

Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) ฮับแห่งใหม่สำหรับวงการครีเอทีฟ พัฒนาโดย MQDC บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ประกาศแต่งตั้งนายพอล สิริสันต์ ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทัพสร้าง Creative Destination พร้อมระบบนิเวศสำหรับนักสร้างสรรค์ หรือ Creative Ecosystem ที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการเป็นศูนย์กลางครีเอเตอร์ทุกแขนงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองรับการเติบโตของตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์มูลค่า 45,000 ล้านบาท
"ผมรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Cloud 11 ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าที่นี่จะเป็นศูนย์กลางของครีเอเตอร์ทุกแขนง” นายพอล กล่าว "เรากำลังสร้างระบบนิเวศของครีเอเตอร์ที่สมบูรณ์แบบ และพร้อมจะสนับสนุนทุกความคิดสร้างสรรค์ ดึงดูดความร่วมมือจากทั่วโลก เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยก้าวสู่ระดับโลก"
การแต่งตั้งนายพอล สิริสันต์ ถือเป็นการเสริมความแข็งแรงให้กับโครงการ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ครอบคลุมทั้งวงการดนตรีที่เคยเป็นผู้บริหารค่ายเพลงสากลระดับโลกในไทย รวมถึงเป็นนักการตลาด และผู้บริหารธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในบทบาทผู้บริหารจากมุมมองของนักสร้างสรรค์
โครงการ Cloud 11 คือพื้นที่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของครีเอเตอร์ ตั้งแต่มือใหม่ไปจนถึงมืออาชีพ ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร อาทิ สตูดิโอผลิตงาน ห้องตัดต่อ ห้องบันทึกเสียง โรงภาพยนตร์ โรงละคร และพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ นอกจากนี้ Cloud 11 ยังมีแผนที่จะจัดกิจกรรมและโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของครีเอเตอร์
ทั้งนี้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยและอาเซียนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มีมูลค่าตลาดรวมกันหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่มีอัตราการเติบโตต่อปีเฉลี่ย 20-30% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย Cloud 11 ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับนักสร้างสรรค์ (Creative Ecosystem) เพื่อผลักดันให้ Cloud 11 เป็นศูนย์รวมโครงสร้างพื้นฐานแห่งใหม่ที่ครบวงจรของวงการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในเอเชีย

ทั้งนี้นายพอล สิริสันต์ เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ Cloud 11 (คลาวด์ อีเลฟเว่น) ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 เพื่อร่วมนำทีมพัฒนา Creative Destination ของเอเชีย และเป็นระบบนิเวศแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่ออกแบบมาเสริมพลังให้กับศิลปิน บริษัทโปรดักชั่น และสถาบันสร้างสรรค์ระดับโลกจะมีการพัฒนา Cloud 11 ให้แข็งแกร่งเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้วงการครีเอเตอร์ไทยก้าวสู่เวทีโลกต่อไป
“ในโลกดิจิทัลการมีคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับทุกองค์กร ตั้งแต่การสร้างแบรนด์ การตลาด การสื่อสารให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นหลายบริษัทจึงมองหาช่องทางเพื่อเข้าถึงการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูงและรวดเร็ว Cloud 11 จึงเป็นโซลูชั่นที่ไม่เหมือนใคร เพราะเราเป็นทั้งพื้นที่สำนักงานและมีระบบนิเวศของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ที่ครบวงจร ผู้เช่าพื้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษในการใช้สตูดิโอและสิ่งอำนวยความสะดวกในทุกพื้นที่ของโครงการสำหรับผลิตผลงานแบบมืออาชีพ เปรียบเสมือนมีกำลังการผลิตสื่ออยู่ในมือที่ใกล้แค่เอื้อม” นายพอล กล่าวปิดท้าย
โครงการ Cloud 11 ได้ดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าแล้วเสร็จ 80% โดยมีนายองศา จรรยาประเสริฐ ดำรงตำแหน่ง Project Director หรือผู้อำนวยการโครงการควบคู่กับ คุณพอล สิริสันต์ มีหน้าที่ในการบริหารโครงการ และการหาผู้เช่า รวมทั้งร่วมมือกับผู้ที่เป็นครีเอเตอร์ จนถึงในแวดวงเอนเตอร์เทนเมนต์ ที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ ใช้พื้นที่ของ Cloud 11 ต่อไป
โดยก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกับ Cloud 11 นายพอล สิริสันต์ ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Universal Music Group (UMG) และเป็นผู้ก่อตั้ง Def Jam Thailand
ในงาน Tencent Global Digital Ecosystem Summit ซึ่งจัดขึ้นที่ Shenzhen World Exhibition & Convention Center ระหว่างวันที่ 5-6 กันยายน ได้มีการเปิดตัวบริการด้านปัญญาประดิษฐ์ ( Artificial Intelligence หรือ AI) หลายตัว รวมทั้งนำเสนอนวัตกรรมที่เทนเซ็นต์ คิดค้นและเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัท และโซลูชั่นระดับโลก เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล
มร. ดาวสัน ตง รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส และซีอีโอ ของกลุ่มธุรกิจ Cloud and Smart Industries Group (CSIG) บริษัท เทนเซ็นต์ ได้ตอกย้ำถึงแรงผลักดันที่สำคัญที่ลูกค้าองค์กรต้องเผชิญ “หลายองค์กรกำลังมองหาแนวทางในการพลิกโฉมรูปแบบการทำธุรกิจของตน และด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มและทิศทางใหม่ที่เกิดขึ้น และขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถปลดล็อกศักยภาพใหม่ในการเติบโตและนวัตกรรม”
เทนเซ็นต์ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หลายชุดที่ได้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้าน AI ของพันธมิตรและลูกค้าองค์กรต่าง ๆ การเปิดตัวใหม่ของ "AI Infra" (腾讯云智算) ซึ่งเป็นโซลูชันที่ประกอบด้วย การประมวลผล การจัดเก็บข้อมูล และเครือข่ายแบบครบวงจร ได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐาน และช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ที่มีความต้องการที่จะพัฒนาและเทรนโมเดลขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน เทนเซ็นต์ ได้เปิดตัว ฮุ่นหยวน-เทอร์โบ (Hunyuan-Turbo หรือ “混元Turbo”) ซึ่งเป็นบริการโมเดลเอไอที่ใช้สถาปัตยกรรมแบบ Mixture of Experts (MoE) ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรนโมเดลถึงสองเท่า และลดค่าใช้จ่ายในการประมวลผลลง 50%
ปัจจุบัน AI Coding Assistant ของ Tencent Cloud ซึ่งขับเคลื่อนโดยโมเดลพื้นฐาน Hunyuan ได้ถูกใช้งานโดยโปรแกรมเมอร์ของ Tencent กว่า 50% ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขาได้ถึง 40% นอกจากนี้ Tencent Meeting ยังมีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การบันทึกอัจฉริยะ, ผู้ช่วย AI, การแปลหลายภาษา และอื่น ๆ โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 15 ล้านคนต่อเดือน
โซลูชัน AI ล้ำสมัยสำหรับองค์กรระดับโลก
ในตลาดต่างประเทศ Tencent Cloud กำลังขยายการลงทุนและเพิ่มทรัพยากร เพื่อสร้างความร่วมมือกับลูกค้าและพันธมิตรในการบรรลุภารกิจของบริษัทที่จะ ‘สร้างนวัตกรรม, เชื่อมต่อ, และขยายสู่ระดับโลก’
นอกเหนือจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการชุดใหม่สำหรับ AI และการเทรนโมเดลในประเทศจีนแล้ว Tencent Cloud International ยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนผ่านฝ่ามือ (Palm Verification) ที่ล้ำสมัย และแผนการสร้างระบบนิเวศที่รองรับเทคโนโลยีนี้ในตลาดต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการนำการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยและใช้ AI มาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น
มร. โพชู เยือง รองประธานอาวุโสของ Tencent Cloud International กล่าวว่า โซลูชัน Cloud Palm Verification ของบริษัท ได้มีการทดลองใช้งานทั่วโลกแล้วโดยบริษัทชั้นนำหลายแห่ง รวมถึง Telkomsel เพื่อสนับสนุนการใช้งานที่หลากหลาย ตั้งแต่ระบบการชำระเงินไปจนถึงการจัดการด้านการเข้าถึงความปลอดภัย
มร. เยือง กล่าวเสริมว่า “แผนในการสร้างระบบนิเวศเพื่อรองรับ Palm Verification ของเราได้มีการรวมเอาชุดเครื่องมือเทคโนโลยีหลายตัว ที่จะช่วยให้พันธมิตรทั่วโลกสามารถนำและบูรณาการเทคโนโลยีระดับโลกนี้ได้อย่างรวดเร็วเพื่อการนำไปใช้ในตลาด โครงการนี้ช่วยให้พันธมิตรของเรามีอิสระในการสร้างสรรค์และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในสถานการณ์ธุรกิจต่าง ๆ ทั่วโลก”
ในงานนี้ ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้ AI สำหรับตลาดต่างประเทศ เช่น Knowledge Engine Platform, Digital Human, e-KYC และอื่น ๆ เพื่อเสริมศักยภาพให้กับองค์กรในยุค AI การขยายตลาดทั่วโลกเติบโตขึ้นด้วยการมุ่งเน้นที่ตลาดสำคัญและความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้ AI เหล่านี้ ธุรกิจระหว่างประเทศของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 10,000 ธุรกิจใน 30 อุตสาหกรรมที่ให้บริการในกว่า 80 ตลาดและภูมิภาค
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เทนเซ็นต์ คลาวด์ ได้รับการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับสองหลักในตลาดต่างประเทศ สร้างความแข็งแกร่งในเอเชีย, ยุโรป, อเมริกา, และตะวันออกกลาง โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการเติบโตอย่างน้อย 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
มร. ตง กล่าวเพิ่มเติมว่า การเติบโตนี้เป็นผลมาจาก จากความต้องการของระบบนิเวศของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ที่มีความโดดเด่น, บริการเทคโนโลยีด้านสื่อระดับโลก, และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั่วโลก “องค์กรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม, สื่อ, และบริการสาธารณะ ใช้โซลูชันหลักของเรา เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนการดำเนินงานและปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์ม Mini Program, การสื่อสารแบบเรียลไทม์, การไลฟ์สตรีม, และโซลูชันด้านสื่อ”
เทนเซ็นต์ คลาวด์ ยังมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับในการสนับสนุนธุรกิจในการขยายตลาดระดับโลก โดยได้ช่วยบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 หลายแห่ง เช่น AstraZeneca, Mercedes-Benz, Toyota, และ Walmart China ให้สามารถขยายการดำเนินงานในจีนแผ่นดินใหญ่และทั่วโลกได้อย่างสำเร็จ
ในงานนี้ Tencent Cloud International ยังประกาศความร่วมมือสำคัญกับหลายบริษัท ได้แก่ Aladdin Cybersecurity, Avatara, MFEC Public Company, Siemens, S.M.A.R.T Entrepreneurship Club, UnionCloud และอื่น ๆ เพื่อสำรวจโอกาสใหม่ ๆ ในด้าน AI โดยเฉพาะในโซลูชัน Digital Human บริษัทเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Global Partner Ecosystem ของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ที่ป้จจุบันมีมากกว่า 11,000 พันธมิตร มีส่วนสร้าง 80% ของรายได้จากนอกประเทศจีน รวมทั้งยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของธุรกิจระหว่างประเทศของ เทนเซ็นต์ คลาวด์ อีกด้วยเพื่อการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งของสนับสนุนพันธมิตรและลูกค้าทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น เทนเซ็นต์ คลาวด์ ยังได้จัดตั้งเครือข่ายศูนย์สนับสนุนทางเทคนิคทั่วโลก จำนวน 9 แห่ง ในประเทศอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ซึ่งทั้งหมดจะให้บริการและสนับสนุนทางเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง
กรุงเทพฯ 24 พฤษภาคม 2566 – วันนี้อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) บริษัทในเครือ Amazon.com ประกาศเปิดตัวโครงการ AWS re/Start ในประเทศไทย โปรแกรม AWS re/Start เป็นโปรแกรมพัฒนาทักษะบุคลากรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ว่างงานหรือบุคคลที่ประกอบอาชีพไม่เต็มเวลา ให้มีความพร้อมสำหรับอาชีพใหม่ในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง และมอบโอกาสในการสัมภาษณ์งานกับผู้ว่าจ้างที่สนใจให้แก่ผู้เรียน โปรแกรมนี้เปิดสอนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีมาก่อนในการสมัคร
การวิจัยของ Gallup ซึ่งดำเนินการโดย AWS แสดงให้เห็นว่า 94% ของพนักงานที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีในประเทศไทย มีความสนใจอย่างมากหรือมากที่สุดในการรับการฝึกอบรมในทักษะดิจิทัลอย่างน้อยหนึ่งทักษะ เช่น ความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ (cybersecurity) ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) และวิทยาการหุ่นยนต์ (robotics) อย่างไรก็ตาม 53% ของพนักงานที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีกล่าวถึงอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการไม่มี เพื่อแก้ไขอุปสรรคนี้ AWS re/Start ให้การฝึกอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งแบบเข้าห้องเรียนหรือแบบออนไลน์เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ และสนับสนุนผู้เรียนในช่วงเริ่มต้นอาชีพใหม่ด้านคลาวด์
โปรแกรมนี้ครอบคลุมทักษะพื้นฐานด้านคลาวด์ของ AWS และทักษะอาชีพที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น เทคนิคการเขียนประวัติส่วนบุคคลและการสัมภาษณ์งาน ผ่านการฝึกปฏิบัติในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สถานการณ์จำลอง การนำไปใช้งานจริง การเรียนรู้ในห้องปฏิบัติการและผ่านหลักสูตร ให้ผู้เรียนสร้างความรู้และทักษะเกี่ยวกับ Linux, Python, ระบบเครือข่าย, ความปลอดภัย และฐานข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน โปรแกรมนี้จะเตรียมความพร้อมให้พวกเขาเข้าสู่บทบาทในงานด้านคลาวด์ในระดับเริ่มต้น เช่น การใช้งาน ความเสถียรของเว็บไซต์ การดูแลโครงสร้างพื้นฐาน และอื่น ๆ
โปรแกรม AWS re/Start ยังครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เข้าร่วมในการสอบใบรับรอง AWS Certified Cloud Practitioner เพื่อให้พวกเขาสามารถรับรองทักษะด้านคลาวด์ของตนเองด้วยประกาศนียบัตรที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม ตามข้อมูลจาก Gallup มีองค์กรผู้ว่าจ้างในประเทศไทย 92% กล่าวว่าการรับรองด้านดิจิทัลหรือหลักสูตรการฝึกอบรมเป็นทางเลือกที่ยอมรับและสามารถทดแทนปริญญาตรีได้
โปรแกรม AWS re/Start ในประเทศไทย จะเปิดรับไปทั่วประเทศโดยความร่วมมือขององค์กร xLab ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ บริษัทนี้เป็นที่รู้จักในด้านการช่วยให้ธุรกิจไทยแบบดั้งเดิมค้นพบโอกาสทางดิจิทัล และเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล AWS re/Start จะทำงานร่วมงานกับ xLab เพื่อเชื่อมโยงผู้เรียนที่สำเร็จการฝึกอบรมในโปรแกรมกับผู้จ้างงานที่มีความสนใจ
![]()
คุณวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS ประเทศไทย กล่าวว่า “เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ความต้องการในการนำคลาวด์มาใช้งานยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนบุคลากรใหม่ ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคลาวด์ ส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ มีความยากลำบากในการหาบุคคลากรที่มีความรู้และทักษะในการใช้คลาวด์ ผลการศึกษาของ Gallup เปิดเผยว่า 94% ของธุรกิจในประเทศไทย กล่าวว่าการว่าจ้างพนักงานด้านดิจิทัลที่ต้องการนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งโปรแกรม AWS re/Start จะนำผู้ที่มีความสามารถใหม่ ๆ จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ มาพัฒนาความรู้และทักษะให้กับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีหรือมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย และช่วยให้พวกเขาเริ่มต้นอาชีพด้านคลาวด์ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ xLab ในการมอบโอกาสนี้ให้แก่คนไทยได้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมที่น่าตื่นเต้นและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”

คุณลอยด์ วัฒนโฆวรุณ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ xLab กล่าวว่า “เป้าหมายสูงสุดของ xLab คือการกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศไทยด้วยการบ่มเพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่มีทักษะมากพอที่จะรับมือกับปัญหาการขาดแคลนทักษะในปัจจุบันได้ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับโปรแกรม AWS re/Start ในการฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ ให้การสนับสนุน และโอกาสในการจ้างงานแก่คนไทยที่มีความสามารถทั่วประเทศ”
G-Able และ NTT Thailand ซึ่งเป็น AWS Partners มีแผนที่จะสัมภาษณ์และว่าจ้างผู้สำเร็จการศึกษาจากโปรแกรม AWS re/Start เข้ามาทำงานในตำแหน่งงานต่าง ๆ บริษัททั้งสองจะร่วมมือกับ xLab เพื่อมองหาผู้มีความสามารถและหาโอกาสในการจ้างงานให้พวกเขา
![]()
คุณฐิติกานต์ กฤษณวิภาคพร รองประธานบริหารอาวุโสฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ G-Able กล่าวว่า “เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในประเทศไทย เราจึงมุ่งมั่นที่จะมอบโอกาสในการพัฒนาทักษะให้กับผู้ที่มีความสามารถที่หลากหลาย และเชื่อว่าโปรแกรมอย่าง AWS re/Start จะช่วยเร่งการเติบโตและเป็นแนวทางสู่อนาคตของเทคโนโลยีและระบบคลาวด์ เราตั้งตารอที่จะร่วมมือกับ AWS เพื่อสร้างกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศไทยในปัจจุบันและอนาคต”
คุณสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NTT ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ที่ NTT (Thailand) Limited เราทราบดีว่าเราต้องมุ่งเน้นการระบุและสนับสนุนผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาทำงานในด้านคลาวด์ เพื่อเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรมคลาวด์ เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ AWS เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านทักษะดิจิทัลในประเทศไทย โปรแกรม AWS re/Start เป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดผู้ที่มีความสามารถจากกลุ่มที่ขาดโอกาสและนำพาพวกเขาไปสู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี”
ปัจจุบันโปรแกรม AWS re/Start ได้เปิดตัวไปแล้วในกว่า 180 เมืองใน 60 ประเทศทั่วโลก ในช่วงระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา AWS ได้มุ่งเน้นไปที่การเติบโตของโปรแกรมในภูมิภาคอาเซียน และมีการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ด้วยความร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรต่าง ๆ ในแต่ละประเทศ
![]()
คุณสุทธิกานต์ สุรนันท์ นักออกแบบกราฟิกและผู้ดูแลสำนักงานจากกรุงเทพฯ ที่ปัจจุบันเป็นผู้ว่างงาน กล่าวว่า “ดิฉันสนใจที่จะเข้าร่วมโปรแกรม AWS re/Start เนื่องจากเป็นโอกาสสำหรับตัวเอง ที่ไม่ได้เรียนด้านไอทีหรือทำงานในสายงานด้านเทคนิคมา ที่จะได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ และมีโอกาสก้าวหน้าไปสู่การพัฒนาอาชีพในด้านคลาวด์ได้ ดิฉันมั่นใจว่างานในสายงานนี้เป็นที่ต้องการสูงและจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต สิ่งที่ดีที่สุดคือโปรแกรมนี้ให้การฝึกอบรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้นดิฉันจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้เพื่อเรียนรู้ทักษะด้านคลาวด์และลงทุนในตัวเอง”
ผู้เรียนที่เข้าร่วมในโปรแกรม AWS re/Start Thailand กลุ่มแรกในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากการประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ AWS Asia Pacific (Bangkok) Region เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่ประกาศแผนการลงทุนในประเทศไทยประมาณ 190,000 ล้านบาท (5 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 15 ปี การฝึกอบรมทักษะดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญของการลงทุนครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ผู้ว่าจ้างและบุคลากรทั้งในภาครัฐและเอกชนในประเทศไทย สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจและอาชีพ เพิ่มผลผลิตและนวัตกรรม และสนับสนุนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศในยุคดิจิทัล ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นมา AWS ได้ฝึกอบรมทักษะด้านคลาวด์ให้แก่บุคลากรในประเทศไทยไปแล้วกว่า 50,000 คน และมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดช่องว่างด้านทักษะด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมและการรับรองของ AWS
สามารถเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AWS re/Start หรือสมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้ในประเทศไทยได้ที่นี่
GWS CLOUD และ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) สนับสนุน Cubinet ช่วยให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่เร็วยิ่งขึ้น ด้วยเวลาตอบสนองที่รวดเร็วเชื่อถือได้และ latency ต่ำ เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดของชุมชนเกมเมอร์ออนไลน์
อุตสาหกรรมวิดีโอเกมมีการเติบโตอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากข้อมูลสถิติในปัจจุบัน มีจำนวนผู้เล่นวิดีโอเกมทั่วโลกมากถึง 3.24 พันล้านคน หรือมากกว่า 40% ของจำนวนประชากรทั่วโลก และในทวีปเอเชียเพียงแห่งเดียวมีจำนวนผู้เล่นเกมอยู่เกือบถึง 1.5 พันล้านคน ส่งให้ทวีปเอเชียก้าวสู่การเป็นตลาดเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จากการเป็นงานอดิเรกของคนเฉพาะกลุ่ม วิดีโอเกมได้กลายมาเป็นหนึ่งในตลาดที่มีมูลค่าสูงสุดในอุตสาหกรรมบันเทิง ปัจจุบันอุตสาหกรรมวิดีโอเกมมีมูลค่ามากถึง 197.11 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขนี้คาดว่าจะเติบโตสูงยิ่งขึ้นไปอีกในไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ทำให้ความนิยมในการเล่นวิดีโอเกมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้คนหันมาเล่นวิดีโอเกมเพื่อความบันเทิงในขณะอยู่ที่บ้าน
แม้ว่าแนวโน้มการซื้อวิดีโอเกมจะกลับมาเป็นปกติในปี 2565 แต่อุตสาหกรรมนี้ยังคงเป็นตลาดหลักในอุตสาหกรรมบันเทิง โดยคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 268 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2568
เกมออนไลน์แบบมีผู้เล่นจำนวนมาก (MMO) ต้องอาศัยการมองเห็นร่วมกันแบบเรียลไทม์ระหว่างผู้เล่นเกมบนหน้าจอเดียวกัน ซึ่งในโลกของเกมออนไลน์ คุณภาพของเกมจะเป็นตัววัดความสำเร็จต่อประสบการณ์การเล่นเกมของผู้เล่น และช่วยให้เอาชนะผู้เล่นคนอื่นได้
การเล่นเกมบนคลาวด์เกี่ยวข้องกับการเรียกใช้วิดีโอเกมบนเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลและสตรีมไปยังอุปกรณ์ของผู้ใช้ ดังนั้นทางเลือกของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีผลอย่างมากต่อประสบการณ์การเล่นเกม รวมถึงประสิทธิภาพ ความเรียลไทม์ ความพร้อมใช้งานของเกม เวลาในการโหลด ความปลอดภัย ค่าใช้จ่าย และการสนับสนุนต่างๆ
Cubinet มอบความบันเทิงออนไลน์ไร้ขีดจำกัดด้วยเกมต่างๆมากมาย เช่น 9Yin, Perfect World และอื่นๆ มุ่งเน้นให้เกมเมอร์ทั่วโลกใช้งานได้ง่าย ในหลายอุปกรณ์ อาทิ พีซี โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน โดย Cubinet ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ในประเทศมาเลเซีย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้เติบโตขึ้นและกลายเป็นผู้นำอุตสาหกรรมวีดีโอเกมในเอเชียด้วยการเพิ่มขึ้นของพันธมิตรนักพัฒนาและจำนวนผู้เล่นมากกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก
ในปี 2565 บริษัทเกมซึ่งโฮสต์อยู่บนคลาวด์ต้องเผชิญกับปัญหาด้าน latency หรือ ความหน่วงที่ส่งผลต่อความเร็วในการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มได้ จึงส่งผลกระทบต่อความพึงพอใจของเกมเมอร์ จนกลายเป็นผลตอบรับในเชิงลบกลับมาที่บริษัท รวมไปถึงในโซเชียลมีเดียและออนไลน์ฟอรัมต่างๆ และในโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันหมด การที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและสร้างผลกระทบถึงคุณค่า
ทั้งหมดได้ Cubinet ตระหนักดีถึงความเสี่ยงและผลกระทบดังกล่าว จึงเร่งตัดสินใจดำเนินการและมองหาบริการคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพ โดยได้ร่วมมือกับ GWS CLOUD เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เล่น
GWS CLOUD มีการประมวลผลประสิทธิภาพสูง ให้ความครอบคลุม และมีคุณสมบัติทางด้านเทคนิคที่ดีกว่าของคู่แข่งหลายราย ยิ่งไปกว่านั้น ยังอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเอเชีย ใกล้กับผู้ใช้งาน (end user) ทำให้ latency ต่ำ และตอบโจทย์ความต้องการของทีมนักพัฒนา รวมถึงพื้นที่เก็บข้อมูล ตลอดจนความเร็ว SSD และเครือข่ายแบนด์วิธความเร็วสูง
โซลูชั่น GWS CLOUD ได้รับการสนับสนุนโดย eASPNet ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์อันดับหนึ่งในไต้หวัน และโฮสต์อยู่ที่ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นศูนย์ข้อมูลไฮเปอร์สเกลที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงการย้ายข้อมูลและการใช้งาน เราประทับใจในบริการของทีม ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) และการตอบสนองที่รวดเร็วในการแก้ปัญหา เรายังรู้สึกทึ่งกับทักษะทางด้านภาษาของทีมงาน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ระหว่างประเทศของเรา ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี การร้องเรียนของลูกค้าลดลงถึง 90% ในทันที ซึ่งทำให้เรามั่นใจที่จะขยายทั้งฐานลูกค้าและบริการบันเทิงออนไลน์ของเราในอนาคต” คุณพีรพล อัศวถาวรวานิช เจ้าหน้าที่ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ, บริษัท คิวบิเน็ต อินเตอร์แอคทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
การรักษาประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่นบนอุปกรณ์ต่างๆนั้น ต้องอาศัยทั้งพลังและความพร้อมใช้งานที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่อง การหยุดทำงานใดๆ อาจส่งผลให้ผู้เล่นสูญเสียความก้าวหน้าและความสนใจต่อเกม ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประสบการณ์ของผู้เล่น โซลูชั่น GWS CLOUD ช่วยให้ Cubinet มีโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ขั้นสูงที่สำคัญต่อภารกิจในเกม พร้อมยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ด้วย latency ที่ลดลง มีการตอบสนองและอัตราการแสดงผลภาพที่สูงขึ้น ช่วยลดการหยุดชะงักในเกมบนมือถือ
“ทุกวันนี้ ใครๆ ก็พูดถึงคลาวด์ และสิ่งสำคัญคือต้องสร้างความแตกต่างระหว่างคุณภาพและความสามารถของคลาวด์ ตัวอย่างเช่น เครือข่ายผู้ให้บริการเนื้อหา (CDN) และอุตสาหกรรมเกม มีข้อกำหนดเฉพาะซึ่งจำเป็นต้องได้รับการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับไฮเอนด์ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดของตนได้ การเป็นพันธมิตรกับ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) นั้น มุ่งเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก และเราสามารถใช้จุดแข็งของทั้งสองบริษัทในการปรับแต่งโซลูชั่นคลาวด์ทั้งแบบส่วนตัว สาธารณะ หรือแบบผสมผสานสำหรับลูกค้าของเรา” Mr. Hans Huang ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ของ GWS CLOUD กล่าว
นอกจากนี้ ด้วยบริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่ทรงพลังและเชื่อถือได้ ทำให้ Cubinet สามารถทุ่มเททรัพยากรไปที่การพัฒนาแอปพลิเคชั่นและการบริการลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน ทีมเทคนิคสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การเล่นวิดีโอเกมที่โดดเด่น และใช้เวลาดูแลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานน้อยลง ทำให้สามารถเร่งความเร็วในการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ แพตช์เพิ่มเติม หรือเกมใหม่ๆ และสามารถเข้าถึงทรัพยากรด้านการประมวลผลได้อย่างง่ายดายเพื่อจัดการกับปริมาณการใช้งานของผู้เล่นที่เพิ่มมากขึ้น
· ประกาศความเคลื่อนไหวในการปรับโฉมกลยุทธ์องค์กรเพื่อต่อยอดสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
· บุกเบิกความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี ที่สร้างศักยภาพแบบทวีคูณให้กับเครือข่ายได้จริง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในอนาคตของเมตาเวิร์ส
· ภาพลักษณ์ใหม่ที่เผยออกมานี้เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับ B2B ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลทั่วทั้งแวดวงอุตสาหกรรม
27 กุมภาพันธ์ 2566
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย - โนเกีย ประกาศความคืบหน้าขององค์กรและกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี รวมถึงเผยโฉมภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ระยะยาวของโนเกีย ณ งานโมบายล์เวิลด์คองเกรส บาร์เซโลน่า ประจำปี 2023 (MWC Barcelona 2023)
หลายบริษัททั่วทั้งอุตสาหกรรมกำลังมองหาลู่ทางในการปรับตัวสู่ความเป็นดิจิทัลเพื่อพัฒนาทั้งด้านประสิทธิภาพ ความสามารถในการยืดหยุ่น และผลิตภาพบนแนวทางของความยั่งยืน ซึ่งเครือข่ายถือเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านนี้ และโนเกียก็มีจุดยืนที่ชัดเจนที่มาพร้อมผลงานที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในระดับแถวหน้าในบรรดาเทคโนโลยีเครือข่ายทั้งแบบคงที่ แบบเคลื่อนที่ และระบบคลาวด์
เป็กก้า ลุนด์มาร์ก ประธานและซีอีโอของโนเกีย กล่าวว่า “เราเห็นศักยภาพของดิจิทัลในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ อุตสาหกรรม และสังคม ที่มาพร้อมโอกาสอย่างมีนัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิต ความยั่งยืน และการเข้าถึง เทคโนโลยีเครือข่ายชั้นนำที่ต้องการความแม่นยำสูงในตลาดของเรากำลังเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะจากลูกค้าหรือคู่ค้าในทุกแวดวงอุตสาหกรรม เรามองเห็นอนาคตที่ซึ่งเครือข่ายไปได้ไกลกว่าการเชื่อมโยงผู้คนและสรรพสิ่ง เป็นเครือข่ายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เป็นอิสระ และสามารถใช้ได้จริง และยังเป็นเครือข่ายที่สามารถรู้สึก คิด และกระทำได้จริง พร้อมไปกับการเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลให้มากขึ้นอีกด้วย”
“วันนี้เราได้มาแบ่งปันความเคลื่อนไหวขององค์กรและกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีที่เน้นความสำคัญด้านการปลดปล่อยศักยภาพแบบทวีคูณของเครือข่าย ซึ่งเป็นการกรุยทางสู่อนาคตที่เครือข่ายจะมาบรรจบกับระบบคลาวด์เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าเรากำลังปรับเปลี่ยนแบรนด์ใหม่ซึ่งจะสะท้อนตัวตนของเราในปัจจุบัน ว่าโนเกียคือนำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับ B2B ที่ไม่ใช่โนเกียที่โลกเคยรู้จักมาก่อน”
กลยุทธ์พลิกโฉมแบรนด์
โนเกีย ต่อยอดกลยุทธ์ทั้งสามเฟสที่จะนำพาองค์กรสู่การเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนและสร้างผลกำไรได้ โดยการจะให้ช่วงการเริ่มต้นปรับเปลี่ยนดังกล่าวเสร็จสมบูรณ์ได้ โนเกียได้เร่งเดินหน้าในการวางรากฐานสำหรับระยะการปรับเปลี่ยนในฐานะของผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ไร้ที่ติ และยังคงมุ่งมั่นในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายทางการเงินในระยะยาวของโนเกียซึ่งมีการปรับใหม่ตามผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2565
กลยุทธ์การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ของโนเกีย ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จและเป็นรากฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้ ประกอบด้วย 6 แกนหลัก ดังนี้
· เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดกับผู้ให้บริการ ที่ขับเคลื่อนด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
· ขยายสัดส่วนของลูกค้าองค์กรในอัตราส่วนของลูกค้าทั้งหมด
· ยังคงจัดการพอร์ตธุรกิจอย่างแข็งขันเพื่อสร้างความมั่นคงในการเป็นผู้นำในทุกเซ็กเมนต์ธุรกิจที่โนเกียตัดสินใจจะลงแข่งขัน
· คว้าโอกาสจากเซ็กเตอร์อื่นที่นอกเหนือจากอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อสร้างรายได้จาก IP ของโนเกีย และเดินหน้าลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อเทคโนโลยีของโนเกียอย่างต่อเนื่อง
· ดำเนินกิจการตามโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น การให้บริการ as-a-Service ตลอดจน
· พัฒนาแนวทาง ESG ให้เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และกลายเป็นตัวเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับความไว้วางใจในแวดวงอุตสาหกรรม
สิ่งที่ช่วยให้โนเกียบรรลุเป้าหมายดังกล่าวประกอบด้วย 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ พัฒนาผู้มีศักยภาพต่ออุตสาหกรรมในอนาคต, ลงทุนในการวิจัยระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโดเมนหลัก เช่น 6G, ปรับการดำเนินกิจการสู่ความเป็นดิจิทัลเพื่อพัฒนาในด้านความคล่องตัวและผลิตภาพ, รวมถึงการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในครั้งนี้
กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยี
กลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีล่าสุดของโนเกียจะอธิบายถึงวิธีการที่เครือข่ายจำเป็นต้องมีวิวัฒนาการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของยุคเมตาเวิร์ส
ขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไปพึ่งพาการเชื่อมต่อมากขึ้น เครือข่ายจะกลายมาเป็นโครงสร้างที่สำคัญให้กับทุกเรื่องที่เป็นดิจิทัลที่ซึ่งศักยภาพของเครือข่ายและความสามารถในการใช้ได้จริงนั้นจะมีน้ำหนักและความสำคัญเท่ากัน คุณภาพของระบบเครือข่ายแบบดั้งเดิมจะต้องรวมกันได้กับความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับขนาดของระบบคลาวด์
เครือข่ายซึ่งรู้สึก คิด และกระทำเหล่านี้มีศักยภาพที่จะนำพาพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของระบบเครือข่ายไปสู่ทุกภาคอุตสาหกรรมได้
โนเกียอยู่ในจุดที่ดีที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ผ่านพอร์ตผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุด รวมถึงการวิจัยที่พลิกวงการอุตสาหกรรมระดับแถวหน้าจาก Nokia Bell Labs วันนี้ที่งาน MWC โนเกียได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่เพื่อแสดงให้เห็นและส่งเสริมความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของบริษัท
การปรับภาพลักษณ์แบรนด์
เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กรที่เปลี่ยนไป โนเกีย จึงได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ในครั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงตัวตนของโนเกียในปัจจุบัน นั่นคือ การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับ B2B ที่สร้างเสริมศักยภาพด้านดิจิทัลในทุกแวดวงอุตสาหกรรมได้จริง แบรนด์รูปแบบใหม่นี้จะช่วยยืนยันให้เห็นถึงคุณค่าที่นำมาสู่ความเชี่ยวชาญด้านเครือข่าย ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี การบุกเบิกด้านนวัตกรรมและความร่วมมือ
โลโก้ใหม่ของโนเกียได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้แสดงถึงพลัง ความไม่หยุดยั้งในการพัฒนา และความทันสมัย ที่แสดงถึงคุณค่าและเป้าหมายของแบรนด์เป็นสำคัญ และยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือซึ่งโนเกียเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างศักยภาพแบบทวีคูณให้กับเครือข่ายให้เป็นจริงได้ คือ การปลดล็อกผลตอบแทนในด้านความยั่งยืน ผลิตภาพ และการเข้าถึง