ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น เดินหน้าพลิกโฉมโรงเรียน CONNEXT ED เฟสที่ 6 ผ่านโมเดล “ผู้ประกอบการจิ๋ว” ต่อเนื่อง ดึงผู้บริหาร-ครู-นักเรียน 6 โรงเรียนเจ้าของผลิตภัณฑ์ชุมชนเด่นจาก 6 ภูมิภาค ผ้ามัดย้อมดาวเรือง-กระเป๋าจากกระจูด-ไซรัปอ้อย-กรอบรูปถมทอง-ยาดมสมุนไพรไม้หอม-ข้าวพื้นเมือง ร่วมเวิร์คช็อปพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เพิ่มโอกาสต่อยอดสินค้า บูรณาการหลักสูตรพัฒนาทักษะวิชาการควบคู่วิชาชีพ หวังสร้างต้นแบบก่อนขยายผลสู่โรงเรียน CONNEXT ED ทั่วประเทศ ด้านโรงเรียน-นักเรียนปลื้ม เพิ่มรายได้กลับสู่โรงเรียน-ครอบครัว-ชุมชน สร้างแรงบันดาลใจประกอบอาชีพของเยาวชนในอนาคต
นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า การสร้างคนผ่านการศึกษา ถือเป็นหนึ่งในกรอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ที่บริษัทยังคงมุ่งหน้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จึงได้เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 จัดงานสัมมนา “โครงการปั้นผู้ประกอบการจิ๋ว 6 ภูมิภาค” คัดเลือกโรงเรียนนำร่องจากแต่ละภูมิภาค ที่สามารถบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนได้อย่างโดดเด่น และนำผู้บริหาร ครู นักเรียน จากโรงเรียนแต่ละแห่ง มาร่วมพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ ให้โรงเรียนและชุมชนใกล้เคียง เกิดความยั่งยืน
“ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะวิชาการและวิชาชีพควบคู่กัน เรามองว่าทักษะการเป็นผู้ประกอบการ คือรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่วิชาชีพ และเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่จะช่วยให้เยาวชน ชุมชน โรงเรียน สามารถปรับตัวได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ประยุกต์โอกาส นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีอยู่รอบตัวในชุมชน มาสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ เราคาดหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยให้กลุ่มโรงเรียนนำร่องประสบความสำเร็จในการสร้างเยาวชนให้เป็นผู้ประกอบการจิ๋ว เกิดสินค้าที่สร้างรายได้คืนสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน และกลายเป็นต้นแบบสู่การขยายผลไปยังโรงเรียน CONNEXT ED ที่เราดูแลอยู่กว่า 610 โรงเรียน” นายยุทธศักดิ์ กล่าว
สำหรับโรงเรียนนำร่องจาก 6 ภูมิภาค ได้แก่ 1.โรงเรียนวังไพรวิทยาคม ตัวแทนภาคตะวันออก เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง 2.โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) ตัวแทนภาคใต้ เจ้าของผลิตภัณฑ์ กระเป๋าจากกระจูด 3.โรงเรียนโคกงามวิทยาคาร ตัวแทนภาคตะวันตก เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำตาลอ้อยก้อนและไซรัปอ้อย 4.โรงเรียนอนุบาลบ้านท่าพระยาจักร ตัวแทนภาคกลาง เจ้าของผลิตภัณฑ์กรอบรูปถมทอง 5.โรงเรียนบ้านสันป่าสัก ตัวแทนภาคเหนือ เจ้าของผลิตภัณฑ์ยาดมสมุนไพรไม้หอม และ 6.โรงเรียนบ้านหนองคันนา ตัวแทนภาคอีสาน เจ้าของผลิตภัณฑ์ข้าวพื้นเมือง
นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผู้บริหารโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง กล่าวว่า ชุมชนใกล้เคียงโรงเรียนปลูกดอกดาวเรืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้รับการสนับสนุนจากซีพี ออลล์ภายใต้ CONNEXT ED เฟสแรกๆ จึงได้ทยอยบูรณาการทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองไปจนถึงทักษะการทำผลิตภัณฑ์จากสีดอกดาวเรืองอย่างผ้ามัดย้อม เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น อาทิ การเลือกดินเพาะปลูกดาวเรือง วิธีการปลูก การแปรรูป เวชสำอาง การตลาด บัญชี พร้อมทั้งนำความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดจนครูในโรงเรียนที่จบด้านวิทยาศาสตร์อาหาร และด้านศิลปะ มาถ่ายทอดให้กับนักเรียน จนเด็กนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองและใบไม้ในท้องถิ่น ฝีมือเยาวชนและคนในชุมชน
“เราเริ่มขายมาได้ราว 2 ปี มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ผ้าคลุมไหล่ เสื้อ ชุดสูท ชุดแซค ลูกค้าหลักในปัจจุบันเป็นคุณครู แพทย์ พยาบาล มียอดสั่งซื้อสูงในช่วงงานเกษียณ งานปีใหม่ สร้างรายได้กลับสู่นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การบูรณาการให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะวิชาชีพควบคู่ไปกับทักษะวิชาการ ช่วยให้เด็กๆ หลายคนที่มีฐานะไม่ดี มีองค์ความรู้ไปต่อยอดอาชีพของที่บ้าน รวมถึงมาทำงานด้านดาวเรืองเป็นอาชีพเสริมได้ ยิ่งในวันนี้โรงเรียนได้รับเลือกเป็นโรงเรียนนำร่อง มาร่วมสัมมนาปั้นผู้ประกอบการจิ๋ว เชื่อว่าจะช่วยให้โรงเรียน เยาวชน ชุมชน สามารถพัฒนาและขายผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น” นางวรรณวนา กล่าว
น.ส. กัญญารัตน์ โหมดตาด หรือ โฟร์ท นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว กล่าวว่า ได้เข้าร่วมพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองตั้งแต่ชั้น ม.1 ได้เรียนรู้ทั้งวิธีการปลูก วิธีการคัดเลือกพันธุ์ ทักษะวิชาชีพที่สามารถไปต่อยอดวิชาชีพอื่นได้ โดยตัวเธอเองมีความฝันอยากประกอบธุรกิจของตัวเอง โดยสนใจงานด้านแฟชั่นเสื้อผ้า ซึ่งต่อยอดจากการผลิตผ้ามัดย้อมในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน อยากให้โมเดลผู้ประกอบการจิ๋วเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง ต่อยอดไปถึงน้องๆ รุ่นต่อไป เนื่องจากผู้ปกครองเองก็ชอบกิจกรรมนี้ เพราะเกิดรายได้เสริม ลดภาระผู้ปกครอง เด็กๆ เองก็ได้รับความรู้ สนุกสนาน เกิดการสานสัมพันธ์ในโรงเรียน
นายอับดุลเลาะ อูเซ็ง คุณครูโรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง คุณครูโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากกระจูด กล่าวว่า การสานกระจูดถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น หลายครอบครัวให้ความสำคัญกับการสานกระจูดควบคู่ไปกับการทำประมง โรงเรียนจึงได้ร่วมกับซีพี ออลล์ ภายใต้ CONNEXT ED เฟสแรกๆ บูรณาการการสานกระจูดและเส้นกกเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน จนได้รับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนต้นแบบ (School Model) มีผลิตภัณฑ์หลักคือหูหิ้วถ้วยกาแฟจากเส้นกก ที่นำไปใช้ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น หลายสาขาในพัทลุง และกระเป๋ากระจูดสานมือ วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่โรงเรียนได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนนำร่องโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว จึงมีความมุ่งหวังจะได้รับความรู้ด้านต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ ด้านการตลาด เพื่อให้สามารถสร้างรายได้กลับสู่โรงเรียน นักเรียน ชุมชน พร้อมทั้งพาผลิตภัณฑ์กระจูดให้เป็นที่รู้จักทั้งระดับในประเทศและนานาประเทศ
นายอัศม์เดช รักษ์จันทร์ หรือ ช้ะชิ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง กล่าวว่า จากการสนับสนุนล่าสุดของซีพี ออลล์ จึงทำให้มีห้องไลฟ์สดในโรงเรียน และได้มีส่วนร่วมเป็นคนขายกระเป๋ากระจูดผ่านไลฟ์ รวมถึงการสานกระเป๋ากระจูดทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียน ทั้งในรายวิชา อาทิ วิชาแปรรูปกระจูด วิชาแปรรูปเส้นกก ความฝันในอนาคต อยากเป็นคุณครูสอนวิชาศิลปะ เนื่องจากชื่นชอบในการเพนท์กระเป๋ากระจูด ขณะเดียวกัน อาจประกอบอาชีพเสริมด้วยการเพนท์กระเป๋ากระจูดลายภาพเหมือน เป็นภาพบุคคลให้เจ้าของกระเป๋าได้สะพาย
สำหรับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) และเป็น 1 ใน 55 องค์กรเอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญและตอบรับการมีส่วนร่วมทางการศึกษา โดยขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “Giving and sharing” วางเป้าดูแลโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED 6 เฟส จำนวนกว่า 610 แห่งทั่วประเทศ ร่วมสนับสนุนโรงเรียนให้สามารถดำเนินโครงการด้านต่างๆ ทั้งโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โครงการพัฒนาคุณภาพคน โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โครงการส่งเสริมอาชีพ โครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ซึ่งเป็นอาสาสมัครจากในองค์กรร่วมลงพื้นที่และคอยให้คำแนะนำในการพัฒนาโครงการของโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิด
ทำไมบางธุรกิจถึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางธุรกิจไม่สามารถแข่งขันได้? หนึ่งในคำตอบสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้คือ “นวัตกรรม” ยิ่งในโลกที่ตลาดมีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงรอบด้านอย่างในปัจจุบัน นวัตกรรม ถือเป็นอาวุธสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่จะช่วยสร้างความต่างและความโดดเด่นให้กับสินค้า จนนำไปสู่การสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
เหมือนดังเช่น 2 SME ชื่อดังในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่นำนวัตกรรมมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ จนประสบความสำเร็จและมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริษัท กิติธัญ จำกัด ผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ GQ แบรนด์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 58 ปี การันตีได้ถึงคุณภาพ มาวันนี้แตกแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “GQ EASY” (จีคิว อีซี่) กับนวัตกรรมแห้งเย็น ไม่เหม็นเหงื่อ และอีกหนึ่ง SME ที่น่าจับตามองก็คือ บริษัท โกรว เวลธ์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายทิชชู่เปียกแบรนด์ “ViVa” (วีว่า) ที่นำนวัตกรรมกักเก็บความชื้นไว้ในผ้า ทำให้ผ้ามีความชุ่มชื้นสูง โดยเข้าตลาดได้เพียง 6 เดือน ก็มียอดออเดอร์จำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นสูงถึง 10,000 ลัง
GQ EASY : พัฒนาสินค้าจากปัญหา ศึกษาข้อมูลตลาด ราคาจับต้องได้ หาซื้อง่าย
หากเอ่ยถึงแบรนด์ GQ ที่ถือกำเนิดมาในปี 2509 เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ผลิตเสื้อผ้าบุรุษสำเร็จรูปพร้อมใส่เจ้าแรกๆของเมืองไทยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและสภาพอากาศของเมืองไทยได้เป็นอย่างดี สู่การเป็นแบรนด์สินค้าคุณภาพที่มีนวัตกรรมอย่างเต็มตัวในปี 2562 โดยได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มสุภาพบุรุษ กระทั่งในปี 2563 GQ ได้พัฒนาสินค้าตัวใหม่ที่สร้างชื่อจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง สามารถใช้ได้ทุกเพศ ทุกวัย นั่นก็คือ หน้ากากผ้าสะท้อนน้ำ และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มจำหน่ายสินค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
จากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าว มาวันนี้ GQ ได้แตกแบรนด์ใหม่ชื่อว่า “GQ EASY” เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขึ้น แต่ยังคงรักษาคอนเซ็ปต์แบรนด์สินค้าคุณภาพที่มีนวัตกรรมไว้ได้อย่างครบถ้วน ในราคาที่จับต้องได้ เข้าถึงได้ง่าย เปรี้ยว-อาทิตย์ จันทรางศุ ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ บริษัท กิติธัญ จำกัด ได้เล่าถึงแนวคิดการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ GQ EASY ว่า จากการตอบรับที่ดีจากหน้ากากผ้าสะท้อนน้ำ ที่วางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทำให้บริษัทมีแนวคิดที่จะผลิตสินค้าเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปชื่นชอบความสะดวกสบาย และเหมาะสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย จากเดิมที่มุ่งเน้นกลุ่มสุภาพบุรุษ จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง จนได้ออกมาเป็นแบรนด์ GQ EASY ที่เริ่มวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในปี 2565 มีสินค้าหลากหลาย อาทิ เสื้อยืด หน้ากากผ้า ชั้นในชาย เป็นต้น ในราคาเพียงหลักร้อยเท่านั้น
จุดเด่นของ GQ EASY ในทุกผลิตภัณฑ์ คือ แห้งเย็น ไม่เหม็นเหงื่อ เหมาะกับการใส่ในชีวิตประจำวัน ราคาย่อมเยา หาซื้อง่าย มีหลากหลายแบบให้เลือกซื้อหา ล่าสุด ได้ออกคอลเลคชั่นพิเศษ GQ Easy x Toy Story กับดีไซน์สุดน่ารักของ Little Green Men หรือ น้องเอเลี่ยนสามตา ที่มาพร้อมนวัตกรรมดับกลิ่นที่ช่วยลดการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ แม้ต้องตากในที่ร่ม ทำให้มั่นใจได้ในทุกกิจกรรมและทุกสถานการณ์ ผ้านุ่มใส่สบาย ระบายอากาศได้ดี ผ้าแห้งไว
“หลายคนอาจจะคิดว่า การผลิตเสื้อผ้าต้องอิงตามกระแสแฟชั่นถึงจะได้รับการตอบรับที่ดี แต่สำหรับบริษัทมุ่งเน้นเรื่องของนวัตกรรมควบคู่กับการออกแบบมาตลอด รวมถึงมีการศึกษาข้อมูลตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด จึงทำให้บริษัทอยู่ในตลาดมาได้อย่างมั่นคงถึง 58 ปี และใน GQ EASY คอลเลคชั่นล่าสุดก็เช่นเดียวกัน นอกจากนวัตกรรมแห้งเย็น ไม่เหม็นเหงื่อแล้ว บริษัทได้นำแบบสำรวจระดับอาเซียนเกี่ยวกับตัวการ์ตูนใน Toy Story มาศึกษาว่าตัวการ์ตูนใดได้รับความสนใจจากตลาด พบว่า น้องเอเลี่ยนสามตา ได้รับความสนใจมากที่สุด จึงปรึกษากับทางเซเว่นฯ เพื่อนำมาใช้เป็นตัวการ์ตูนบนเสื้อ ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยเริ่มวางจำหน่ายเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในราคาตัวละ 259 บาท คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเหมือนสินค้าตัวอื่นๆ”
ViVa : ส่งนวัตกรรมทรีตน้ำ-ผ้าลายรังผึ้ง สร้างความต่าง ครึ่งปีออเดอร์ 10,000 ลัง
ถึงแม้ตลาดทิชชู่เปียกจะเป็นตลาด Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูง และมีผู้เล่นจำนวนมาก ทั้งจากรายเล็ก รายใหญ่ หรือแม้แต่จากต่างประเทศ ทำให้ SME หลายๆ เจ้าไม่กล้าลงตลาด แต่สำหรับ จูน-กษมา ศิลาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกรว เวลธ์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายทิชชู่เปียกแบรนด์ ViVa ไม่หวั่นแต่อย่างใด เพราะเชื่อมั่นในตัวสินค้าว่ามีความโดดเด่นแตกต่างจากสินค้าอื่นในตลาด
จูน เล่าย้อนความถึงแนวคิดและความเป็นมาของ ViVa ให้ฟังว่า ส่วนตัวเป็นคนชอบใช้ทิชชู่เปียกอยู่แล้ว และคิดว่าน่าจะเป็นอีกหนึ่งสินค้าจำเป็นของคนในยุคปัจจุบัน หลังเผชิญวิกฤตโควิด 19 คนใส่ใจเรื่องความสะอาดมากขึ้น จึงได้ทำการศึกษาตลาดอย่างจริงจัง ทำให้พบว่าทิชชู่เปียกถือเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถใช้ได้ทุกเพศ ทุกวัย รวมถึงมีผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก แต่ก็ยังพอมีช่องว่างที่จะเข้าตลาดอยู่ จึงได้เริ่มนำนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตเพื่อสร้างจุดเด่นให้กับสินค้า
“บริษัทได้คิดค้นสูตรเฉพาะและวางจำหน่ายตัวแรกคือ Organic Baby Wipes (ออร์แกนิค เบบี้ ไวพส์) ในขนาด 20 แถม 10 แผ่น ราคา 25 บาทโดยใช้นวัตกรรมทรีตน้ำให้มีความสะอาด บริสุทธิ์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่สะอาดและปลอดภัย อีกทั้งลายของเนื้อผ้าที่เป็นลายรังผึ้ง ยังสามารถช่วยกักเก็บน้ำได้ดีกว่าผ้าลายอื่น ทำให้ทิชชู่เปียกของViVa มีส่วนประกอบของน้ำถึง 99% และลายรังผึ้งนี้ยังช่วยเพิ่มผิวสัมผัสให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความพิเศษด้วยการเติมออร์แกนิคอะโรเวล่าและอาโวคาโดออย เพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิวและยังอ่อนโยนต่อผิว เด็กสามารถใช้ได้ อีกทั้งยังไม่มีแอลกอฮอล์และพาราเบนที่อาจส่งผลกระทบต่อผิวหนัง”
โดย Organic Baby Wipes เริ่มวางจำหน่ายที่เซเว่น อีเลฟเว่น ควบคู่กับการทำการตลาดผ่านสื่อโซเซียลส่วนตัวและทั่วไป อาทิ Facebook, TikTok, Instagram ตั้งแต่เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีออเดอร์แรกที่วางจำหน่ายในเซเว่น อีเลฟเว่น อยู่ที่ 1,400 ลัง หลังจำหน่ายได้เพียง 2 เดือน ได้รับการแจ้งจากเซเว่น อีเลฟเว่น ว่ามีลูกค้ามาสอบถามถึงสินค้าและการปรับขนาดบรรจุเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการสั่งเพิ่มออเดอร์เป็นขนาดบรรจุ 90 แผ่น ราคา 79 บาทอีกหนึ่งขนาด ส่งผลให้ในปัจจุบันมีออเดอร์ทั้ง 2 ขนาดรวมมากกว่า 10,000 ลัง สิ่งที่ทำให้สินค้าได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากเรื่องคุณภาพแล้ว ราคายังตอบโจทย์ความต้องการ เพราะบริษัทมุ่งมั่นตั้งใจที่จะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถใช้สินค้าไทยที่มีคุณภาพได้อย่างสบายใจ
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่มีประวัติมาอย่างยาวนานถึง 58 ปีอย่าง GQ หรือจะเป็นธุรกิจที่เพิ่งเริ่มผลิตสินค้าและทำตลาดอย่าง ViVa ต่างก็นำ “นวัตกรรม” มาเป็นตัวช่วยสร้างความแตกต่างและความโดดเด่นให้กับตัวสินค้า ทั้งนี้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้แข็งแกร่งท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงรอบด้าน อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการเติบโตในอนาคตให้กับ 2 ธุรกิจคู่ไปกับเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสร้างอาชีพ สร้างเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืนของซีพี ออลล์
“การสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้า” ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม เมื่อสินค้าแตกต่างจากคู่แข่ง ผู้บริโภคจะรับรู้ถึงคุณค่าเฉพาะตัวของสินค้า ทำให้เกิดความสนใจและต้องการซื้อสินค้า นำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ความแตกต่างที่ชัดเจนจะช่วยให้แบรนด์มีความโดดเด่น เมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ส่งเสริมให้ลูกค้าเกิดการทดลอง และเมื่อถูกใจก็กลับมาซื้อซ้ำและแนะนำต่อ สร้างการเติบโตในระยะยาว
หนึ่งในปัจจัยหลักที่จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้าคือ “นวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาด” ที่เมื่อนำมาผสมผสานกันก็จะทำให้สินค้าธรรมดาๆ กลายเป็นสินค้าไม่ธรรมดาได้ในทันที เช่น SME 3 รายนี้ได้แก่ บริษัท บราวน์โว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตขนมไทยแนวคิดใหม่แบรนด์ “BrownVo” บริษัท ฟูลเกิ้ล จำกัด ผู้ผลิตธัญพืชอบกรอบแบรนด์ “โอพัพ” และบริษัท ลิลลี่อุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวแบรนด์ “ถั่วเขาช่อง” ที่นำเอานวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาดมาปรับใช้ เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ล่าสุดสินค้าใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าใหม่เหล่านั้นจะเป็นอะไร เหตุใดถึงได้รับการตอบรับที่ดี และมีการนำ “นวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาด” ไปปรับใช้อย่างไรบ้าง
บราวโว เครปเบื้องกรอบ : คิดค้นนวัตกรรมเฉพาะตัว
“บราวโว” เป็นขนมขบเคี้ยวที่มีแนวคิดในการอัปเลเวลจากขนมไทยสไตล์ Street Food มาต่อยอดพัฒนาด้วยนวัตกรรมเฉพาะของบริษัท โดยมีสินค้าที่วางจำหน่ายอยู่ในเซเว่นฯ คือ บราวนี่แผ่นอบกรอบรสคลาสสิก และรสช็อกโกแลตชิพ ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี บริษัทจึงเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ต่อเนื่อง และเครปเบื้องกรอบก็เป็นสินค้าตัวถัดมา เหตุผลที่เลือกเป็นเครปเบื้องกรอบ เนื่องจากมองว่าขนมเบื้องเป็นขนมไทยที่ไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติก็ชื่นชอบ แต่หาซื้อได้ยาก และเมื่อทิ้งไว้นานแป้งจะไม่กรอบ บริษัทจึงให้แผนกวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ทำการวิจัยและพัฒนาตัวแป้งให้รักษาความกรอบได้นานถึง 1 ปี และไส้ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ จนได้ออกมาเป็นเครปเบื้องกรอบไส้เค็ม ที่โดดเด่นด้วยไส้มะพร้าวคลุกเคล้าเครื่องเทศในสูตรชาววัง และไส้ฝอยทองที่ทำจากไข่แดงล้วน คงเสน่ห์ความเป็นไทยได้อย่างลงตัว
บราวโว เครปเบื้องกรอบมีความโดดเด่นคือ เนื้อแป้งเครปมีความกรอบ ทานง่าย ตัวไส้ขนมเบื้องถูกพัฒนาให้ออกมาเป็นสูตรเฉพาะ โดยยังคงความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของขนมเบื้องได้ครบถ้วน เหมาะแก่การเป็นของฝากหรือทานเล่น ในราคา 24 บาท บรรจุซองขนาด 20 กรัม พกพาง่าย โดยเริ่มวางจำหน่ายเมื่อเดือนสิงหาคม และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
โอพัพ : แก้ Pain Point สินค้าในตลาด คอลแลปส์แบรนด์ดังจับซีเรียลคู่ช็อกโกแลต
โดยปกติแล้วขนมครีมช็อกโกแลตมักจะทำมาทานคู่กับบิสกิต ซึ่งตัวบิสกิตมักจะอ่อนตัวเมื่อเจอกับครีมช็อกโกแลต ถือเป็น Pain Point สำคัญ บริษัทจึงทำการศึกษาตลาดเพิ่มเติมถึงความต้องการของตลาดว่าชื่นชอบสินค้าแบบไหน หากทานคู่กับครีมช็อกโกแลต เพื่อหาวัตถุดิบอื่นมาทดแทน และมองว่า ซีเรียล น่าจะตอบโจทย์เพราะสามารถอมน้ำได้ดีกว่า โดยที่เนื้อไม่อ่อนตัว อีกทั้ง Texture ยังมีความกรุบกรอบตลอดการรับประทาน จึงได้นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักใน โอพัพช็อกโกแลตผสมซีเรียลรสโอวัลติน และ โอพัพช็อกโกแลตผสมซีเรียลโอวัลตินไวท์มอลต์ โดยเริ่มวางจำหน่ายได้เพียง 3 เดือน ก็สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าคือ 200,000 ชิ้น ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลักอายุ 8-15 ปี นอกจาก Texture ที่ตอบโจทย์ความต้องการแล้ว รสชาติและแพ็กเก็จจิ้งก็ตอบโจทย์ด้วยเช่นกัน บริษัททำสินค้าให้มีขนาดเหมาะสมต่อการรับประทานครั้งเดียวหมด พกพาง่าย ในราคาที่เข้าถึงได้เพียง 12 บาท และการได้ร่วมกับพันธมิตรทางการค้าที่เป็นที่รู้จักก็จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้า ทำให้คนรุ่นใหม่อยากลอง
ถั่วเขาช่องซีเล็ค : วิจัยผสาน 2 รสชาติ อัปเลเวลความอร่อยที่แตกต่าง
“ถั่วเขาช่อง” เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะต้นตำรับถั่วรสกาแฟ มาวันนี้ ถั่วเขาช่อง ได้เพิ่มสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด 2 รายการ ได้แก่ ถั่วเขาช่องซีเล็ค ถั่วผสมเพรทเซลรสวาซาบิ และ ถั่วเขาช่องซีเล็ค อัลมอนด์ผสมพริกกรอบโรยงา โดยสินค้าทั้ง 2 ตัวเกิดขึ้นจากการวิจัยตลาดทั้งในและต่างประเทศทำให้พบว่า ปัจจุบันสินค้ากลุ่มถั่ว Snack โดยทั่วไปจะจำหน่ายเพียงรสชาติใดรสชาติหนึ่ง ไม่มีความหลากหลาย ทำให้มีแนวคิดที่จะผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายในสินค้าแพ็กเก็จจิ้งเดียว เมื่อรวมกับแนวความคิดการตลาดที่ว่า “ถั่วกินกับอะไรก็อร่อย” จึงเกิดเป็นสินค้าทั้ง 2 ชนิดขึ้นมา
สำหรับถั่วผสมเพรทเซลรสวาซาบิ เป็นการนำเอาเพรทเซลรสวาซาบิจากแหล่งคุณภาพมาผสมผสานกับถั่วอัลมอนด์และแมคคาเดเมีย ทำให้ได้ทั้งรสเผ็ดและความหอมของวาซาบิ เมื่อรวมกับความมันของถั่วก็จะทำให้ได้รสสัมผัสที่หลากหลาย สำหรับถั่วเขาช่องซีเล็คอัลมอนด์ผสมพริกกรอบโรยงา เป็นการนำอัลมอนด์มารวมกับพริกคั่วกรอบและผสมกับเครื่องเทศหลากหลายชนิด โรยด้วยงาขาว ตรงกับความต้องการกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย คนรุ่นใหม่ Gen Y, Z ที่ชอบความหลากหลาย ไม่ซ้ำจำเจ
ทั้ง 3 แบรนด์สินค้า SME ทำให้เห็นแล้วว่า “การสร้างความแตกต่างให้กับตัวสินค้า” โดยใช้ “นวัตกรรมและงานวิจัยด้านการตลาด” เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยสร้างการความโดดเด่นให้กับตัวสินค้า ซึ่งจะนำมาสู่ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ในระยะยาว เพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต