

โรงเรียนนานาชาติ DLTS ภายใต้ Denla Group ย้ำความมุ่งมั่นในการ "เสริมสร้างความเป็นเลิศ วางเส้นทางการศึกษาต่อ" ด้วยการขยายความร่วมมือกับ Denla British School (DBS) เพื่อเชื่อมโยงหลักสูตร IB สู่ UK Curriculum อย่างราบรื่น พร้อมเปิดตัว “DLTS Awards” ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อเข้าศึกษาต่อที่ DBS ตอกย้ำวิสัยทัศน์นี้ ด้วยการจัดงาน "Discovering Future Pathways" ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจาก DLTS, DBS, และโรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIDS) มาร่วมแนะแนวและสร้างแรงบันดาลใจในการเตรียมความพร้อมนักเรียนสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก
ขยายแผนการศึกษาต่อจาก DLTS สู่มหาวิทยาลัยชั้นนำ
![]()
ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า และผู้อำนวยการบริหาร โรงเรียนนานาชาติ DLTS เปิดเผยว่า นักเรียนทุกคนมี ศักยภาพพิเศษเฉพาะตัว (Unique Potential) หน้าที่ของเราคือ การมอบเครื่องมือและประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อช่วยให้นักเรียนของเรา 'ค้นพบ' และ 'พัฒนา' สิ่งนั้น รับการแข่งขันสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำในยุคใหม่ไม่ใช่แค่คะแนนสอบ แต่เป็นเรื่องของ 'ความโดดเด่นที่มีความหมาย' (Meaningful Uniqueness) ซึ่งเราเน้นสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ผ่าน Project-Based Learning และการพัฒนา Growth Mindset พร้อมส่งเสริม Soft Skills และแฟ้มผลงานที่โดดเด่น (Strong Portfolio) ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยชั้นนำมองหา
โรงเรียนนานาชาติ DLTS ได้ผนึกกำลังกับทีมแนะแนวที่ปรึกษาด้านการศึกษาต่อ (Career Counselling Team) ที่เชี่ยวชาญและมีประวัติความสำเร็จในการส่งนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เพื่อช่วยนักเรียนกำหนดเส้นทางอาชีพและเส้นทางการศึกษาต่ออย่างเหมาะสมที่สุด ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้าน ให้มีความพร้อมและสามารถแข่งขันได้ในเวทีสากล ประกอบด้วย 1.เน้นการค้นพบศักยภาพ การให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว เพื่อค้นหาความถนัดและความสนใจเฉพาะของนักเรียน 2.การเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ: การวางแผนหลักสูตรเพื่อรองรับการยื่นสมัครมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก 3.สร้างความสำเร็จที่จับต้องได้: ทีมแนะแนวมีประวัติความสำเร็จในการส่งนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัย Ivy League และมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอื่นๆ
ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า เปิดเผยถึงความร่วมมือกับ DBS ว่า เรามีความยินดีที่จะประกาศเปิดตัว "DLTS Awards" ทุนการศึกษาเพื่อยกย่องและส่งเสริมนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมและมีศักยภาพสูง ให้ได้เข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนนานาชาติ DBS โครงการนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการสนับสนุนเส้นทางการศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียน โดยมอบโอกาสให้พวกเขาเข้าถึงสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ระดับนานาชาติที่จะช่วยขยายขีดจำกัดทางวิชาการและศักยภาพส่วนบุคคล
“เราเชื่อมั่นว่ารากฐานที่แข็งแกร่งในช่วงชั้นเรียนต้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดอนาคตของนักเรียน การร่วมมือกับทีมแนะแนวผู้เชี่ยวชาญจาก DBS และ MUIDS เป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาต่อที่ดีที่สุดและการเปิดตัว DLTS Awards ก็เป็นบทพิสูจน์ถึงความตั้งใจของเราในการยกย่องความสามารถพิเศษ และปูทางสู่ความเป็นเลิศในระดับสากล” ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า
DLTS จัดงาน "Discovering Future Pathways" เสริมความร่วมมือกับ DBS และ MUIDS สร้างแรงบันดาลใจ
DLTS ได้จัดงาน "Discovering Future Pathways" เพื่อแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ปกครอง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ มิสเตอร์จอนนี่ ลิดเดลล์ (Jonathan Liddell) ครูใหญ่โรงเรียนนานาชาติ DBS ,รศ. ดร.สิงหนาท น้อมเนียน โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIDS) พร้อมด้วย ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า และ ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า ร่วมให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสู่รั้วมหาวิทยาลัยในยุคใหม่
ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า กล่าวเสริมว่า การเปิดเวทีในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ปกครองในการรับฟัง แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ในการเตรียมบุตรหลานให้มีทักษะและทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จในอนาคต โดยเฉพาะการวางรากฐานที่แข็งแกร่งในช่วงวัยสำคัญ (Grade 4-7) เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพ”
สำหรับความร่วมมือของ DLTS และ MUIDS กับการเตรียมความพร้อมสู่รั้วมหาวิทยาลัยในยุคใหม่ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพลังให้กับนักเรียนและผู้ปกครองในยุคแห่งการแข่งขันสูง นี่คือมุมมองและแนวคิดหลักที่ทั้ง DLTS และ MUIDS จะนำเสนอในงาน Discovering Future Pathways ที่มาร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาในระดับมัธยมปลาย รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนก้าวสู่ระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและต่างประเทศ
“โรงเรียนนานาชาติ DLTS เรามุ่งเน้นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งและการค้นพบศักยภาพในช่วงวัยที่สำคัญ (Grade4-7) เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพและความสำเร็จ ในมุมมองของผมนักเรียนทุกคนมีศักยภาพพิเศษเฉพาะตัว (Unique Potential) หน้าที่ของเราคือการมอบเครื่องมือและประสบการณ์ที่หลากหลายเพื่อช่วยให้พวกเขา "ค้นพบ" และ "พัฒนา" สิ่งนั้น พร้อมต้องมีความเข้าใจในตนเองรู้ว่าตัวเองเก่งอะไร สนใจอะไร และต้องการไปทางไหนก่อนเข้าสู่ระบบการสอบที่เข้มข้น”
ในด้านการเตรียมความพร้อมเราเน้นการสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning) และการพัฒนา Growth Mindset ที่กล้าเผชิญความท้าทาย ไม่ใช่แค่การท่องจำเนื้อหา รวมถึงมีความยืดหยุ่นและการจัดการแก้ไขปัญหาโดยมีทักษะที่ใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่ผลการเรียน พร้อมยังมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และปรับตัว
นอกจากนี้ความได้เปรียบในการแข่งขันความหลากหลายของหลักสูตร (Broad Curriculum) และการเสริมด้วยกิจกรรมนอกหลักสูตรที่ช่วยพัฒนา Soft Skills เช่น ภาวะผู้นำ การสื่อสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยชั้นนำมองหาแฟ้มผลงานที่โดดเด่น (Strong Portfolio) มีกิจกรรมและผลงานที่สนับสนุนความสนใจ ทำให้ใบสมัครมหาวิทยาลัยแตกต่างและน่าสนใจ พร้อมกันนี้ DLTS ยังผนึกความร่วมมือกับ DBS ที่มีเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกด้วย
ภายในงานยังมีแขกรับเชิญพิเศษอีกหนึ่งท่าน มาร่วมแนะแนวและสร้างแรงบันดาลใจในการเตรียมความพร้อมนักเรียนสู่รั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก รศ. ดร.สิงหนาท น้อมเนียน ผู้อำนวยการ โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIDS) กล่าวเพิ่มเติมว่า MUIDS ในฐานะสถาบันที่มุ่งเน้นการสร้างเยาวชนสู่ระดับอุดมศึกษา MUIDS เล็งเห็นความสำคัญของการวางรากฐานการเรียนรู้ที่มีความยืดหยุ่น และสามารถเชื่อมต่อกับหลักสูตรในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกได้ โดยในวันนี้มีความยินดีที่ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและความรู้ให้กับ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ DLTS และ DBS ในเวที 'Discovering Future Pathways' นับเป็นโอกาสสำคัญที่เราได้มีส่วนร่วมนำเสนอมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับการศึกษาในระดับมัธยมปลาย รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้นักเรียนก้าวสู่ระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยและต่างประเทศ
ดร.เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนเด่นหล้า กล่าวเสริมต่อว่า โรงเรียนนานาชาติ DLTS และพันธมิตรร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และแผนงานของ DLTS ในการบ่มเพาะนักเรียนให้มี ความเป็นเลิศในทุกด้าน (Excellence in all aspects) พร้อมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย การเปิดเวทีในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ปกครองในการรับฟังแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ในการเตรียมบุตรหลานให้มีทักษะและทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จในอนาคต
"การแข่งขันสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำในยุคใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องของคะแนนสอบที่สูงที่สุด แต่เป็นเรื่องของ 'ความโดดเด่นที่มีความหมาย' (Meaningful Uniqueness) นักเรียนต้องรู้ว่าตัวเองคือใคร มีความหลงใหลในเรื่องใด และสามารถนำความรู้ไปสร้างผลกระทบต่อโลกได้อย่างไร การเตรียมพร้อมในวันนี้จึงเป็นการลงทุนใน ชุดทักษะ ที่จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเรียนต่อที่ไหนก็ตาม"
พร้อมเน้นย้ำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากผู้ปกครอง DLTS มีความมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความเชื่อมั่นจากผู้ปกครอง ผ่านการสื่อสารที่เปิดเผยและการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ DLTS เตรียมเปิดรับสมัครนักเรียนสำหรับปีการศึกษา 2569 และมอบทุนการศึกษาสำหรับนักเรียน Grade 2 ถึง Grade 7 ที่มีผลการเรียนดีและมีความสามารถพิเศษ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำความภาคภูมิใจให้สถาบันอุดมศึกษาไทยในเวทีโลกอีกครั้ง ครองอันดับ Top 50 ของโลกจาก Times Higher Education Impact Rankings 2024 ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและสร้างผลกระทบสูงต่อสังคม
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย THE Impact Rankings 2024 ประเมินจากบทบาทของมหาวิทยาลัยทั้งในด้านงานวิจัย การบริหารหน่วยงาน งานบริการวิชาการ และการเรียนการสอนที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) มีสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลกเข้าร่วมการจัดอันดับทั้งสิ้น 2,152 แห่ง จาก 125 ประเทศ และจุฬาฯ ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของไทยใน SDG 9 Industry, Innovation and infrastructure (การพัฒนานวัตกรรม อุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน)
ความสำเร็จของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งติด Top 50 “มหาวิทยาลัยด้านความยั่งยืน” โดย THE Impact Rankings 2024 สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ให้ความสำคัญในด้าน SDGs Impact โดยได้มีการดำเนินงานในเรื่องนวัตกรรมเพื่อสังคม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ติดตามผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยได้ที่ https://www.timeshighereducation.com/impactrankings
ปลัดอว.ย้ำบทบาทของมหาวิทยาลัยดิจิทัลในการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยต้องมุ่งผลิต “มนุษย์ดิจิทัล” และเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างนวัตกรรมและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในทุกมิติ
ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการการสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ “การสำรวจความพร้อมการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล” Digital Maturity Model (DMM), Transformation Readiness towards Digital University โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเครื่องมือ DMM รวมถึงประสบการณ์การสำรวจความพร้อมสู่ความก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยดิจิทัล
ปลัด อว.กล่าวระหว่างปาฐกถา แนวนโยบายการพัฒนามหาวิทยาลัยไทยสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ว่า "การพัฒนาของโลกทั้งปัจจุบันที่อยู่ในยุคดิจิทัล มูลค่าของเศรษฐกิจและบริษัทชั้นนำของโลกมักเกี่ยวข้องกับดิจิทัล เทคโนโลยีเกินครึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับดิจิทัล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างก้าวกระโดด ประเทศไทยเป็นกลไกหนึ่งของโลกจึงต้องให้ความสำคัญกับการก้าวสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล โดยเตรียมบทบาทของมหาวิทยาลัยให้มีความพร้อมมุ่งสู่ดิจิทัลในฐานะที่เป็นคลังความรู้ของประเทศในการผลิตบุคลากรเพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2580 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศดิจิทัล ดังนั้นดิจิทัลจึงมีสองมิติทั้งเป็นเครื่องมือและเป็นเป้าหมายปลายทาง"
มหาวิทยาลัยจึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ประเทศดิจิทัล ในมุมของกระทรวง อว. เห็นว่ามหาวิทยาลัยจะต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด เพื่อลดระยะเวลาและค่าใช้จ่าย จึงต้องเตรียมความพร้อมที่จะทำให้องค์กรบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้ดีขึ้น มหาวิทยาลัยมีหน้าที่จำเพาะในการใช้ดิจิทัลในภารกิจจัดการเรียนการสอนให้ได้มากที่สุด เช่น การสอนออนไลน์ นอกจากนี้ยังต้องมองไปข้างหน้าถึงกลไกการให้การศึกษาในรูปแบบอื่น เช่น การเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงภารกิจในการวิจัยโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สร้างนวัตกรรม และใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในทุกมิติและทุกภารกิจ
“มหาวิทยาลัยยังมีหน้าที่สำคัญมากในการสร้างคนไทยให้เป็น “มนุษย์ดิจิทัล” เพื่อเป็นอนาคตของประเทศที่สามารถใช้และพัฒนาดิจิทัลได้ต่อไปในอนาคต ดังนั้นบทบาทในการสอน ให้ความรู้และประสบการณ์ในการใช้ดิจิทัลของมหาวิทยาลัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ประการสุดท้ายมหาวิทยาลัยมีบทบาทเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล โดยควรจะมีความพร้อมล่วงหน้า 10 ปี ขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการพัฒนา และเน้นความประหยัด มีประสิทธิผลสูงขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง”
ขณะที่ ดร.วันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงการใช้เครื่องมือ DMM กับการพัฒนาประเทศในนิเวศดิจิทัล ว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติตามหลักการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) เป็นรูปธรรมมากขึ้น ภายใต้แผนแม่บท แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงฯ ทั้งนี้ โจทย์สำคัญภายใต้ 13 หมุดหมายเพื่อพลิกโฉมประเทศ คือ ต้องทำน้อยได้มาก ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ประเทศ การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้ เป็นคนไทยที่มีสมรรถนะสูง อยู่ได้ด้วยตนเองและไปต่อได้ในภาวะวิกฤต
“การทำ DMM อย่าอยู่แค่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ต้องออกมานอกรั้ว ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาและบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ทุกคนเป็นตัวจักรสำคัญในการผลิตบัณฑิตและใช้ดิจิทัลเพื่อพัฒนาประเทศ มี Digital Mindset มุ่งมั่นที่จะสร้างตัวเองให้เป็นดิจิทัล รวมถึงการสร้างวิชาการที่ประยุกต์สากลให้เข้ากับภูมิสังคมไทยในแต่ละพื้นที่ได้ การวิจัยและพัฒนา การบริการสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ทั้งนี้ DDM เป็นเครื่องมือบอกสถานะ โจทย์ วิเคราะห์สิ่งที่ควรทำและไปต่อ อีกทั้งช่วยติดตามประเมินผลเพื่อให้เกิดการเดินหน้าและยั่งยืน ซึ่งจะต้องมีความพร้อมในการใช้ข้อมูล โดยเป้าหมายสุดท้ายคือประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สุดท้ายขอฝากข้อคิดในการใช้ DMM บนหลัก 6 ประการ คือ มีความรู้ในสิ่งที่ทำ มีคุณธรรม มีความเพียรล้มแล้วลุกให้ได้ ตัดสินใจบนหลักความพอประมาณ มีเหตุและผล และมีภูมิคุ้มกันที่หาทางออกได้เสมอ”
ด้าน อ.ดนัยรัฐ ธนบดีธรรมจารี ผู้ดูแลโครงการมหาวิทยาลัยไทยสู่มหาวิทยาลัยดิจิทัล ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เผยถึงเครื่องมือ DMM เป็นเครื่องมือสำคัญในการสะท้อนถึงความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัล ให้ผู้บริหารและระดับปปฏิบัติการเห็นภาพตรงกันต่อการดำเนินงานในมหาวิทยาลัย รวมถึงกำหนดประเด็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร ทำให้เกิดการนำไปใช้ แบ่งปันข้อมูลและเทคโนโลยีร่วมกัน ต้องร่วมกันสร้างนิเวศแห่งการพัฒนาร่วมกันทุกภาคส่วน ในมุมมองความต้องการของสังคมที่เชื่อมโยงกับทิศทางของโลกและบริบทของประเทศสู่การกำหนดเป้าหมายของตนเอง และขับเคลื่อนองค์กรอย่างเป็นระบบโดยใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้อง
ในโลกยุคใหม่ที่รูปแบบการเรียนรู้และความต้องการของตลาดแรงงานเปลี่ยนไป อีกทั้งผู้คนมีการตั้งคำถามถึงความสำคัญของสถาบันอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมมือกับ SkillLane ปรับตัวรับมืออนาคตด้วย TUXSA หลักสูตรปริญญาโทออนไลน์ ที่ช่วยให้ธรรมศาสตร์กลับสู่การเป็น “ตลาดวิชายุคดิจิทัล” ที่ตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ โดยเป็นปีที่ 4 แห่งความสำเร็จด้วยจำนวนผู้เรียนมากกว่า 16,000 คน รวมถึงมีนักศึกษาเรียนจบเป็นมหาบัณฑิตแล้วในปี พ.ศ.2565 นี้
ในปัจจุบัน รูปแบบการเรียนรู้ของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป ทั้งไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อยู่แค่ในห้องเรียนและอาจไม่จำเป็นต้องเรียนในมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของตลาดแรงงานก็เปลี่ยนไป ผลวิจัยระบุว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า งานทั่วโลกจะหายไป 85 ล้านตำแหน่ง และจะเกิดงานใหม่กว่า 97 ล้านตำแหน่ง ส่งผลให้ตลาดแรงงานยุคใหม่อาจเกิดปรากฏการณ์คนจำนวนมากไม่มีงานทำ และงานเกิดใหม่จำนวนมากไม่มีคนที่ทักษะเหมาะสมมาทำได้ กระแสการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญคือ “มหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่หรือไม่” และ “หากมหาวิทยาลัยจะอยู่รอดต่อไป ควรปรับตัวและมีบทบาทอย่างไร”
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยได้ตอบคำถามเหล่านี้ผ่านการปรับตัวเพื่อตอบโจทย์อนาคต โดยร่วมกับ SkillLane แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ของไทย ได้เปิดตัว TUXSA หลักสูตรปริญญาโทในรูปแบบออนไลน์ที่ส่งมอบทักษะแห่งอนาคตให้แก่คนไทย หลักสูตรปริญญาโทนี้ทั้งตอบโจทย์การเรียนรู้ของผู้เรียนยุคใหม่และตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคตไปพร้อมกัน
รศ.ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “ธรรมศาสตร์มีอายุ 88 ปี เก่าแก่และมีความขลัง แต่ความขลังนี้อาจทำให้ไม่ทันโลก เราจึงต้องกลับไปเป็น 18 ใหม่อีกครั้ง โดยเราจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แต่หลักการทำงานของเราคือ อะไรที่ไม่เชี่ยวชาญอย่าลงทุน ให้หาพันธมิตรที่เก่งในเรื่องนี้แทน นั่นคือเหตุผลที่เราจับมือกับสตาร์ทอัปด้าน Education Technology สร้าง TUXSA ปริญญาโทออนไลน์ที่เป็นโปรแกรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่”
7 จุดเด่นของหลักสูตร TUXSA คือ
● เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ที่ต้องการจากที่ไหน เมื่อไรก็ได้
● เลือกเรียนเฉพาะวิชาที่สนใจได้
● ถ้าเลือกเรียนทั้งหลักสูตรเพื่อรับใบปริญญา จะได้รับวุฒิปริญญาโทที่มีศักดิ์และสิทธิ์เท่าปริญญาโทปกติ
● วางแผนค่าใช้จ่ายในการเรียนได้
● ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
● เนื้อหาหลักสูตรพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้เรียน
● เรียนพร้อมทำงานได้ ไม่เสียโอกาสทางการงาน
ปัจจุบัน TUXSA เปิดสอนอยู่ทั้งหมด 2 หลักสูตรคือ หลักสูตรปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขา Business Innovation (M.B.A. Business Innovation) ที่ผ่านการรับทราบหลักสูตรจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลักสูตรปริญญาโท Data Science for Digital Business Transformation (M.S. Digital Business Transformation)
และในปี พ.ศ. 2565 ซึ่งครบรอบ 4 ปีของการก่อตั้ง TUXSA หลักสูตรปริญญาโทนี้ฉลองความสำเร็จด้วยจำนวนผู้เรียนมากกว่า 16,000 คน และมีนักศึกษาจบการศึกษาเป็นมหาบัณฑิตแล้ว ความสำเร็จของ TUXSA สะท้อนถึงการปรับตัวไปในทิศทางที่ถูกต้องของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งรูปแบบการเรียนและเนื้อหา โดยมีปริญญาสนับสนุนว่าผู้เรียนผ่านการรับรองจากสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพ
รศ.ดร.พิภพ อุดร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “ตอนธรรมศาสตร์เกิดขึ้นมา เราเป็นมหาวิทยาลัยเปิดที่ทุกคนเข้าถึงได้ พอเราเปลี่ยนมาเป็นมหาวิทยาลัยปิด จำนวนที่นั่งก็จำกัด คนจะเข้าสู่ธรรมศาสตร์ต้องผ่านการคัดเลือกมากมาย การเปิดปริญญาโทออนไลน์ที่ชื่อ TUXSA ของเราคือการ Back to the Future ทำให้ธรรมศาสตร์กลับไปสู่จุดตั้งต้นเดิมของความเป็นตลาดวิชา แต่เทคโนโลยีทำให้เราก้าวผ่านข้อจำกัดของจำนวนที่นั่ง เวลา สถานที่ และค่าใช้จ่าย ทำให้เราตอบโจทย์การเรียนรู้รูปแบบใหม่ให้กับคนในทุกเจนเนอเรชัน”
สำหรับผู้ที่สนใจ ดูรายละเอียด TUXSA ได้ที่ www.skilllane.com/tuxsa
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวเล็กน้อยในไตรมาสแรกของปีจากการคลายมาตรการต่างๆ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น จนเกิดเป็นอัตราเร่งให้เกิดอาชีพใหม่ๆ สูงขึ้น ผลที่ตามมาคือ ปัญหาช่องว่าง Skill Gap ที่นับวันจะขยายกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากอัตราการว่างงานของเด็กรุ่นใหม่ที่มากขึ้น มีจำนวน 2.6 แสนคน เพิ่มสูงขึ้น 5.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงปัญหาของตลาดแรงงานเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่จะเป็นแรงงานมีฝีมือในอนาคต