กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ปิดฉากสุดประทับใจสำหรับบิ๊กอีเวนท์กลางกรุง “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ที่เปิดให้ประชาชนและคนรักเครื่องดื่มจากทั่วประเทศไทยเข้างานฟรี ภายในงานเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ การจับคู่ธุรกิจ และความสนุกสนาน พร้อมเสิร์ฟเมนูเครื่องดื่มพิเศษที่สร้างสรรค์ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น ผสานกับเทคนิคการผลิตระดับสากล ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และเรียนรู้ศาสตร์เบื้องหลังการสร้างเครื่องดื่มชั้นเลิศอย่าง กาแฟ โกโก้ และสุราพื้นบ้าน ตั้งแต่วันที่ 5 – 10 กันยายน 2567 ณ ลานศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งตลอดระยะเวลาการจัดงาน 6 วัน ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้มากกว่าแสนคน สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมมากกว่า 168 ล้านบาท
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การจัดงาน “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ถือเป็นความท้าทายของ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ในการนำเสนอศักยภาพของเครื่องดื่มไทยสู่สายตาระดับสากล ซึ่งไม่เพียงที่จะต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการในประเทศ แต่ยังต้องการสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความคิดสร้างสรรค์ของผลิตภัณฑ์ไทยให้ก้าวไกลสู่ตลาดโลก งานนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการผลิตเครื่องดื่มที่สามารถต่อยอดสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ตลอดจนเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไทยที่มีศักยภาพสู่การแข่งขันในระดับสากล
นายภาสกร กล่าวต่อว่า ภายในงาน “CRAFT DRINK by DIPROM” ประกอบด้วยหลากหลายกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับกระบวนการผลิตเครื่องดื่มที่ผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ การจัดเวิร์กช็อปจากผู้เชี่ยวชาญในวงการเครื่องดื่ม การเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ และการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังมีการชิมเมนูพิเศษจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มท้องถิ่นที่สร้างสรรค์ขึ้นสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ พร้อมโชว์จากศิลปินชื่อดังที่ผลัดเปลี่ยนกันมาสร้างความสนุก และพิเศษสุดกับการเนรมิตรโซนกิจกรรมที่น่าสนใจเต็มพื้นที่หน้าลานศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อมอบความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง ซึ่งตลอดระยะเวลาการจัดงาน 6 วัน มีประชาชนเข้าร่วมงาน 105,000 คน สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมมากกว่า 168 ล้านบาท ทั้งนี้ ความสำเร็จของงาน CRAFT DRINK by DIPROM สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความสำคัญของของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยที่สามารถก้าวสู่ตลาดสากลได้อย่างมั่นคง ตลอดจนเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ช่วยเสริมสร้างเครือข่ายและโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
งาน “CRAFT DRINK by DIPROM” ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่เกิดจากความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงสมาคมฯ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการเครื่องดื่มไทย โดยในงานมีหนึ่งไฮไลต์สำคัญอย่างกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ หรือ Business Matching ในหัวข้อ "เวทีจับคู่เครื่องดื่มไทยนำธุรกิจไกลสู่สากล" ซึ่งช่วยเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับตลาดต่างประเทศ สร้างโอกาสในการขยายธุรกิจร่วมกัน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไทยทั้ง 3 กลุ่ม ได้พบปะกับผู้ซื้อและผู้จัดจำหน่ายจากประเทศชั้นนำ อาทิ CP Extra, Tops Supermarket, บริษัท พีเค โกโก้ แอนด์ ช็อกโกแลต จำกัด, บริษัท คอนเซพท เคส จำกัด รวมถึงตัวแทนจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐอินเดีย ตลอดจนการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ SME D Bank เพื่อเสริมศักยภาพการลงทุนและความมั่นคงทางธุรกิจ
นายภาสกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ดีพร้อม ขอขอบคุณทุกความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนให้งาน CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล ผ่านไปได้อย่างสมบูรณ์และประสบความสำเร็จ ซึ่งการร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกท่านถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราสามารถนำเสนอแนวทางใหม่ ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาภาคการเกษตรและการสร้างมูลค่าเพิ่มสู่เกษตรอุตสาหกรรม รวมถึงผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อสร้างอัตลักษณ์ท้องถิ่นและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศของเราไปข้างหน้า โดย ดีพร้อม จะเดินหน้ามุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชน อีกทั้งยังหวังว่าจะได้พบกับทุกท่านในกิจกรรมอื่น ๆ ของดีพร้อมต่อไป”
ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ได้ทางเว็บไซต์ www.diprom.go.th และเฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/dipromindustry หรือโทร. 0 2430 6860
เทศกาลเครื่องดื่มที่ทุกคนรอคอย "CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล" ได้เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่แล้วที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ท่ามกลางความสนใจของผู้คนจำนวนมากที่หลั่งไหลมาร่วมงานตั้งแต่วันแรก
บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคักและสีสัน ผู้เข้าชมงานต่างตื่นตาตื่นใจไปกับโซนแสดงสินค้า DRINKING AVENUE ที่รวบรวมร้านค้ากว่า 122 คูหาจากผู้ประกอบการกาแฟ โกโก้ และสุราชุมชนทั่วประเทศ ตลอดจนมีกิจกรรมมากมายที่สร้างความสนุกสนานให้กับผู้เข้าร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นการประกวด Cocoarista DIPROM Contest และ Speed Latte Art DIPROM Contest ที่ดึงดูดสายตาผู้ชมด้วยความสามารถอันน่าทึ่งของผู้เข้าแข่งขัน รวมถึงไฮไลต์ของงานอย่างโซนนิทรรศการที่ให้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟ โกโก้ และสุราชุมชน พร้อมด้วยเวทีกิจกรรม Co-Drinking Space และ DIPROM Drink Lab ที่มีการจัดเวิร์กช็อปและเสวนาในหัวข้อที่น่าสนใจตลอดทั้งวัน
พิเศษสุด! เวลา 18.00 - 19.00 น. พบกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชั้นนำที่จะมาเติมเต็มบรรยากาศให้สนุกสนานโดยในวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. พบกับ SarahSalola, วันเสาร์ที่ 7 ก.ย. พบกับ อะตอม ชนกันต์ และวันจันทร์ที่ 9 ก.ย. พบกับ คริส พีรวัส ที่จะขนเพลงฮิตและการแสดงสดมาให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีในบรรยากาศสุดพิเศษพร้อมจิบเครื่องดื่มแบบเข้มๆ!
สำหรับใครที่ยังไม่ได้มาร่วมงาน อย่าพลาดโอกาส! ขอเชิญมาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 กันยายน 2567 เวลา 10.00 - 22.00 น. ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เข้าร่วมงานฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย มาร่วมเดินทางผ่านรสชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลายของเครื่องดื่มไทย พร้อมเพลิดเพลินกับกิจกรรมสนุก ๆ มากมายและดื่มด่ำไปกับการแสดงดนตรีสดจากศิลปินชื่อดังที่จะมาสร้างความประทับใจให้คุณอย่างเต็มที่
ติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: DIPROM Thailand หรือสอบถามข้อมูลได้ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) โทร. 0 2430 6860 หรือเว็บไซต์ www.diprom.go.th
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เร่งยกระดับศักยภาพเครื่องดื่มไทยที่ผลิตจากชุมชนใน 3 ผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ คือ กาแฟ โกโก้ และสุราพื้นบ้าน พร้อมผลักดันเครื่องดื่มชุมชนสู่ตลาดในวงกว้าง ด้วยการจัดงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 5 – 10 กันยายน 2567 โดยนำผู้ประกอบการเครื่องดื่มชุมชน โกโก้ กาแฟ และสุราชุมชน นำสินค้าเข้าร่วมจัดแสดง และจำหน่ายให้กับผู้ที่เข้าชมงานกว่า 120 ร้านค้า ตั้งเป้ามีผู้ร่วมงานมากกว่าแสนคน และต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) เดินหน้านโยบาย "RESHAPE THE FUTURE: โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต" ด้วยการมุ่งยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนเครื่องดื่มไทย ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ให้สามารถเติบโตได้ในระดับสากลและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต จึงได้จัดงาน “CRAFT DRINK by DIPROM ศาสตร์และศิลป์เครื่องดื่มไทย นำธุรกิจไกลสู่สากล” ขึ้น ระหว่างวันที่ 5 - 10 กันยายน 2567 เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรม และเครื่องดื่มไทยสู่ตลาดโลกอย่างเต็มที่ และตอกย้ำเจตนารมณ์ในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นเอกลักษณ์ เพื่อแข่งขันในตลาดสากลได้อย่างยั่งยืน โดยชูสินค้า 3 กลุ่มหลักสำคัญ ได้แก่ 1) กาแฟ 2) โกโก้ และ 3) สุราพื้นบ้าน หวังยกระดับสินค้าชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมพัฒนาตลาดสินค้าเครื่องดื่มชุมชนเหล่านี้ให้เป็นที่แพร่หลายไปสู่ระดับโลก
โดยงานนี้ เป็นการสร้างปรากฏการณ์การรวมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของไทย ที่มีความหลากหลายและมีอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เป็นส่วนหนึ่งของซอฟต์พาวเวอร์ในด้านอาหารของไทย อีกทั้งยังได้ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากกลุ่มผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนจากทุกภูมิภาค เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ ตั้งเป้ามีผู้ร่วมงานมากกว่าแสนคน และต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 140 ล้านบาท ตลอดการจัดงาน 6 วัน
ณรงค์ฤทธิ์ ผลห้า ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์โกโก้ เจ้าของแบรนด์ Singora chocolate หนึ่งในผู้ประกอบการโกโก้ที่เข้าร่วมออกบูธในงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องดื่มโกโก้ หรือช็อกโกแลต ยังมีโอกาสอีกมากในประเทศไทย เนื่องจากคนไทยหันมาสนใจเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเครื่องดื่มโกโก้เข้ามาตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ดี เพราะโกโก้เป็นแหล่งสำคัญของ polyphenol ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยบรรเทาภาวะของโรคเครียด โรคซึมเศร้า ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยระดับลดน้ำตาลในเลือด รวมทั้งยังเป็นเครื่องดื่มที่ทานได้ทุกเวลา และทุกช่วงวัย
จากการแสความนิยมโกโก้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราขยายธุรกิจจากวิสาหกิจชุมชนไปสู่การเป็นเอสเอ็มอีโดยใช้จุดเด่นของผงโกโก้ที่มีโกโก้บัตเตอร์ซึ่งเป็นไขมันดีมีประโยชน์ต่อร่างกายสูงถึง 22% มากกว่าผงโกโก้ทั่วไปในท้องตลาดที่มีเพียง 10 – 12% รวมทั้งที่โรงงานยังมีการผลิตอย่างครบวงจรตั้งแต่เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ผลิตโกโก้ ไปจนถึงผงโกโก้ ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากโกโก้ และยังมีมีคอร์สสอนแปรรูปตั้งแต่ผลสดจนเป็นผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ โกโก้ของไทยก็มีจุดเด่นที่เกิดจากพื้นที่และภูมิอากาศที่แตกต่างจากที่อื่น ทำให้โกโก้ของไทยจะมีความเปรี้ยวปลายนิด ๆ สดชื่นคล้ายผลไม้เมืองร้อน เป็นรสชาติใหม่ที่ต่างประเทศไม่มี ทำให้โกโก้ของไทยสามารถพัฒนาไปสู่เกรดพรีเมียมได้ รวมทั้งโกโก้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นช็อกโกแลตที่เป็นขนมหวานราคาสูง และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก และยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่เข้ากับเทรนด์ความต้องการในโลกยุคใหม่ จึงเหมาะกับประเทศไทยที่เป็นผู้แปรรูปอาหารชั้นนำของโลก เป็นโอกาสในการสร้างสินค้าใหม่ทำรายได้เข้าประเทศได้อีกมาก
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องนำเข้าโกโก้จากต่างประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยผลผลิตเมล็ดโกโก้แห่งภายในประเทศมีไม่ถึง 1 พันตันต่อปี ทำให้ต้องนำเข้ากว่า 5 พันตันต่อปี ดังนั้นยังมีโอกาสขยายกำลังการผลิตได้มากกว่า 5 เท่าตัว โดยพื้นที่เหมาะสมในการปลูกโกโก้จะอยู่ในภาคใต้ ซึ่งโกโก้เป็นพืชที่ปลูกแซมในสวนยาง และสวนผลไม้ต่าง ๆ ได้ดี เพราะไม่ต้องการแสงแดดมาก จึงเหมาะกับเกษตรกรทั่วไปที่จะปลูกโกโก้เพิ่มรายได้ให้มากขึ้นกว่าการปลูกพืชหลักเพียงอย่างเดียว
โดยภายในงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” นี้ จะมีการเปิดตัวเครื่องดื่มโกโก้ในรูปแบบใหม่ คือ ช็อกโกแลตน้ำตาล เป็นการนำน้ำตาลโตนดที่ผลผลิตขึ้นชื่อท้องในถิ่นเข้ามาประยุกต์สร้างเป็นเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ทีดีต่อสุขภาพ เพราะน้ำตาลโตนดมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำทำให้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า บวกกับคุณประโยชน์ของโกโก้ จึงเป็นเครื่องดื่มรูปแบบใหม่ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง รวมทั้งยังนำผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ลิบบาล์ม หรือ ลิปสติก ซึ่งเป็นการแปรรูปนำบัตเตอร์โกโก้มาผลิต จึงมีคุณสมบัติในการบำรุงริมฝีปากได้ดี โดยมองว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะโตได้อีกมากในอนาคต รวมทั้งยังมีแผนที่จะร้านช็อกโกแลตคราฟท์ ที่เป็นโกโก้คาเฟ่เต็มรูปแบบ เป็นทางเลือกใหม่ที่ทานได้ทุกวัย ซึ่งในปัจจุบันมีร้านโกโก้คาเฟ่แท้ ๆ ทั่วประเทศไม่ถึง 50 ร้าน ดังนั้นจึงมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เพราะเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ที่รักสุขภาพ
ด้าน สุรีรัตน์ สิงห์รักษ์ ผู้ประกอบการกาแฟแบรนด์ “ลองเลย” เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นในการดำเนินธุรกิจ มาจากแนวคิดที่จะส่งเสริมให้ชาวบ้านใน อ.นาแห้ว จ.เลย เข้ามาร่วมปลูกป่าชุมชนพร้อมกับการปลูกพืชต่าง ๆ เข้ามาเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งส่งผลดีให้กับทุกฝ่าย และยังได้ปรับสภาพ อ.นาแห้ว จากภูเขาหัวโล้นไปสู่ป่าที่อุดมสมสมบูรณ์ด้วยความร่วมมือของคนในท้องถิ่น โดยได้นำกาแฟพันธ์อราบิก้า มาเป็นพืชหลักในการส่งเสริมเพาะปลูกร่วมกับป่า
โดยในช่วงแรกในปี 2557 มีเพียง 5 ครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการนี้ แต่ในปัจจุบันได้ขยายไปเป็น 125 ครัวเรือน และในปี 2560 ได้สร้างโรงคั่วกาแฟ เพื่อแปรรูปกาแฟให้กับชุมชน และในปีนี้ก็มีชาวบ้านเข้ามาร่วมอบรมเข้าโครงการนี้เพิ่มอีก 116 ครัวเรือน จึงทำให้คาดว่าจะมีครัวเรือนที่เข้าร่วมแตะ 300 ครัวเรือนได้ในปีหน้า เนื่องจากชาวบ้านได้เห็นตัวอย่างของผู้ที่เข้าโครงการได้รับรายได้เพิ่มเป็นกอบเป็นกำทุกปี จึงมีผู้สนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย กาแฟลองเลย ในช่วงแรก เป็นเพียงการนำผลผลิตกาแฟจากชาวบ้านมาแปรรูปจำหน่ายเป็นเมล็ดกาแฟคั่ว และกาแฟคั่วบด ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการเป็นกาแฟพรีเมียมที่มีรสชาตเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น แต่ในช่วงการระบาดของโควิด 19 ทำให้ยอดขายลดลงไปมาก จึงได้ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เข้ามาช่วยปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และพัฒนาการผลิตไปสู่การผลิตเป็นแคปซูลกาแฟที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ รวมทั้งยังได้ช่วยปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีรูปแบบสวยงามที่เล่าเรื่องราวการสร้างป่า สร้างรายได้ เปลี่ยนภูเขาหัวโล้นให้เป็นป่าที่สมบูรณ์ นำไปสู่การสร้างผลิตที่มีคุณภาพสูงควบคู่กับการสร้างป่าและพัฒนาชุมชน นอกจากนี้ ดีพร้อมยังเข้ามาช่วยพัฒนามาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ จึงทำให้สินค้าขายได้มากขึ้น และเป็นที่จดจำในตลาดวงกว้าง
“หลังจากที่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ ก็ได้รับการตอบสนองจากลูกค้าดีขึ้น ยอดขายเพิ่มขึ้น และคนทั่วไปก็รู้จักสินค้าของเรามากขึ้น โดยในก้าวต่อไปจะมุ่งไปสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรม ที่ตั้งเป้าหมายจะส่งเข้าไปขายในโมเดิร์นเทรดให้ได้ในอนาคต ทำให้คนทั่วไปรู้จักแบรนด์ลองเลยมากขึ้น”
สำหรับการร่วมงาน “CRAFT DRINK BY DIPROM” ในครั้งนี้ ได้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ อเมริกาโนฮันนี่เลมอน หรือ กาแฟน้ำผึ้งป่า ซึ่งเป็นการนำผลผลิตจากป่าชุมชน เช่น น้ำผึ้ง และมะนาว เข้ามาประยุกต์ร่วมกับกาแฟของท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวรสชาติดีจนทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นเมนูใหม่ที่ไม่เหมือนใคร สะท้อนอัตลักษณ์ของกาแฟชุมชนของเรา
นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาเพื่อพัฒนาไปสู่การผลิตเป็นกาแฟฮันนีเลมอนสำเร็จรูป ที่เก็บได้นาน และสะดวกในการกระจายสินค้าไปสู่วงกว้าง รวมทั้งการทำธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อขยายแบรนด์ร้านกาแฟลองเลยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปสู่พื้นที่อื่น ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังพัฒนาให้การผลิตในจำนวนมากให้มีรสชาติคงที่ ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดร้านกาแฟสาขาในจังหวัดเลย และที่กรุงเทพฯ และยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่เป็นเมล็ดกาแฟคัว, กาแฟคั่วบด, กาแฟสกัดเย็น, กาแฟแคปซูล ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มจุดจำหน่าย และเพิ่มยอดขายผ่านออนไลน์ให้มากขึ้น
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) ด้วยการเพิ่มโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุ ชิ้นส่วนด้านอากาศยาน และอวกาศ เพื่อเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ โดยการเพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนการนำทรัพยากรมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่โลกอนาคต
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบาย IGNITE THAILAND ของรัฐบาลที่มุ่งเป้าพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ซึ่งอุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก และยังเป็น S-Curve ใหม่ ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการต่อยอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ในอนาคต รวมทั้งเศรษฐกิจอวกาศยังเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีอวกาศ จึงช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศชั้นนำของโลก และก้าวนำประเทศคู่แข่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้ามาสร้างโอกาสการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจอวกาศให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยจะพัฒนาเพื่อให้เกิดเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ และขยายผลไปสู่เชิงพาณิชย์ได้ในหลากหลายมิติ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ในการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเข้ามาเติมเต็มการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอวกาศอย่างยั่งยืนในอนาคต
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า หนึ่งในการดำเนินงานที่สำคัญของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) คือการมุ่งเน้นด้านการวิจัยและนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคส่วนเศรษฐกิจกระแสหลักของประเทศ โดย อว. ตั้งเป้าขยายผลการใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาต่อยอดการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม จึงให้ความสำคัญในการส่งเสริม การสร้างและสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน Startup SMEs และบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างสองกระทรวงในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเพื่อก้าวสู่ภารกิจด้านกิจการอวกาศของไทย โดยได้มอบหมายให้ GISTDA เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนองค์ความรู้ เพื่อสร้างนวัตกรรมจากเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และเพื่อขยายระบบโครงสร้างอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ โดยหน่วยงานรัฐและเอกชนทุกภาคส่วนจะมีโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งจะผลักดันให้ไทยเข้าสู่ Global Value Chain ด้านอวกาศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขานรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับนโยบาย “RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยน อุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต” ด้วยการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือ (DIPROM CONNECTION) ผ่านลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมติดปีกอุตสาหกรรมอนาคต ด้วยเศรษฐกิจอวกาศ กับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ โดยใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ มาต่อยอดในการดำเนินธุรกิจในมิติต่าง ๆ เพื่อก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคตโดยการบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมเศรษฐกิจอวกาศ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าในระดับโลก พร้อมยกระดับมาตรฐานด้านการทดสอบและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการในการทดสอบวัสดุและชิ้นส่วนด้านอากาศยานและอวกาศ สนับสนุนการเป็นฐานการประกอบธุรกิจด้านการบินและอวกาศ รวมถึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อเพิ่มการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล ตลอดจนการนำทรัพยากรของประเทศมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาผู้ประกอบการร่วมกันแล้ว ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ อุปกรณ์ กลไกต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร รองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมต่อไปอีกด้วย
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA กล่าวว่า GISTDA มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศ ด้วยการสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ ซึ่งปัจจุบันได้นำมาประยุกต์ใช้ในหลายอุตสาหกรรม ดังนั้น การลงนามครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ GISTDA จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและผลักดันการใช้ เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรมในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน GISTDA ได้ตระหนักถึงความสำคัญและแนวโน้มของเศรษฐกิจอวกาศใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเศรษฐกิจยุคใหม่ที่มีเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยตัวเลขพบว่าทั่วโลกมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 8.1 มูลค่าสูงราว 415 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกที่มีมูลค่าสูงกว่า 400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจากการศึกษาวิเคราะห์ของ GISTDA พบว่า ประเทศไทยมีธุรกิจที่ต่อยอดจากการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอวกาศ มากกว่า 35,600 กิจการ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 56,000 ล้านบาทต่อปี จึงสะท้อนได้ว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทยได้อีกมากในอนาคต ดังนั้น GISTDA จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ บุคลากร ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ที่จะสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีอวกาศสู่ภาคเอกชน ตลอดจนการดำเนินงานต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใต้การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างสรรค์ธุรกิจอุตสาหกรรมอวกาศใหม่ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศต่อไป ดร.ปกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย