมือนี้ไม่เพียงขับเคลื่อนเป้าหมายมหาวิทยาลัย แต่ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาและคณาจารย์ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อเสริมทักษะการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้สู่ระดับสากล ทั้งนี้จากที่นีโอได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับนักวิจัยของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ที่ยั่งยืน ทางมหาวิทยาลัยจึงได้มอบรางวัล " Excellence in Sustainable Research Collaboration Award" (รางวัลความเป็นเลิศด้านความร่วมมือในการวิจัยอย่างยั่งยืน) ให้แก่นีโอซึ่งเป็นบริษัทเอกชนแห่งแรกที่ทาง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มอบรางวัลนี้ให้”
นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีมอบ “โครงการฟาร์มสาธิตการเลี้ยงสุกรขุนและไก่ไข่ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm)” ที่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สนับสนุนแก่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อยกระดับภาคปศุสัตว์ไทยสู่ 4.0 หนุนศูนย์สมาร์ทฟาร์มของมหาวิทยาลัย และร่วมพัฒนาวิชาการเกษตรสมัยใหม่ ถ่ายทอดสู่นักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจ
![]()
นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และซีพีเอฟ ร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับภาคปศุสัตว์ของไทยด้วยนวัตกรรมสู่ยุค 4.0 ด้วยการดำเนินโครงการความร่วมมือทางวิชาการ “โครงการฟาร์มสาธิตการเลี้ยงสุกรขุนและไก่ไข่ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm)” มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อให้เป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาตรฐานสากลภายใต้ระบบปิด (EVAP) เป็นฟาร์มรักษ์โลกที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานฟาร์มสีเขียว หรือกรีนฟาร์ม สำหรับพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ฝึกทักษะภาคปศุสัตว์ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เป็นสถานที่ศึกษาทดลองและวิจัยด้านเทคโนโลยีการเกษตร ของนักศึกษาของสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร รวมถึงส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้แก่คณาจารย์ ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการ พร้อมทั้งพัฒนาฟาร์มให้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาเรียนรู้ที่ทันสมัย ของนักศึกษาซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่สามารถต่อยอดสู่การเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่นต่อไป
“โครงการฟาร์มสาธิตฯ ถือเป็นความร่วมมือทางวิชาการและกิจการเพื่อสังคมที่ซีพีเอฟตั้งใจส่งมอบให้กับมหาวิทยาลัย ช่วยผลักดันการพัฒนาทางวิชาการและองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัย สู่บุคลากรให้มีทักษะด้านการผลิตเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร โดยบริษัทสนับสนุนงบประมาณ และผู้เชี่ยวชาญร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้กับบุคลากรและนักศึกษา กระทั่งสามารถนำเทคนิควิชาการไปขับเคลื่อนโครงการได้อย่างยั่งยืน" นายสิริพงศ์ กล่าว
![]()
นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ม.วลัยลักษณ์และซีพีเอฟ มีเป้าหมายเดียวกันในการมุ่งพัฒนากำลังคนด้านการเกษตรสมัยใหม่ และพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมของไทย ตลอดระยะเวลาการผนึกกำลังในการดำเนินโครงการฯ มานานกว่า 3 ปี โรงเรือนสาธิตฯสุกรขุนและไก่ไข่ในระบบปิดอัตโนมัติ ภายใต้กระบวนการบริหารจัดการฟาร์มในรูปแบบกรีนฟาร์ม กลายเป็นศูนย์สาธิตและฝึกอบรมด้านปศุสัตว์ให้แก่นักศึกษาที่สามารถเรียนรู้และฝึกปฏิบัติงานในฟาร์ม เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ที่พวกเขานำไปเป็นพื้นฐานการทำงาน หรือประกอบอาชีพได้ในอนาคต ขณะเดียวกันยังเป็นการสนับสนุนนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ที่ได้รับ สู่ชุมชนและเกษตรกร ผ่านกลไกของศูนย์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้การผลิตสัตว์มีคุณภาพ ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค
![]()
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ม.วลัยลักษณ์ มุ่งมั่นผลักดัน “ศูนย์สมาร์ทฟาร์ม” เพื่อพัฒนาฟาร์มมหาวิทยาลัยเดิม ให้เป็นการบริหารฟาร์มโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งด้านพืชสวน พืชไร่ ปศุสัตว์ และประมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคปศุสัตว์ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากซีพีเอฟ ที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้ระดับโลก เข้ามาส่งเสริมและพัฒนาระบบการเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์แก่นักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจ ให้สามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนาผลผลิตให้มีคุณภาพ สามารถลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิต อันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาชีพให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน พร้อมสนับสนุนสู่การเป็นแหล่งค้นคว้า วิจัยพัฒนาที่ยั่งยืนของเกษตรกรชาวนครศรีธรรมราช และภูมิภาคใกล้เคียง อันจะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของเกษตรกรอย่างแน่นอน./