December 05, 2025

SCB WEALTH จัดงานเสวนาออนไลน์ ผ่านทาง SCB WEALTH Line official ในหัวข้อ “ผ่าทางรอดเศรษฐกิจไทย รับ 2 ผู้นำใหม่” ทั้งรัฐบาลและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการผนึกกำลังกับทีม Holistic ได้แก่ SCB EIC, SCB FM, SCB CIO และ InnovestX เพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนสำหรับลูกค้า SCB WEALTH และนักลงทุนทั่วไป โดย SCB EIC มองรัฐบาลใหม่เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยโตต่ำ คาด GDP ทั้งปีโตเพียง 1.8% และไตรมาส4 คาดว่าโตไม่ถึง1% แนะรัฐบาลควรดำเนินการ 3S พร้อมกัน คือ Stability -Stimulate และStructure Reform เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ขณะที่ นโยบาย Quick Big Win สะท้อนความตั้งใจกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว แต่ยังต้องจับตาผลทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจริง ส่วนการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ รอบล่าสุดเสี่ยงยืดเยื้อและกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าในอดีต เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบตามมาได้ผ่านการส่งออกและความผันผวนของตลาดการเงิน InnovestX เผยมองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีหน้า 1,350-1,400 จุด โดยการมีนายกฯ และครม.ใหม่ จะนำไปสู่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์นโยบายรัฐบาลใหม่ กลุ่มค้าปลีก พาณิชย์ เครื่องดื่ม ร้านอาหาร กลุ่มการเงิน กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง SCB FM ประเมินเงินบาทสิ้นปีนี้ อยู่ที่ระดับ 31.25-32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเงินบาทมีแรงกดดันที่ทำให้อ่อนค่าในระยะสั้น แต่มีแรงกดดันที่ทำให้แข็งค่าในระยะยาว แนะนำผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนก่อนบาทอ่อนแตะ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ SCB CIO แนะนำจัดพอร์ตลงทุนเน้นตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลกเป็นหลัก แต่การเปลี่ยนตัวผู้นำใหม่ของไทย เพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยสามารถลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหลักได้ เน้นกลุ่มที่รับประโยชน์นโยบายรัฐ หรือกลุ่มหุ้นปันผลสูง Property Fund และ REITs

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดใหม่ของไทยต้องเข้ามารับมือความท้าทายจากเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำ โดย SCB EIC คาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 จะโตเพียง 1.8% โดยเฉพาะไตรมาส 4 คาดว่าจะโตไม่ถึง 1% ขณะที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักยังอ่อนแรง ทั้งการบริโภค และการลงทุน ส่วนในปี 2569 ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลเต็มปี ทำให้การส่งออกติดลบ ในสถานการณ์นี้ SCB EIC มองว่า รัฐบาลควรดำเนินการ 3 ด้าน (3S) พร้อมกัน ได้แก่ สร้างความมีเสถียรภาพ (Stability) กระตุ้นเศรษฐกิจ (Stimulate) และปฏิรูปโครงสร้าง (Structure Reform)

 สำหรับระยะสั้น รัฐบาลต้องเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภค นักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวกลับมา เร่งการเบิกจ่ายในไตรมาส 4 และกระตุ้นอุปสงค์ ผ่านชุดนโยบายที่จะออก ขณะที่มีการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายควบคู่กัน ส่วนระยะกลาง ต้องเร่งเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศ มีนโยบายที่ทำให้นักธุรกิจและแรงงานเก่งขึ้น ปฏิรูปการคลัง และเร่งสื่อสารเชิงรุก ซึ่งเมื่อพิจารณานโยบายเศรษฐกิจ Quick Big Win ของรัฐบาล พบว่า มีมาตรการระยะสั้นที่สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย เช่น โครงการคนละครึ่ง Plus การเติมเงินในบัตรสวัสดิการ การลดค่าเดินทางและพลังงาน การแก้หนี้ประชาชน ช่วยหนี้รายย่อยในระบบไม่เกิน 100,000 บาท ได้ประมาณ 1 ล้านคน ด้วยวงเงินที่ยังเหลือจากมาตรการปรับลดอัตราสมทบที่สถาบันการเงินต้องนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และการเพิ่มสภาพคล่องให้ SME ส่วนมาตรการระยะยาวที่สำคัญ คือ การประกาศเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2608 เป็นปี 2593 การปฏิรูปกฎหมาย แก้ผลกระทบสงครามการค้า และการอำนวยความสะดวกการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลมีความตั้งใจจะเร่งดำเนินนโยบายเพื่อให้เกิดผล Quick (กระตุ้นสั้น) Big (ได้ผลยาว) Win (กระจายตัวทั่วถึง) ทั้ง 3 ด้านพร้อมกัน แต่รัฐบาลจะอยู่เพียง 4 เดือน จากนั้นจะยุบสภา และอาจรักษาการต่ออีก 4 เดือน จึงต้องจับตาว่าจะเห็นผลทางเศรษฐกิจได้มากเพียงใด

 

ทั้งนี้ SCB EIC มองว่า รัฐบาลมีกระสุนจำกัด จากการคลังที่มีข้อจำกัดการกู้ยืม หากรัฐบาลขาดดุลงบประมาณสูง 3-4% ต่อ GDP ต่อเนื่อง หนี้สาธารณะอาจเกินเพดาน 70% ภายในปี 2570 ซึ่งรัฐมนตรีคลังก็เล็งเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปการคลัง ส่วนประเด็นกำลังซื้อฐานรากอ่อนแอ รายได้ของแรงงานและ SME กลุ่มล่างยังไม่ฟื้นตัว อาจทำให้นโยบายที่ใส่เม็ดเงินเข้าไปทำได้เพียงช่วยลดรายจ่ายหรือเพิ่มสภาพคล่อง แต่ยากที่จะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ จากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (US Government Shutdown) ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนเพิ่มเติมที่มากดดันเศรษฐกิจโลก โดยที่คาดว่า Shutdown ครั้งนี้อาจยืดเยื้อยาวนานกว่าในอดีตที่ Shutdown เฉลี่ย 4 วัน มีการพูดถึงการปลดพนักงานรัฐมากถึง 750,000 คน ซึ่งมากขึ้นอีกเท่าตัวของตัวเลขสูงสุดในอดีต และขู่ว่าอาจไม่จ่ายเงินย้อนหลังให้ ฉะนั้นอาจมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่าเดิม โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ไทยจะได้รับผลกระทบผ่านการส่งออกและตลาดการเงินด้วย

 

นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า InnovestX มองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปี 2569 อยู่ระหว่าง 1,350-1,400 จุด โดยประเมินจากระดับ P/E Ratio ที่ประมาณ 14.5 เท่า ซึ่งอยู่ในกรอบปกติจากค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 14-16 เท่า โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่างรวดเร็วทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งจากสถิติในอดีตหลังแต่งตั้งนายกฯ 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยมักปรับขึ้นประมาณ 2.5-5% จากความคาดหวังว่านโยบายรัฐบาลใหม่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยโตดีขึ้นได้

 เมื่อพิจารณาปัจจัยสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ ด้านปัจจัยภายนอก ตลาดคลายความกังวลผลกระทบนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้น จากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่ในระดับเดียวกับประเทศตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน และไม่ได้สูงเท่าระดับก่อนการเจรจา ด้านนโยบายการเงินโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่า เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย ด้านปัจจัยในประเทศ เงินเฟ้อที่ไม่สูง และเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างต่ำ นโยบายการเงินน่าจะมีการลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเงิน ทำให้มีการประเมินราคาหุ้นเพิ่มขึ้น (P/E expansion) ได้

 หากวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่ คาดว่ามาตรการคนละครึ่ง Plus จะส่งผลชัดเจนที่สุดในการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก พาณิชย์ เครื่องดื่ม และร้านอาหาร เนื่องจากขนาดการใช้จ่ายไม่สูงมาก ส่วนมาตรการแก้หนี้ หากทำสำเร็จและลดภาระหนี้ได้ กำลังซื้อจะกลับมา ซึ่งจะส่งผลดีกับกลุ่มค้าปลีก ขณะที่การพักชำระหนี้อาจช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ให้ประโยชน์กับภาคการเงิน ส่วนมาตรการด้านท่องเที่ยว การกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรองและการให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำเงินที่ปรับปรุงกิจการ (Renovate) มาลดหย่อนภาษีได้ จะเป็นผลบวกต่อ กลุ่มท่องเที่ยว สายการบิน โรงแรม และค้าปลีก ด้านโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Land Bridge) และรถไฟรางคู่ ด้วยอายุรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ยาว ทำให้รัฐบาลอาจเป็นเพียงผู้วางกรอบ ให้รัฐบาลถัดไปสานต่อมากกว่า จึงเป็นประโยชน์ในเชิง Sentiment ต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

 นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กล่าวว่า ในช่วงนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว จากที่กลางเดือน ก.ย. เคยแข็งค่า เนื่องจาก แม้จะมี US Government Shutdown ที่ตามตำราควรทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า แต่จากการที่ตลาดขาดตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ จึงไปให้ความสำคัญตัวเลขภาคเอกชน ที่ออกมาค่อนข้างดี และให้ความสำคัญกับนโยบายการเงิน ที่คณะกรรมการ Fed ส่งสัญญาณความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ไม่รีบลดดอกเบี้ย จึงหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่า อีกประเด็นมาจาก การซื้อทองคำ โดยปกติเมื่อราคาทองคำปรับขึ้น นักลงทุนมักขายทำกำไร ถือเงินบาท แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ลงทุนมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เมื่อราคาทองคำปรับขึ้น กลับเข้าซื้อทองคำเพิ่ม เพราะมองว่าราคาจะขึ้นต่อ จึงกดดันเงินบาทอ่อนค่า

 ทั้งนี้ ในระยะสั้น ยังมีแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าอยู่ โดยกรณีที่ US Government Shutdown ยังดำเนินต่อไป ตลาดจะไปให้ความสำคัญปัจจัยที่ Fed อาจยังไม่ลดดอกเบี้ยแรง ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาแย่ ตลาดจะยังไม่กังวลประเด็นด้านเศรษฐกิจนัก หรือกรณี US Government Shutdown จบเร็ว ก่อนตัวเลขสำคัญของสหรัฐฯ ออกมา โดย เงินบาทมีโอกาสทดสอบใกล้ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ส่วนในระยะยาว เงินบาทมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่า จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐฯ ที่แคบลง แม้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ มีมุมมอง Dovish เน้นการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย คาดว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง โดยลดปลายปีนี้ 1 ครั้ง และต้นปีหน้าอีก 1 ครั้ง แต่อาจจะน้อยกว่า Fed ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง โดยลดในปีนี้อีก 2 ครั้ง และปีหน้าอีก 2 ครั้ง นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสกุลเงินอื่นที่เป็นสกุลเงินหลักของโลก เช่น เงินยูโร ที่อ่อนค่า จากประเด็นความกังวลทางการเมือง แต่มองไปข้างหน้าคาดว่า เงินยูโรจะกลับมาแข็งค่าจากแผนการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มเติมของเยอรมนี ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า เงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นตาม และอีกประเด็นคือ เงินทุนเคลื่อนย้าย เมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า ก็จะดึงดูดเงินทุนไหลมายังตลาดเกิดใหม่เอเชีย

ทั้งนี้ นายวชิรวัฒน์คาดว่า ปลายปีนี้ เงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 31.25 – 32.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จึงแนะนำผู้ส่งออกป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทำ Hedging หรือ Forward เมื่อเงินบาทอ่อนค่าใกล้ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ควรรอให้ทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของค่าเงินลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อสิทธิที่จะซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (FX Options) ถูกลง ดังนั้น ทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าอาจพิจารณาทำ Options นอกจากนี้ อาจพิจารณาเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit : FCD) เพื่อรับดอกเบี้ยสกุลต่างประเทศที่สูงกว่า หรือพิจารณาผลิตภัณฑ์การลงทุน Dual Currency Investment : DCI หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ลงทุนที่ต้องการใช้สกุลเงินต่างประเทศในอนาคต และแนวทางสุดท้าย อาจพิจารณาทำธุรกรรมการค้าโดยใช้สกุลเงินท้องถิ่นของคู่ค้าโดยตรง เช่น เยน หยวน หรือยูโร เพื่อลดความผันผวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และลดต้นทุนการแปลงสกุลเงินด้วย

 น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การที่เราได้ผู้นำใหม่ทั้งนายกฯ และผู้ว่าการ ธปท. รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาลที่มีรัฐมนตรีคนนอกมากขึ้น ทำให้ตลาดการลงทุนในไทยมี Sentiment ที่ดีขึ้นมาก จากความคาดหวังว่า นโยบายการคลังและการเงินน่าจะประสานกันมากขึ้น และแม้รัฐบาลมีอายุเพียง 4 เดือน แต่นโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่รัฐบาลยกขึ้นมาเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยเฉพาะนโยบาย Quick Big Win เช่น คนละครึ่ง Plus และการเติมเงินบัตรสวัสดิการ จะช่วยลดรายจ่ายและค่าครองชีพให้ประชาชน หนุน GDP ไตรมาส 4 ปรับตัวเป็นบวกได้ ส่วนนโยบายการเงินที่ ธปท. ในส่วนของ มาตรการตั้ง AMC คาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ผ่อนคลายปัญหาให้กลุ่มคน 3.4 ล้านคนที่เป็นหนี้ได้ ขณะที่ คาดว่า ธปท. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 1.25% ภายในปลายปีนี้ และมีโอกาสลดดอกเบี้ยเหลือ 1.00% ได้ ช่วงต้นปีหน้า โดยที่ปัญหาเงินฝืดของไทยที่ ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ กล่าวถึง เป็นปัจจัยที่ทำให้มี Policy Space ในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้

สำหรับมุมมองการลงทุน ในไทยนั้น เรามองว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มมี Sentiment ที่ดีขึ้นจากผู้นำใหม่ ประกอบกับกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนเริ่มเห็นการหยุดปรับลดประมาณการลง ทำให้มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นตามตลาดโลกได้ จากที่ก่อนหน้านี้ยังทำผลงาน Laggard ตลาดหุ้นโลกอยู่ ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย ในปีนี้ เป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี โดยราคาสะท้อนแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยลงไปค่อนข้างมากแล้ว แม้ช่วงสั้น Bond yield จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างจากการที่ Fitch ปรับมุมมองของไทยจากมีเสถียรภาพเป็นลบ แต่ยังคง Rating ไว้ที่ระดับเดิมจากความกังวลเสถียรภาพทางการเมือง และเศรษฐกิจไทยที่เติบโตช้า สำหรับในภาพระยะถัดไปที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก ยังหนุนโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย เพียงแต่โอกาสรับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากราคา อาจมีไม่มากแล้ว เนื่องจาก Bond Yield ปรับลดไปมากแล้วก่อนหน้านี้

 ในแง่การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน เรามองว่า นักลงทุนยังควรให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ตลาดหุ้นและตราสารหนี้โลกเป็นหลัก ในพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เนื่องจาก GDP ตลาดโลกน่าจะดีกว่าตลาดไทย การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดโลกก็น่าจะยังสูงกว่าตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้การลงทุนในตลาดโลกยังช่วยให้เราได้เข้าถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Change) ที่เป็นพลังขับเคลื่อนระยะยาว มีอุตสาหกรรมแนวหน้า และบริษัทชั้นนำค่อนข้างมาก เช่น AI, Data Center และ Cloud ซึ่งเป็นธุรกิจสำหรับอนาคต ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในไทย มีสัดส่วนในด้านเหล่านี้ไม่มาก อย่างไรก็ตามสามารถลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตหลักได้

 สำหรับตลาดตราสารหนี้โลก ยังมีความน่าสนใจ จากการที่ดอกเบี้ย Fed ยังอยู่ในระดับสูงที่ 4-4.25% โดยหากลงทุนในช่วงเวลานี้ นอกจากจะมีโอกาสรับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงแล้ว ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital Gain) จาก Bond Yield ที่มีโอกาสปรับลดลงตามแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ในปีนี้ และปีหน้าด้วย ดังนั้นหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น แนะนำให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนไปยังตราสารหนี้โลกได้

กลยุทธ์ลงทุนหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มนั้น เรายังชอบ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่น่าจะเติบโตได้ดี จาก ธีม AI รวมถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และการได้ผู้นำใหม่ น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า จะทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชียได้ประโยชน์ โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทย มีโอกาสหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้ ระยะสั้นต้องเลือกลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เช่น กลุ่มค้าปลีก หรือ กลุ่มการเงิน ส่วนระยะยาว ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจในแง่ระดับเงินปันผลที่สูงประมาณ 3.5% โดยให้เลือกลงทุนในหุ้นปันผลสูง หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ที่อัตราเงินปันผลระดับสูง เฉลี่ยที่ 8-9% ได้

 หมายเหตุ : เอกสารนี้จัดทำขึ้น ณ วันที่ 14 ต.ค. 2568

คำเตือน· การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน

· สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 02-777-7777

อโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยว เผยข้อมูลภาพรวมการท่องเที่ยวในประเทศไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยอ้างอิงจากยอดการจองที่พักบนแพลตฟอร์ม พบว่านักเดินทางจากจีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ยังคงครองตำแหน่งชาติที่เดินทางมาประเทศไทยเยอะที่สุด ตามมาด้วยนักเดินทางจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์

กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ยังคงครองตำแหน่งเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในหมู่นักเดินทางจากประเทศดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหาดใหญ่ก็กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียและสิงคโปร์ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของหาดใหญ่อาจเกิดจากเมืองนี้ขึ้นชื่อในด้านความคุ้มค่า ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นจุดหมายปลายทางที่มีราคาถูกที่สุดในประเทศไทย และติดอันดับหนึ่งในสามของจุดหมายปลายทางราคาถูกในเอเชียติดต่อกันสองปีซ้อน เมืองเหล่านี้ต่างมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นในด้านความคึกคัก ความสงบริมชายหาดไปจนถึงเสน่ห์ทางวัฒนธรรมที่น่าค้นหา

อย่างไรก็ตามประเทศที่มีจำนวนนักเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากที่สุด กลับไม่ใช่ประเทศที่นักเดินทางพำนักอยู่นานที่สุด โดยนักเดินทางจากจีนแม้จะครองอันดับหนึ่งในด้านจำนวนผู้มาเยือน แต่เมื่อพิจารณาระยะเวลาการเข้าพักเฉลี่ยแล้ว นักเดินทางจากเกาหลีใต้กลับใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยนานที่สุด รองลงมาคือนักเดินทางจากญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีนตามลำดับ

นอกจากนี้ นักเดินทางแต่ละประเทศยังมีจุดหมายปลายทางที่นิยมสำหรับการพักระยะยาวแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่มักเลือกจุดหมายปลายทางที่เป็นเกาะ เช่น เกาะเต่า ซึ่งมีแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก และ เกาะพะงัน ที่สามารถเติมเต็มประสบการณ์พักผ่อนด้วยความสงบของธรรมชาติและปาร์ตี้ชื่อดัง และยังมีจุดหมายปลายทางในภาคกลางอย่างจังหวัดปทุมธานี ที่มีบรรยากาศแสนสงบและวิถีชีวิตแบบท้องถิ่นใกล้เมืองหลวงอีกด้วย

ทั้งนี้ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยตรงกันว่า ระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2568 ประเทศไทยมีนักเดินทางชาวต่างชาติเดินทางเข้ามากว่า 16 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 743,582 ล้านบาทโดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการส่งเสริมของภาครัฐ อาทิ โครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 การอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง และการเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน สำหรับนักเดินทางชาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ โตเกียว โอซาก้า ฮ่องกง ไทเป และโซล ยังคงเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2568

อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยของอโกด้า เปิดเผยว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นแพลตฟอร์มที่นักเดินทางจากทั่วทั้งเอเชียไว้วางใจเลือกใช้ และภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่อโกด้า เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอตัวเลือกที่พักที่สะดวกสบายและหลากหลาย เพื่อช่วยให้นักเดินทางได้สัมผัสทั้งจุดหมายปลายทางยอดนิยมและสถานที่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักทั่วทั้งประเทศ และทำให้การเดินทางเป็นเรื่องง่ายและน่าประทับใจ”

ด้วยที่พักมากกว่า 6 ล้านแห่ง เส้นทางบินกว่า 130,000 เส้นทาง และกิจกรรมให้เลือกมากกว่า 300,000 รายการ อโกด้าพร้อมมอบทางเลือกที่หลากหลายให้กับนักเดินทางที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวระยะสั้น (Micro-travel) โดยสามารถเข้าไปดูดีลพิเศษได้ที่ Agoda.com หรือดาวน์โหลดแอป Agoda เพื่อรับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวครั้งถัดไป

 

เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศความร่วมมือกับ AirAsia MOVE แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการเดินทางครบวงจร เพื่อตอบรับเทรนด์การจองเที่ยวบินและที่พักผ่านช่องทางออนไลน์ที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ OTA (Online Travel Agency) ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนกว่า 55% ของนักท่องเที่ยวไทย และกว่า 98% เปิดรับการใช้เทคโนโลยีและ AI เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” เปิดเผยว่า “ในปี 2568 มียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในกลุ่ม OTA รวมกว่า 4,073 ล้านบาท เติบโตถึง 22% สะท้อนพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนักเดินทางรุ่นใหม่ เคทีซีจึงเดินหน้าสร้างพันธมิตรกับแพลตฟอร์มชั้นนำอย่าง MOVE เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและมอบสิทธิพิเศษที่คุ้มค่ายิ่งขึ้นให้กับสมาชิก ผ่านสิทธิประโยชน์ อาทิ การแลกคะแนน KTC FOREVER เป็นส่วนลดสูงสุด 1,400 บาท หรือรับเครดิตเงินคืน 13% เมื่อใช้คะแนนเท่ายอดซื้อ”

ภายใต้แนวคิด “เดินทางได้มากขึ้น ในราคาน้อยลง” แพลตฟอร์ม MOVE ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักเดินทางยุคดิจิทัล ให้สามารถจองเที่ยวบิน โรงแรม บริการเสริม และยกเลิกการเดินทางได้อย่างคล่องตัว โดยสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก KTC ผ่านแอป MOVE ที่เข้าร่วมแคมเปญระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม – 15 สิงหาคม 2568 ได้แก่:

· ส่วนลดบริการเสริม (ค่าน้ำหนักสัมภาระและอาหารบนเครื่อง) สูงสุด 15%

· ส่วนลดค่าจองโรงแรม 230 บาท

· รับคะแนน AirAsia Points

· บริการ EasyCancel สำหรับยกเลิกเที่ยวบิน

· ฟรีค่าธรรมเนียมการจองเที่ยวบินแอร์เอเชียที่ทำรายการผ่าน MOVE

ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนแนวทางของเคทีซีในการยกระดับบริการให้สอดรับกับยุคดิจิทัล โดยใช้คะแนนสะสม KTC FOREVER เป็นเครื่องมือหลักในการมอบประสบการณ์การเดินทางที่ “คล่องตัว คุ้มค่า และเป็นไปได้จริง” สำหรับนักเดินทางทุกกลุ่ม

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE โทรศัพท์ 02 123 5000 หรือติดตาม โปรโมชันของเคทีซีได้ที่ https://www.ktc.co.th สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่ลิงค์ https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ 

หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

เกาะสมุย ประเทศไทย: ตลาดโรงแรมและการท่องเที่ยวของเกาะสมุยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ขับเคลื่อนด้วยจำนวนผู้โดยสารทางอากาศและเรือสำราญที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวชี้วัดด้านผลประกอบการโรงแรมที่คงที่ และนักเดินทางจากยุโรปที่เดินทางเข้ามายังเกาะสมุย

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 สนามบินนานาชาติสมุยมีจำนวนผู้โดยสารขาเข้ารวมทั้งสิ้น 1,127,832 คน เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 โดยตัวเลขนี้ยังต่อเนื่องจากแนวโน้มเชิงบวกของปี 2567 ซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารทางอากาศรวมตลอดปีสูงถึง 2.78 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 21% และมากกว่าระดับก่อนการเกิดโรคระบาดในปี 2562 ตามรายงาน Samui Hotel & Tourism Market Review 2568 ล่าสุดจาก C9 Hotelworks

ด้านการท่องเที่ยวทางเรือสำราญก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตโดยรวม โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 นี้ เกาะสมุยได้ต้อนรับเรือสำราญจำนวน 35 ลำ และผู้โดยสารรวม 65,792 คน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบปีต่อปี สำหรับปี 2567 ที่ผ่านมา สมุยรองรับเรือสำราญจำนวน 50 ลำ ซึ่งเกือบเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากปีก่อนหน้า

 

Bill Barnett กรรมการผู้จัดการของ C9 Hotelworks กล่าวว่า “เกาะสมุยกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวสายสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่กำลังเปลี่ยนโฉมภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวบนเกาะ รีสอร์ตอย่าง Kamalaya ยังคงเป็นผู้นำในการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีนักเดินทาง เดินทางตลอดทั้งปีและมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยที่ยาวนานกว่า นักท่องเที่ยวสายสุขภาพกำลังเป็นกระแสที่เติบโตทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยโดยเฉพาะเกาะสมุย กำลังได้รับประโยชน์อย่างชัดเจนจากแนวโน้มนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีมูลค่าสูงในภาคธุรกิจการบริการ”

ภาคธุรกิจโรงแรมยังคงแสดงศักยภาพที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการเข้าพักพุ่งสูงสุดในเดือนมกราคม 2568 เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีการชะลอตัวเล็กน้อยในไตรมาสแรกซึ่งตรงกับช่วงตรุษจีน แต่อัตราการเข้าพักตลอดปี 2567 ยังคงเพิ่มขึ้นถึง 12% เมื่อเทียบกับปี 2566 ค่าเฉลี่ยรายได้ต่อห้องพักต่อวัน (Average Daily Rate – ADR) ยังคงขยับสูงขึ้น โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบรายปี และในเดือนเมษายน 2568 มีอัตราการเติบโตโดดเด่นถึง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

 

คุณ Jesper Palmqvist ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ STR กล่าวว่า “ผลประกอบการของโรงแรมในเกาะสมุยช่วงต้นปี 2568 สะท้อนถึงแนวโน้มที่มั่นคงและน่าพอใจ เราเห็นการเติบโตที่มีนัยสำคัญทั้งในด้านอัตราการเข้าพัก และค่าเฉลี่ยรายได้ต่อห้องพักต่อวัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความต้องการที่ต่อเนื่องจากตลาดและสภาพแวดล้อมด้านราคาที่เป็นบวก ตลาดโรงแรมไม่ได้แค่ฟื้นตัวเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงเชิงโครงสร้างที่เริ่มเกิดขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักคือการเติบโตของโรงแรม และการเชื่อมต่อกับตลาดต่างประเทศที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย”

ยุโรปยังคงเป็นภูมิภาคต้นทางหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 56% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2567

นักเดินทางจากเยอรมนี สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสมีบทบาทสำคัญในกลุ่มนี้ โดยการเติบโตของตลาดยุโรปได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงโค้ดแชร์ (Codeshare agreement) ที่ขยายตัวระหว่างสายการบินบางกอกแอร์เวย์สและสายการบินระหว่างประเทศกว่า 30 สายอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มการเดินทางทางอากาศคือบริการของสายการบิน Scoot (ภายใต้เครือ Singapore Airlines) ซึ่งนอกจากจะเชื่อมต่อผู้โดยสารในภูมิภาคแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักเดินทางระยะไกลสามารถต่อเครื่องได้สะดวกผ่าน SQ’s Lion City hub ฮับหลักของ Singapore Airlines ที่สิงคโปร์

Remko Kroesen ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคของบันยันทรี สมุย และบันยันทรี กระบี่ กล่าวว่า “ตลาดการเดินทางระยะไกลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เรามุ่งเน้น และเราดีใจมากที่เห็นความพยายามของเรา ส่งผลลัพธ์ที่ชัดเจน”

แนวโน้มการพัฒนาโรงแรมในเกาะสมุยสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงต่อเนื่อง ปัจจุบัน เกาะสมุยมีผู้ประกอบการที่พักจดทะเบียนทั้งหมด 634 แห่ง รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 24,188 ห้อง แม้ว่าอุปทานโดยรวมจะคงที่ โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ในช่วง 5 ปีอยู่ที่ 1% แต่ก็มีโรงแรมแบรนด์ระดับสากลหลายแห่งเตรียมเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ Nivata Koh Samui (ภายใต้แบรนด์ Tapestry Collection by Hilton ซึ่งมีกำหนดเปิดไตรมาส 4 ปี 2568) และ SO/ by Sofitel รวมถึง Fivelements Samui ซึ่งคาดว่าจะเปิดในปี 2569

Thansita Sirapastuwanon ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด โรงแรม Centara Reserve Samui กล่าวว่า “วิกฤตการแพร่ระบาดทำให้เราต้องนิยามคำว่าหรูหราใหม่ ผ่านมุมมองด้านความปลอดภัย ความยั่งยืน และนวัตกรรม เมื่อการเดินทางกลับมาฟื้นตัว เราเห็นความต้องการจากทั้งตลาดดั้งเดิมและตลาดเกิดใหม่ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เกาะสมุยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับชั้นนำและหรูหรา”

เมื่อกล่าวถึงแนวโน้มตลอดช่วงที่เหลือของปี คุณ Bill Barnett จาก C9 Hotelworks แสดงความเชื่อมั่นเชิงบวกว่า “หากไม่มีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบ ความต้องการเดินทางที่ยังคงแข็งแกร่งจากทั้งตลาดยุโรปและเอเชีย ผนวกกับจำนวนโรงแรมใหม่ที่ยังมีจำกัด และการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยว อัตราการเข้าพัก และราคาห้องพักในเกาะสมุยเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้”

 

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์สานต่อความร่วมมือกับเคทีซีอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เปิดตัวแคมเปญ “Unique Korea, Experience Yours” เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยหลังพบสัดส่วนนักท่องเที่ยวเดินทางและออกแบบการท่องเที่ยวด้วยตัวเองโต 82% มอบประสบการณ์พิเศษท่องเที่ยวเส้นทางเมืองรอง เช่น ปูซาน เชจู แทกู และอุลซัน พิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยว 2 เมือง ราคาเดียว พร้อมแพ็กเกจ D.I.Y. Experience Yours ประสบการณ์ท่องเที่ยวเลือกได้ตามที่ต้องการ

นางคิม เซฮี รองผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) เปิดเผยว่า ในปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเดินทางไปเกาหลีประมาณ 323,000 คน ถือเป็นสัญญาณที่ดีบ่งบอกถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังจากการระบาดของโควิด-19 โดยเทรนด์การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทยไปเกาหลีกว่า 82% ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระในการออกแบบการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ต้องการสัมผัสประสบการณ์ที่แตกต่าง และตรงกับความสนใจเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น โดยเสน่ห์ของเกาหลีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวคือ การสัมผัสประสบการณ์จริงในทุกที่เช่น

⦁ K-pop การเข้าชมคอนเสิร์ต เยี่ยมชมบ้านเกิดของไอดอล
⦁ K-drama การเยี่ยมชมสถานที่ถ่ายทำละครที่โด่งดัง
⦁ K-beauty โปรแกรมการแต่งหน้า และจัดแต่งทรงผมอย่างมืออาชีพ ประสบการณ์สุขภาพแบบดั้งเดิม เช่น ซาวน่า สปาสมุนไพร และบริการการท่องเที่ยวทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง
⦁ K-food ทัวร์อาหารที่เน้นรสชาติของแต่ละภูมิภาค

นอกจากนี้ เมืองต่างๆ ของเกาหลียังคงมีเอกลักษณ์ที่ผสานความน่าสนใจในหลากหลายมิติ อาทิ ปูซาน เมืองริมทะเลที่มีทั้งความงามทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม ส่วนเมืองจอนจู มีชื่อเสียงในเรื่องหมู่บ้านฮาโนก และอาหารเกาหลีรสชาติดั้งเดิม ทำให้เกาหลีเป็นประเทศที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีไลฟ์สไตล์ความชอบที่แตกต่าง

นางสาวอริญชยา เลิศวัฒนชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) กล่าวว่า KTO ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านการตลาดที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของนักเดินทาง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมออกแบบการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง และมองหาประสบการณ์เชิงลึกจากวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงได้ร่วมกับเคทีซีออกแคมเปญ “Unique Korea, Experience Yours” นำเสนอโปรโมชันพิเศษเพื่อให้คนไทยได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองอื่นๆ นอกเหนือจากกรุงโซล ด้วยสิทธิพิเศษเที่ยว 2 เมืองราคาเดียวให้สิทธิ์นักท่องเที่ยวที่ซื้อตั๋วเที่ยวบินเส้นทางกรุงเทพฯ - โซล เลือก บินภายในประเทศเมืองปูซาน เชจู  แทกู หรือ อุลซัน นอกจากนี้ยังได้คัดสรรแพ็กเกจประสบการณ์เพื่อเป็นทางเลือกที่มากกว่าการท่องเที่ยว 

ผศ.ดร.กมล บุษบรรณ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาวิชาเกาหลีศึกษาเพื่อการจัดการระหว่างประเทศ (Korean Studies for International Management (KSIM) คณะบัณฑิตวิทยาลัย และอาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาเกาหลี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เกาหลีถือเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของการใช้ Soft Power หรือพลังทางวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านอุตสาหกรรมต่างๆเช่น อาหาร ความงาม และซีรีย์ ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกจนสามารถเชื่อมโยงไปสู่การเติบโตด้านการท่องเที่ยว และการศึกษา โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นวิธีการเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีที่เห็นภาพชัดเจนที่สุด ด้านการศึกษา สำหรับนักเรียนไทยที่มีความสนใจเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีควรเรียนรู้ภาษาเกาหลีควบคู่กับการเดินทางเพราะจะช่วยสร้างความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และควรเลือกหลักสูตรที่ผสมผสานตามความต้องการของตลาดแรงงาน เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือธุรกิจและนวัตกรรม รวมถึงหลักสูตรระยะสั้นด้านความงาม อาหาร แฟชั่น หรือการจัดการธุรกิจแบบเกาหลี ที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที

นางสาววริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซีในฐานะพันธมิตรบัตรเครดิตรายแรก และรายเดียวที่ได้ร่วมงานกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี (Korea Tourism Organization: KTO) ในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดร่วมกันมาเป็นระยะเวลา 7 ปี และได้จัดแคมเปญเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวมากกว่า 30 แคมเปญ พร้อมมั่นใจว่าความร่วมมือกับ KTO จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทย และเกาหลี รวมทั้งจะช่วยสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ สำหรับยอดการใช้จ่ายของสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่เดินทางท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2568 โตขึ้นต่อเนื่องโดยยอดการใช้จ่ายในหมวดสุขภาพและความงาม เป็นอันดับหนึ่งที่มียอดการใช้จ่ายมากที่สุดโดยเฉพาะการเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงาม รองลงมาคือ หมวดช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า และแฟชั่นเสื้อผ้า นอกจากนี้ หมวดร้านค้าชั้นนำที่ขายผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ เติบโตทั้งยอดการใช้จ่าย จำนวนสมาชิกที่ใช้บริการ และจำนวนครั้งในการใช้จ่าย โดยเติบโตมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567

สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวเกาหลีสามารถจองผลิตภัณฑ์ผ่าน KTC World Travel Service ระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 – วันที่10 ธันวาคม 2568 และเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 - วันที่ 31 ธันวาคม 2568 พร้อมรับสิทธิพิเศษดังนี้
1. โปรโมชันตั๋วเครื่องบินเส้นทางเกาหลี
⦁ จองตั๋วเครื่องบินสายการบิน Korean Air เส้นทางกรุงเทพฯ - โซล (ไป - กลับ) ชั้นประหยัด
แถมฟรี! ตั๋วเครื่องบินเส้นทางภายในประเทศ (ปูซาน เชจู แทกู หรือ อุลซัน)
⦁ จองเที่ยวบินระหว่างประเทศกับสายการบินไทย หรือ Asiana Airlines เส้นทางกรุงเทพฯ – โซล ชั้นประหยัดรับส่วนลด 4,000 บาท/ท่าน สำหรับจองตั๋วเส้นทางภายในประเทศ (ปูซาน เชจู แทกู หรือ อุลซัน)
⦁ จำกัด 50 สิทธิ์ ตลอดรายการ

2. เที่ยวเกาหลี 2 เมือง 4 วัน 3 คืน
⦁ แพ็กเกจโซล – ปูซาน เริ่มต้น 24,700 บาท/ท่าน บินสายการบิน Korean Air พักที่โรงแรม Lotte City Hotel Myeongdong (โซล) และ Avani Central Busan (ปูซาน) หรือเทียบเท่า 3 คืน ไม่รวมอาหารเช้า
⦁ แพ็กเกจโซล – เกาะเชจู เริ่มต้น 26,650 บาท/ท่าน บินสายการบิน Korean Air พักที่โรงแรม Lotte City Hotel Myeongdong (โซล) และ Lotte City Hotel Jeju (เกาะเชจู) หรือเทียบเท่า 3 คืน ไม่รวมอาหารเช้า
⦁ จำกัด 100 สิทธิ์ ตลอดรายการ
3. D.I.Y. Experience Yours – ประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบเลือกได้ ราคาเดียวเพียง 3,999 บาท/ท่าน เลือกได้ 2 กิจกรรมที่เมืองโซล ปูซาน และเกาะเชจู เช่น Personal Color การทำอาหารเกาหลี ทัวร์ตลาดดั้งเดิม สปาเกาหลี โชว์ระดับโลก ตั๋วเข้าสวนสนุก และรถไฟ Sky Capsule เป็นต้น
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ktc.promo/uniquekorea2025 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC World Travel Service โทร 02 123 5050 หรือ ทักแชท https://ktc.cards/KWT-addline สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซี https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC PHONE 02 123 5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก “เคทีซี ทัช” ทุกสาขาทั่วประเทศ
หมายเหตุ : บัตรเครดิตใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

Page 1 of 7
X

Right Click

No right click