

โรคหัวใจและหลอดเลือด (CVDs) กำลังกลายเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะกับผู้ที่อายุน้อยกว่า 60 ปี แม้โรคนี้จะเคยพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุจากความเสื่อมตามวัย แต่ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิตสมัยใหม่เป็นตัวเร่งให้เกิดโรคเร็วขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล เช่น อาหารไขมันสูง การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ นำไปสู่โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูงตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ ความผิดปกติแต่กำเนิดและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อก็มีส่วนในการก่อโรคด้วยเช่นกัน สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) รายงานว่า โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งรวมถึงโรคลิ้นหัวใจ ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก โดยคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 20.5 ล้านคนต่อปี (1)
โรคลิ้นหัวใจคือความผิดปกติที่ส่งผลกระทบต่อลิ้นหัวใจ โดยหลัก ๆ แล้วคือภาวะลิ้นหัวใจตีบ (stenosis) หรือลิ้นหัวใจรั่ว (regurgitation) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ซึ่งเป็นภาวะที่ลิ้นหัวใจแคบลงจนขัดขวางการไหลของเลือดจากหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น หัวใจล้มเหลว หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยที่มีภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงอาจมีอาการเหนื่อยผิดปกติ แน่นหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หน้ามืดเป็นลม หรือขาบวม อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณให้ต้องไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีภัยเงียบที่น่ากังวลนั่นก็คือ ผู้ป่วยภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรงถึง 33–50% ไม่มีอาการใด ๆ ในขณะที่ได้รับการวินิจฉัย (2,3) โดยการวินิจฉัยประกอบด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและความเร่งด่วนในการรักษา

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจถือเป็นแนวทางการรักษามาตรฐาน (gold standard) สำหรับภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบขั้นรุนแรง รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า ข้อดีของการผ่าตัดคือการฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ ผลวิจัยยังชี้ว่าการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดโดยรวมได้ (4) ทุกวันนี้ เทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยทำให้การผ่าตัดลิ้นหัวใจปลอดภัยยิ่งขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะการผ่าตัดแผลเล็ก (minimally invasive) และการใช้กล้องส่อง (endoscopic) ที่ช่วยให้แผลมีขนาดเล็ก ฟื้นตัวเร็ว เจ็บน้อย และลดระยะเวลาพักในโรงพยาบาล
การเปลี่ยนลิ้นหัวใจใช้ลิ้นหัวใจเทียมได้สองประเภท คือ ชนิดเนื้อเยื่อ (bioprosthetic) หรือชนิดโลหะ (mechanical) ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อซึ่งทำจากเนื้อเยื่อเยื่อหุ้มหัวใจวัวหรือลิ้นหัวใจหมู มีลักษณะและการทำงานใกล้เคียงกับลิ้นหัวใจธรรมชาติ และที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต ทำให้เหมาะสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออก หรือผู้ที่ไม่สามารถจัดการการใช้ยาได้ แม้ลิ้นหัวใจชนิดนี้จะมีอายุใช้งานประมาณ 10–20 ปี ซึ่งทำให้ผู้ป่วยอายุน้อยอาจต้องเปลี่ยนซ้ำ แต่ลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อรุ่นใหม่มีความทนทานมากขึ้น ก็ถือเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้ยาวนานและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตหลังการผ่าตัดได้ดีขึ้น
นอกจากแนวทางการรักษามาตราฐานด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกโดยผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation - TAVI) เป็นหัตถการแผลเล็กที่สอดลิ้นหัวใจใหม่เข้าไปผ่านสายสวน ซึ่งมักทำผ่านหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบ TAVI ได้รับการแนะนำเป็นหลักสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัดเปิดหน้าอก และยังเปิดโอกาสให้สามารถทำหัตถการแบบ Valve-in-Valve ในอนาคตได้อีกด้วย
ความก้าวหน้าทางการแพทย์ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคลิ้นหัวใจไปสู่แผนการดูแลระยะยาวที่เน้นการเพิ่มคุณภาพชีวิต รศ.นพ.ปรัญญา กล่าวว่า การบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจคือกระบวนการต่อเนื่องที่ครอบคลุมมากกว่าการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว

"การบริหารจัดการตลอดช่วงชีวิต" (Lifetime Management) นับเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในไทย เพราะการเลือกลิ้นหัวใจเทียมในครั้งแรก ส่งผลต่อทางเลือกการรักษาในอนาคต ตัวอย่างเช่น หากสตรีวัยเจริญพันธุ์ได้รับลิ้นหัวใจชนิดเนื้อเยื่อ อาจมีอายุยืนยาวกว่าอายุการใช้งานของลิ้นหัวใจนั้น ดังนั้น การวางแผนเผื่อการทำหัตถการ TAVI แบบ Valve-in-Valve ในอนาคต จึงกลายเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษา
การนำหลักการ Lifetime Management มาใช้ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา (Heart Team) และการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วย ปัจจัยสำคัญได้แก่:
แนวทาง Lifetime Management แบบบูรณาการนี้ ได้รับการสนับสนุนจากความก้าวหน้าทั้งด้านทักษะการผ่าตัดและเทคโนโลยีลิ้นหัวใจ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการโรคลิ้นหัวใจเอออร์ติก โดยมอบทางเลือกที่หลากหลายให้ผู้ป่วย รวมถึงคนรุ่นใหม่ นอกเหนือจากการรักษาแบบเดิม ๆ ท้ายที่สุดแล้ว แผนการรักษาจะถูกกำหนดผ่านการตัดสินใจอย่างรอบด้านระหว่างผู้ป่วย ครอบครัว และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแลที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพที่ยั่งยืน
แหล่งอ้างอิง:
โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ หรือ “SiPH” อีกหนึ่งโรงพยาบาลภายใต้การดูแลและกำกับโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ก้าวสู่ปีที่ 14 พร้อมเดินหน้าสานต่อแนวคิด “ผู้รับ ผู้ให้” เดินหน้าขยายพื้นที่ ICU รองรับผู้ป่วยวิกฤตเพิ่ม 17 เตียง เปิดหน่วยดูแลผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังใกล้ชิดเป็นพิเศษ หรือ High Dependency Unit (HDU) พร้อมยกระดับการรักษาด้วยเทคโนโลยี AI ปัญญาประดิษฐ์ในการช่วยวินิจฉัยและหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-assisted da Vinci Surgery) ครอบคลุมการผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ การผ่าตัดในช่องท้อง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าและสะโพกเทียม เป็นต้น
ศาสตราจารย์ นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า “ปัจจุบัน คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีอายุครบรอบ 137 ปี ด้วยเพราะชาวศิริราชทุกรุ่นช่วยกันมุ่งมั่นทุ่มเทปฏิบัติงานตาม พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็น ‘สถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน’ โดยมีภารกิจในการดูแลผู้ป่วยทุกฐานะ มอบการศึกษาเพื่อผลิตบัณฑิตแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมสร้างองค์ความรู้ใหม่ ผ่านกระบวนการทำวิจัยและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่มวลมนุษยชาติ และรองรับผู้ป่วยที่โรงพยาบาลศิริราชเพิ่มมากขึ้นในทุกปี โดยปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา โรงพยาบาลศิริราชมีผู้ป่วยมาใช้บริการที่เป็นผู้ป่วยนอกมากกว่าสามล้านรายและผู้ป่วยในมากกว่าหนึ่งแสนราย ผู้ป่วยของโรงพยาบาลศิริราชส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ค่อนข้างจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีขั้นสูงในการรักษาทำให้มีค่าใช้จ่ายในการรักษาของผู้ป่วยสูงมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับงบประมาณจากการบริการสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและประกันสังคม โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เป็นหนึ่งโครงการของ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ด้วยแนวคิด ‘ผู้รับ ผู้ให้’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้จากการบริการทางการแพทย์คืนสู่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ศิริราช ทุกครั้งที่ผู้รับบริการได้รับการดูแลรักษา ทุกคนจะเป็น ‘ผู้รับ’ และ ‘ผู้ให้’ ในเวลาเดียวกัน และเป็นหนึ่งในพลังบวกที่ได้ร่วมช่วยเหลือและ สร้างโอกาสทางสุขภาพที่ดีให้กับผู้ป่วยที่ขาดแคลนอีกหลายชีวิตที่โรงพยาบาลศิริราช และยังเป็นการช่วยพัฒนายกระดับ การแพทย์ไทยสู่ความเป็นเลิศในเอเชียอาคเนย์สืบต่อปณิธาน ผู้รับ ผู้ให้ ที่มุ่งสร้างประโยชน์เพื่อส่วนรวม”
![]()
ศาสตราจารย์ นายแพทย์กฤตย์วิกรม ดุรงค์พิศิษฏ์กุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ กล่าวว่า “ในโอกาสเข้าสู่การดำเนินการในปีที่ 14 ทางเราได้วางแผนการให้บริการและดูแลผู้ป่วยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยวิกฤต ในปี พ.ศ. 2567 ได้เปิดบริการ Respiratory Care Unit (RCU) เพื่อดูแลผู้ป่วยวิกฤตทางเดินหายใจโดยแยกพื้นที่พิเศษ เพื่อการดูแลเฉพาะทางที่มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจอย่างรุนแรง หรือจำเป็นต้องได้รับการช่วยหายใจอย่างใกล้ชิด เช่น ผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรังระยะรุนแรง ผู้ที่ติดเชื้อในปอดอย่างรุนแรง พร้อมทั้งการขยายพื้นที่ผู้ป่วยวิกฤต ICU เพิ่มในช่วงปลายปี พ.ศ. 2568 โดยจะเปิดบริการเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 17 เตียง โดยจำนวนเตียงรวมทั้งสิ้น 89 เตียง นอกจากนี้มีแผนการเปิด High Dependency Unit (HDU) เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ต้องได้รับการเฝ้าระวังใกล้ชิดเป็นพิเศษ สำหรับดูแลผู้ป่วยที่อาการรุนแรง ‘ระดับกลาง’ คือ อาการยังไม่ถึงขั้นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือยังไม่รุนแรงที่จะต้องเข้า ICU ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่มี อายุมากต้องการการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด รวมถึงมีภาวะเปราะบางและต้องการการบริบาลแบบใส่ใจใกล้ชิด ในส่วนของการพัฒนามาตรฐานการรักษา ทางโรงพยาบาลได้ยกระดับการดูแลรักษาผ่านการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ เทคโนโลยี AI ปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาช่วยและสนับสนุนเพื่อวิเคราะห์และสร้างความแม่นยำในการวินิจฉัยและรักษามากยิ่งขึ้น รวมทั้ง การนำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic-assisted da Vinci Surgery) มาใช้ในหัตถการที่ต้องการความละเอียดสูง ทั้งการผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ การผ่าตัดในช่องท้อง ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าและสะโพกเทียม โดยทำหน้าที่ควบคู่กับศัลยแพทย์ที่มี ความเชี่ยวชาญการผ่าตัด ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ทั้งความปลอดภัย เพิ่มโอกาสการกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างปกติให้กับผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาที่เรายึดมั่น คือ การดูแลด้วยหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรของ SiPH อย่างเต็มความสามารถ ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่ส่งต่อกันมาจากศิริราชสู่ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในโอกาสที่ก้าวสู่ปีที่ 14 ของเรา ได้สานต่อแนวคิด ‘ผู้รับ ผู้ให้’ ผ่านวิดีโอเรื่อง ‘Pass the chance’ เพื่อสร้างมุมมองให้สังคมตระหนักถึงการเป็น ‘ผู้ให้’ เพราะทุกครั้งที่คุณมาที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ คุณได้มากกว่าการรักษา คือได้ให้ การให้ที่ส่งต่อไปยังผู้ป่วยอีกมากมายที่โรงพยาบาลศิริราชให้มีโอกาสได้รับ การรักษาด้วยเช่นกัน ทั้งช่วยลดความแออัด และเป็นการขยายการบริการทางการแพทย์ให้เพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการ พร้อมทั้งมอบโอกาสในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น สร้างรอยยิ้ม ความสุข และความหวังให้กับทุกคน”
บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย ร่วมกับ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พร้อมพันธมิตรชั้นนำ เดินหน้าจัดงาน “Rethink Pink We Care” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ภายใต้แนวคิด “ห่วงใยผู้หญิงไทย ห่างไกลมะเร็งเต้านม” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักรู้และเฝ้าระวังเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ไปจนถึงการดูแลตนเองเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็ง หวังลดจำนวนผู้ป่วยและความรุนแรงของโรคในประเทศไทย งานนี้จัดขึ้น ณ SCBX NEXT STAGE @ NEXT TECH ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมีประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายมากมาย
แอสตร้าเซนเนก้า ในฐานะบริษัทผู้วิจัยและพัฒนายาระดับโลก เดินหน้าสานต่อกิจกรรม “Rethink Pink We Care” ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนที่เข้าร่วมงานใน 2 ปี
ที่ผ่านมา โดยกิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงความรุนแรงของโรคมะเร็งเต้านมที่มักพบในผู้หญิง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของหญิงไทย มีเป้าหมายเพื่อมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องครอบคลุมตั้งแต่การสังเกตร่างกายเบื้องต้น เห็นความสำคัญของการตรวจคัดกรองโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ไปจนถึงแนวทางรักษา
ในปัจจุบันและการดูแลตนเองเพื่อสุขภาวะที่ดี ในการส่งมอบองค์ความรู้เหล่านี้ให้ประชาชน แอสตร้าเซนเนก้าจึงได้ร่วมมือกับศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมนี้ขึ้น
นายโรมัน รามอส ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ประเทศไทย และ Frontier Markets เปิดเผยว่า
“จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขพบว่ามะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งชนิดที่พบบ่อยที่สุดในหญิงไทยและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเก็บสถิติในปี 2565 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมจำนวน 38,559 คนจากทั่วประเทศ ปัจจุบันสาเหตุของโรคเกิดได้ทั้งจากพันธุกรรมและพฤติกรรมเสี่ยง แอสตร้าเซนเนก้าตระหนักถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เราจึงมุ่งทำการศึกษาวิจัย พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยอย่างตรงจุดและช่วยลดความรุนแรงของโรคในอนาคต ในประเทศไทยเราได้ร่วมมือกับศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ผ่านโครงการ ““Rethink Pink We Care” เพื่อส่งมอบองค์ความรู้ในการป้องกัน แนวทางการวินิจฉัย การกระตุ้นให้เข้ารับการตรวจคัดกรองแต่เนิ่นๆ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ภารกิจทั้งหมดนี้มีเป้าหมาย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ”
ศ.นพ. มานพ พิทักษ์ภากร สาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า “การตรวจยีนหรือ Genomics ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ไทยมากขึ้น ตั้งแต่การป้องกันโรค การตรวจคัดกรอง วินิจฉัย รวมไปถึงการรักษา ในกลุ่มโรคที่หลากหลาย ซึ่งโรคมะเร็งถือเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้จึงช่วยในการค้นหาความเสี่ยงภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี สำหรับสาเหตุของโรคมะเร็งเต้านมเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน
บีอาร์ซีเอ 1 (BRCA1) และ บีอาร์ซีเอ 2 (BRCA2) จากสถิติพบว่าผู้ที่มียีนกลายพันธุ์กว่า 80% มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเต้านมสูง ซึ่งประโยชน์ของการตรวจคัดกรองด้วยยีนนี้คือมีความแม่นยำสูงหากตรวจพบความเสี่ยงเร็วก็จะช่วยวางแผนการรักษาได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความรุนแรงของโรคช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นได้ สำหรับรูปแบบการรักษาในปัจจุบันมีอยู่หลากหลาย ทั้งการผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีที่ใช้รักษาผู้ป่วยมานาน แต่ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัยในปัจจุบัน หากตรวจพบก้อนเนื้อเร็ว การผ่าตัดก็จะเกิดเพียงแผลขนาดเล็ก ซึ่งเป็นผลดีกับผู้ป่วยในการฟื้นตัว นอกจากนี้ยังมีการใช้เคมีบำบัด การฉายแสง ภูมิคุ้มกันบำบัด และยามุ่งเป้า ซึ่งการเลือกรูปแบบการรักษานี้จะอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาและการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยด้วย”
ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับความร่วมมือจากบริษัทชั้นนำ โครงการ และสถาบัน
เพื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมากมาย ได้แก่ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด สถานวิทยามะเร็งศิริราช (SiCA) โครงการ Art for Cancer ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย (Thailand Breast Cancer Community) แบรนด์เอนิต้า (ประเทศไทย) จำกัด ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) นอกจากกิจกรรมบนเวทีและการออกบูธนิทรรศการแล้ว ยังได้รับความร่วมมือจาก แบรนด์ลา โรช-โพเซย์ ภายใต้บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ที่มีการดำเนินพันธกิจยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวผ่านโครงการ “ลา โรช-โพเซย์ เคียงข้างผู้ป่วยมะเร็ง” (Cancer Support by La Roche-Posay) โดยร่วมมือกับมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง มีเป้าหมายช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง การให้คำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังจากผลกระทบจากการรักษา และการบริจาคผลิตภัณฑ์ ลิปิการ์ โบม เอพี+เอ็ม เพื่อดูแลผิวอย่างอ่อนโยนให้กับผู้ป่วยมะเร็ง
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ นำโดย นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วยนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และนายชู ชง ชาน ผู้อำนวยการกลุ่มด้านกิจกรรมกลุ่มบริษัท มอบเงินสมทบทุนในการสร้างศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุศิริราช จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 10 ล้านบาท โดยมี ศาสตราจารย์นายแพทย์อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล (คนที่ 5 จากซ้าย) และ ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วยคณะแพทย์ศิริราช เป็นผู้รับมอบ