December 05, 2025

เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตรด้านความยั่งยืนอย่าง กรุงเทพมหานคร และศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) เดินหน้าสานต่อแคมเปญ AIA+ Go Green ปีที่ 2 ภายใต้สโลแกน “AIA+ พลัสชีวิตดี ๆ ให้คุณ” ร่วมรณรงค์การทำ ธุรกรรมแบบไร้กระดาษ (Paperless Transactions) โดยเชิญชวนให้ลูกค้าสมัครใช้บริการ E-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) และ E-Receipt (ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ (เอไอเอ พลัส) โดยทุก ๆ 10 กรมธรรม์ เอไอเอ จะปลูกต้นไม้เพิ่มหนึ่งต้น พร้อมตั้งเป้าหมาย 100,000 กรมธรรม์ หรือเท่ากับ 10,000 ต้น ทั่วกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะสามารถช่วยลดการใช้กระดาษได้มากกว่า 400,000 แผ่นต่อปี เทียบเป็นจำนวนต้นไม้ถึง 48 ต้น ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน ESG ของ เอไอเอ เพื่อมุ่งสร้างสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้คนและสังคมไทย

ทั้งนี้ AIA+ เป็นแอปพลิเคชันที่มอบความสะดวกในการตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ การชำระเบี้ยประกันภัย การยื่นเคลม การเข้าถึงบริการสุขภาพและการดูแลชีวิตได้อย่างครบวงจร รวดเร็ว ปลอดภัย ตามสโลแกน AIA+ พลัสชีวิตดี ๆ ให้คุณ

 

นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “แคมเปญ AIA+ Go Green สะท้อนความมุ่งมั่นของ เอไอเอ ในการขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านเทคโนโลยีและการดูแลสุขภาพ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีชีวิตที่ดีอย่างแท้จริง ทั้งยังสอดคล้องกับพันธกิจ AIA One Billion ที่มุ่งสนับสนุนการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับผู้คนหนึ่งกว่าพันล้านคนภายในปี 2573 ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’

โดยปีนี้เราได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร และ EEC พันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อม ในการปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพมหานคร และสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะสิ่งแวดล้อมที่ดีย่อมส่งเสริมให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Rethink Healthy ที่เอไอเอ ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนปรับมุมมองเกี่ยวกับสุขภาพ โดยเน้นให้เห็นว่า ‘สุขภาพดี’ ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีจิตใจที่ดี ความมั่นคงทางการเงิน และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเริ่มต้นได้จากการลงมือทำสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำได้ด้วยตัวเอง เช่น การเลือกเดินแทนการใช้รถ การลดการใช้พลาสติก หรือการปลูกต้นไม้ที่บ้าน เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในระดับบุคคลและสังคม เราจึงอยากเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมกันนิยามความหมายใหม่ของสุขภาพดีในแบบของตนเอง พร้อมร่วมดูแลโลกใบนี้ให้เป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการมีชีวิตที่ยั่งยืน”

 

นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย

นายสุธนิศร์ สุริโยทัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย เสริมว่า “การเดินหน้าสู่ปีที่สองของแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสะท้อนพันธกิจด้าน ESG ของ เอไอเอ ด้านการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจ การดูแลผู้คน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การส่งเสริมให้ลูกค้าหันมาใช้ E-Document แทนเอกสารกระดาษ จึงไม่เพียงช่วยลดการใช้ทรัพยากร แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ เอไอเอ ในการก้าวสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ภายใต้การขับเคลื่อน ESG ที่ครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ การลงทุน การดำเนินงาน บุคลากร และการกำกับดูแลองค์กรที่เข้มแข็ง”

 

นายสุธนิศร์ สุริโยทัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย

ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความสะดวกสบายควบคู่กับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมแคมเปญ AIA+ Go Green ได้ภายในแอป ทำให้การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นกิจกรรมง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน นอกจากจะช่วยลดการใช้กระดาษแล้ว AIA+ ยังมีระบบความปลอดภัยสูง จึงมั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยและพร้อมใช้งานตลอดเวลา ลดปัญหาเอกสารสูญหายหรือค้นหาไม่เจอ ยกระดับการเข้าถึงบริการ เอไอเอ ผ่านโทรศัพท์มือถือแบบไร้รอยต่อ นอกจากนี้ เอไอเอ ยังเตรียมต่อยอดประสบการณ์จากแอปพลิเคชัน AIA+ สู่โลกจริง ผ่านกิจกรรม AIA+ Go Green Grooving in the Park ในปีหน้า เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสการมีส่วนร่วมด้านความยั่งยืนในมิติใหม่ เชื่อมโยงการใช้งานดิจิทัลเข้ากับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ที่สนุกและสร้างสรรค์ สอดคล้องกับพันธกิจด้าน ESG ของ เอไอเอ ในการดูแลผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

 

ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย

ด้านพันธมิตรหลักอย่าง นายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) กล่าวว่า “เรามีความภูมิใจที่ได้สานต่อความร่วมมือกับ เอไอเอ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและได้มีบทบาทในการสนับสนุน เอไอเอ ในการผลักดันแคมเปญที่สร้างคุณค่าต่อธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และสงเสริมการลดใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น เราเชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนและคนรุ่นใหม่ พร้อมกระตุ้นให้ทุกคนหันมาเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาธรรมชาติอย่างจริงจัง”

นายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC)

ทั้งนี้ เอไอเอ เตรียมจัดงาน AIA+ Go Green Festival – Grooving in the Park ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2569 ณ สวนเบญจกิติ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และพันธมิตร อาทิ EEC, Layers of emotions, Aura, Absolute Boutique Fitness Studio, FORM Recovery, Yolo, McDonald's, สมิติเวช และอื่น ๆ โดยในงานจะมีกิจกรรมมากมายที่จะมอบประสบการณ์ ความสนุกสนานควบคู่กับการเรียนรู้เรื่องความยั่งยืน ผ่านคอนเสิร์ตจากวงลิปตา กิจกรรมเวิร์กชอป การจัดการขยะ และ การเดินทางที่ลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งนับเป็นงการผนวกความบันเทิงและสร้างการมีส่วนร่วมด้านสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กรุงเทพมหานคร มุ่งมั่นสร้างพื้นที่สีเขียวร่วมกับภาคเอกชน เพื่อยกระดับคุณภาพเมืองและคุณภาพชีวิตของประชาชน สวนเบญจกิติเป็นพื้นที่ต้นแบบที่ผสานวิถีชีวิตคนเมืองเข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ภายในสวน นอกจากจะสอดคล้องกับนโยบายของเราในการปลูกต้นไม้หนึ่งล้านต้นในกรุงเทพฯ แล้ว ยังช่วยสร้างความตระหนักรู้และให้คนเมืองเห็นคุณค่าถึงความสำคัญของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น กรุงเทพมหานครขอขอบคุณ เอไอเอ ที่ขับเคลื่อนแคมเปญด้านความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการพัฒนากรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคนต่อไป”

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ AIA+ Go Green เพื่อร่วมกันรักษ์โลกและสร้างความยั่งยืนไปกับ เอไอเอ โดยการเปลี่ยนสู่ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่สะดวกและปลอดภัย เพียงดาวน์โหลดแอป AIA+ และสมัครรับบริการ E-Document และ E-Receipt ได้ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 เพื่อมีสิทธิรับบัตร AIA+ Go Green - Grooving in the Park ในวันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2569

 

ลูกค้า เอไอเอ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน AIA+ ลงทะเบียนรับ E-Document และ E-Receipt ได้แล้ววันนี้ผ่านสมาร์ต ดีไวซ์บนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android

นายแพทย์ภูริทัต แสงทองพานิชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ นำทีมสื่อมวลชนสัญจร ลงพื้นที่ศูนย์พัฒนาองค์กรและพัฒนาศักยภาพชุมชน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาล กทม. กับบริการที่เข้าถึงง่าย และทั่วถึงทุกมุมเมือง เพื่อหวังมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ด้วยการจัดบริการด้านสาธารณสุขที่เข้าถึงได้ง่ายและครอบคลุมทุกพื้นที่ของเมือง

นายแพทย์ภูริทัต กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร เดินหน้ายกระดับระบบบริการสาธารณสุข “โรงพยาบาล กทม. ทุกมุมเมือง” ตอบโจทย์ประชาชนในยุคดิจิทัล โดยบูรณาการทั้งโรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข และบริการสุขภาพรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานเทคโนโลยี การแพทย์เคลื่อนที่ และการดูแลต่อเนื่องในชุมชน เพื่อเพิ่มความครอบคลุมและความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เน้นการลดระยะเวลารอคอยการรักษา ตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว และส่งเสริมให้คนเมืองใส่ใจในเรื่องสุขภาพตั้งแต่ต้น ในโอกาสนี้ นายแพทย์ภูริทัต ได้นำสื่อมวลชนเยี่ยมชมศูนย์ปฏิบัติการ พร้อมอธิบายถึงองค์ประกอบหลักของโมเดล ที่ผสมผสานบริการทางไกล การแพทย์เคลื่อนที่ การดูแลต่อเนื่องที่บ้าน และการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์–อัมพาต เพื่อสร้างความครอบคลุมและเพิ่มประสิทธิผลของระบบสุขภาพ และยังให้ข้อมูลโครงการต่าง ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

โครงสร้างดิจิทัลและแพทย์ออนไลน์ เปิดบริการ “รพ.ออนไลน์ กับ หมอกทม.” รองรับการพบแพทย์ทางไกล นัดหมายรับยา และติดตามอาการ เชื่อมต่อข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ทุกที่ทุกเวลา ปัจจุบัน โรงพยาบาลทั้ง 11 แห่งในสังกัดสำนักการแพทย์ให้บริการ Telemedicine ครบทุกแห่ง ผ่านแอปพลิเคชัน “หมอ กทม.” และ UMSC โดยมีอัตราการตอบรับบริการภายใน 15 นาที มากกว่า 99% และมีผู้รับบริการเฉลี่ยกว่า 200,000 รายต่อปี กรุงเทพมหานครยังตั้งใจพัฒนาระบบต่อเนื่องเพื่อให้บริการ UMSC ตลอด 24 ชั่วโมง รองรับความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่

รถมอเตอร์ไซค์กู้ชีพฉุกเฉิน Motolance รถจักรยานยนต์พร้อมชุดช่วยชีวิตเบื้องต้น เข้าถึงผู้ป่วยได้รวดเร็วในพื้นที่จราจรหนาแน่น พร้อมเชื่อมต่อสื่อสารกับศูนย์สั่งการแบบเรียลไทม์ เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบัน มีโรงพยาบาลทั้ง 11 แห่งในสังกัดสำนักการแพทย์ ดำเนินการให้บริการ Motolance โดยมีจุดจอดรถประจำโรงพยาบาลและนอกพื้นที่รวมทั้งหมด 40 คัน และสามารถเข้าถึงเหตุฉุกเฉินได้โดยเฉลี่ยภายใน 5 นาทีสำหรับแผนในอนาคต กรุงเทพมหานครตั้งเป้าเพิ่มจำนวนรถ Motolance เป็น 100 คันภายในปี 2569 พร้อมขยายจุดจอดครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

จุดบริการใกล้บ้านและคลินิกออนไลน์ บริการคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น เชื่อมต่อแพทย์ออนไลน์ และส่งต่อผู้ป่วยตามความรุนแรง พร้อมเปิด ศูนย์เทคโนสุขภาพดี (Health Tech Center) เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลและเสริมระบบบริการปฐมภูมิในชุมชน ปัจจุบันมีศูนย์เทคโนสุขภาพดีให้บริการแล้ว 7 แห่ง ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลราชพิพัฒน์และโรงพยาบาลกลาง สำหรับแผนในอนาคต กรุงเทพมหานครตั้งเป้าขยายศูนย์เทคโนสุขภาพดีเพิ่มอีก 3 โซน ได้แก่ โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ และโรงพยาบาลสิรินธร เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพใกล้บ้านได้มากขึ้นและทั่วถึงยิ่งขึ้น

บริการเยี่ยมบ้านและออนไลน์ ทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่และติดตามอาการผู้ป่วยผ่านวิดีโอคอล พร้อมระบบ BMA Home Ward ที่เชื่อมต่อการดูแลจากโรงพยาบาล–ศูนย์บริการ–อาสาสมัครสาธารณสุข โดยใช้ Telemedicine และ CCTV ภายใต้การยินยอมของผู้ป่วยและญาติ มีฐานข้อมูลกลางที่ UMSC รองรับการติดตามและเชื่อมระบบการแพทย์ฉุกเฉิน

การดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยประคับประคอง พัฒนาแผนดูแลเฉพาะบุคคล ครอบคลุมด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ผ่านคลินิกผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์เมือง เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครเปิดบริการ คลินิกผู้สูงอายุครบวงจร ครอบคลุม 11 โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่ง และคลินิกชุมชนอบอุ่น 8 แห่ง พร้อมเปิด ศูนย์เวชศาสตร์เมือง เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลแบบประคับประคอง สำหรับอนาคต มีแผนขยายบริการคลินิกผู้สูงอายุครบวงจรให้ครอบคลุมทุกคลินิกชุมชนอบอุ่น เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลต่อเนื่องและครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม

โครงการคัดกรองและส่งเสริมสุขภาพ เดินหน้าโครงการ “ตรวจสุขภาพ 1 ล้านคน” เพื่อขยายการเข้าถึงการตรวจสุขภาพเชิงรุก–เชิงรับ คัดกรองโรคเรื้อรัง และส่งเสริมสุขภาพร่วมกับศูนย์บริการ โรงพยาบาล ชุมชน และภาคเอกชน พร้อมกิจกรรม “วิ่งล้อมเมือง” เพื่อกระตุ้นการออกกำลังกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครวางแผนดำเนินการตรวจสุขภาพประจำปีตามสิทธิประโยชน์ของประชาชนร่วมกับ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพฯ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมวิ่งล้อมเมืองอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือของสำนักงานเขต โรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมครบทั้ง 50 เขต เพื่อให้ประชาชนในทุกพื้นที่เข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพได้อย่างเท่าเทียม

นายแพทย์ภูริทัต กล่าวอีกว่า การพัฒนาการจัดบริการสุขภาพนี้ สะท้อนเจตนารมณ์ของกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และสร้างระบบที่มีมาตรฐาน ทันสมัย และใกล้ชิดกับประชาชน เพื่อให้ทุกคนในกรุงเทพฯ เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงจริง โครงการ “โรงพยาบาล กทม. ทุกมุมเมือง” อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครยอมรับว่าการพัฒนาระบบดังกล่าว ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะในด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังคงต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ขณะที่การให้บริการทางไกลและการแพทย์เคลื่อนที่ ยังคงต้องอาศัยความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ ประชาชนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานดิจิทัล อาจยังประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการออนไลน์ ที่สำคัญคือความยั่งยืนทางการเงิน เนื่องจากการขับเคลื่อนโครงการในระยะยาวจำเป็นต้องมีงบประมาณและการสนับสนุนที่เพียงพอ เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง แต่กรุงเทพมหานครจะเดินหน้าพัฒนาระบบดังกล่าวอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งปรับปรุงจุดอ่อนและเสริมจุดแข็ง เพื่อให้ประชาชนในทุกมุมเมืองได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ทันสมัย และครอบคลุมอย่างแท้จริง

รศ.วิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมสื่อมวลชนสัญจร ลงพื้นที่ทางเดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ ที่มีเป้าหมายในการเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการเดินทางของประชาชนตลอดแนวคลองแสนแสบ รวมถึงส่งเสริมการใช้จักรยานและการเดินเท้าเป็นทางเลือกในการสัญจรในเมืองอย่างยั่งยืน

โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ และลดปัญหาน้ำเน่าเสียในคลองแสนแสบควบคู่ไปกับการก่อสร้างทางเดินและทางจักรยาน ตั้งแต่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปจนถึงเขตหนองจอก ปลายสุดของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) พร้อมทางเดินและทางจักรยานแล้วเสร็จรวมระยะทางประมาณ 60.38 กิโลเมตร (60,380 เมตร)

 

ในส่วนของการดำเนินงานในปัจจุบัน อยู่ระหว่างการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 4.72 กิโลเมตร (4,720 เมตร) ประกอบด้วย งานปรับปรุงขยายเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณถนนพระรามที่ 6 ถึงบริเวณสะพานเฉลิมหล้า โครงการก่อสร้างเขื่อนและปรับปรุงเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณทางด่วนเฉลิมมหานครถึงประตูระบายน้ำคลองตัน และโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและประตูเรือสัญจรคลองแสนแสบตอนคลองบางชัน

ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครยังอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 12.7 กิโลเมตร (12,700 เมตร) ในสองช่วง ได้แก่

  1. โครงการก่อสร้างเขื่อนและปรับปรุงเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศถึงบริเวณทางด่วนเฉลิมมหานคร
  2. โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบ (ระยะที่ 1) จากบริเวณซอยรามคำแหง 185 ถึงบริเวณซอยราษฎร์อุทิศ 37

 

นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังมีแผนดำเนินการในระยะถัดไป โดยจะดำเนินการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. และทางเดินพร้อมทางจักรยาน ความยาวประมาณ 17.2 กิโลเมตร (17,200 เมตร) แบ่งออกเป็นสองโครงการสำคัญ ได้แก่

  1. โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบ (ระยะที่ 2) จากบริเวณซอยราษฎร์อุทิศ 37 ถึงซอยเลียบวารี 32
  2. โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบ (ระยะที่ 3) จากซอยเลียบวารี 32 ถึงถนนเชื่อมสัมพันธ์

โครงการ “ทางเท้าเลียบคลองพร้อมเลนจักรยาน” ถือเป็นนโยบายสำคัญของกรุงเทพมหานคร ภายใต้แผนพัฒนา “เดินได้ ปั่นปลอดภัย” ที่ริเริ่มจากเขตพระนครถึงเขตหนองจอก โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ริมคลองแสนแสบและคลองสายรองในเขตเมืองให้เป็นเส้นทางสำหรับการเดินเท้าและปั่นจักรยานอย่างปลอดภัย ครอบคลุมระยะทางรวมกว่า 47.5 กิโลเมตร (47,500 เมตร) โดยในช่วงต้นของโครงการ ได้ดำเนินการก่อสร้างทางเท้าควบคู่กับแนวเขื่อนริมคลอง พร้อมติดตั้งระบบไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมีจุดเริ่มต้นที่เขตพระนครถึงเขตหนองจอก และแผนขยายต่อไปยังพื้นที่อื่น ๆ เช่น ลาดพร้าว พร้อมพงษ์ ท่าพระ และสามยอด เพื่อเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ รถไฟฟ้า MRT เรือ และ BTS ได้อย่างสะดวก ตั้งเป้าโครงการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2570 เพื่อสร้างเมืองที่ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และมีสุขภาวะที่ดีในระยะยาว

 

หลังจากการให้ข้อมูล เกี่ยวกับแผนการพัฒนาส่วนขยายจุดเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานเลียบคลองแสนแสบ เพื่อให้ได้เห็นภาพมากขึ้น รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เดินเลียบคลองแสนแสบ ท่าเรือวัดใหม่ช่องลม - ท่าเรือ มศว ประสานมิตร แขวงบางกะปิ ที่ถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเส้นทางริมน้ำในเขตกลางเมืองกรุงเทพฯ ไม่เพียงแต่ตั้งอยู่ใกล้กับย่านชุมชนแน่นหนาและสถาบันการศึกษาสำคัญอย่างมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดที่มีการสัญจรทางเรือหนาแน่นและเชื่อมต่อกับพื้นที่เศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ

โดยเส้นทางนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็น ทางเดินเท้าและทางจักรยานเลียบคลอง ที่มีความปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน โดยมีการปรับปรุงผิวทางเดินให้เรียบเสมอ ติดตั้งราวกันตกในจุดเสี่ยง เพิ่มแสงสว่างตลอดเส้นทาง และจัดให้มีทางลาดสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ใช้รถเข็น สามารถใช้งานร่วมกันได้โดยไม่ถูกรบกวนจากการจราจรบนถนนหลัก

 

อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่มีความเงียบสงบกว่าพื้นที่ถนนภายนอก ทำให้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเช้าและเย็น ประชาชนในพื้นที่จำนวนมากใช้เส้นทางนี้เป็นทางลัดระหว่างบ้าน ที่เรียน หรือที่ทำงาน และยังนิยมใช้ในการออกกำลังกาย เช่น เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน โดยเฉพาะนักศึกษาและบุคลากรของ มศว ที่สามารถเดินเชื่อมถึงท่าเรือได้อย่างสะดวก

ตลอดการดำเนินโครงการ กรุงเทพมหานครได้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่ จุดเชื่อมต่อ ทางลาด ทางข้าม และพื้นที่พักผ่อนต่าง ๆ ตลอดแนวคลอง เพื่อให้เกิดการใช้งานจริงอย่างยั่งยืน โดยมีการประเมินผลตอบรับจากพื้นที่นำร่อง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้นจากโครงสร้างทางเท้าและเลนจักรยานที่มีการจัดสรรอย่างเป็นระบบ

คาโอ ร่วมมือกรุงเทพมหานคร สานต่อโครงการยกระดับสุขอนามัยในโรงเรียน สร้างอนาคตที่ปลอดภัย ห่างไกลโรคติดต่อ

 บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด ผนึกกำลังกับ กรุงเทพมหานคร ในการขับเคลื่อนโครงการ "เสริมสร้างความสะอาด มีอนามัย ห่างไกลโรคติดต่อในโรงเรียน" ปีที่ 2 อย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและปลอดภัยให้กับนักเรียน โดยเฉพาะในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครกว่า 130 แห่ง โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค แต่ยังช่วยปลูกฝังพฤติกรรมการรักษาความสะอาดให้กับนักเรียนและบุคลากรโรงเรียนอีกด้วย

ในงานเปิดตัวโครงการ ณ โรงเรียนวิชากร เขตดินแดง คุณ ยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการของคาโอ ประเทศไทย ได้กล่าวถึงความสำคัญของการมีสุขอนามัยที่ดี โดยเฉพาะในสภาวะที่โรคติดต่ออาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ คาโอได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคุณภาพสูง เช่น ไฮเตอร์ และ มาจิคลีน แบคทีเรีย คิลเลอร์ ที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 99.9% เพื่อสนับสนุนการดูแลความสะอาดในโรงเรียน

ความร่วมมือนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานสุขอนามัยของกรุงเทพฯ โดยมุ่งหวังให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียนและครูทุกคน นอกจากนี้ คาโอยังมีการฉลองครบรอบ 50 ปีของผลิตภัณฑ์ไฮเตอร์ ด้วยสโลแกน "สะอาดคู่บ้าน อนามัยคู่เมือง" สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขอนามัยของครัวเรือนและชุมชนทั่วประเทศไทย

นอกจากการจัดกิจกรรมทำความสะอาดแล้ว คาโอยังเน้นย้ำถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดในชีวิตประจำวัน โดยทีมพนักงานจิตอาสาของบริษัทกว่า 20 คนได้ร่วมลงพื้นที่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน นับเป็นอีกหนึ่งการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่บริษัทได้สืบสานมาอย่างต่อเนื่อง

"เราหวังว่าโครงการนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน ครู และบุคลากรทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของสุขอนามัย และสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน" คุณยูจิ ชิมิซึ กล่าวทิ้งท้าย

 

โชว์ผลงานในรอบ 2 ปี ผ่านนิยาม 5 เมือง ภายใต้คอนเซปต์ที่ชวนชาวกรุง มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง “เมืองเปลี่ยนได้เพราะคุณ”

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click