มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระดับนานาชาติ พร้อมนำเสนอ ‘บัญชีบริการดิจิทัล’ อำนวยความสะดวกให้ผู้พัฒนาเมืองสามารถเลือกสินค้าและบริการ ด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรมและเหมาะสมกับบริบทของตนเอง

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) โดย ดีป้า พร้อมด้วย บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เตรียมจัดงาน “Thailand Smart City Expo 2024” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระดับนานาชาติที่จะมีขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 6 – 8 พฤศจิกายน 2567 ฮอลล์ 3 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยปีนี้มาพร้อมแนวคิด ‘Towards Smart Data Era’ ซึ่งแสดงถึงความตื่นตัวของทุกภาคส่วนที่จะนำประเทศไทยเข้าสู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวต่อว่า Thailand Smart City Expo 2024 จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมโครงการพัฒนาเมืองในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อการพัฒนาเมือง การประชุมและสัมมนาระดับนานาชาติโดยผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งเป็นพื้นที่ที่จะเกิดการต่อยอดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมการพัฒนาเมือง

“นอกจากนี้ กระทรวงดีอี โดย ดีป้า ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พัฒนานโยบายกระตุ้นการลงทุนเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาในพื้นที่เมืองอัจฉริยะผ่านมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 100% ของเงินลงทุนด้านดิจิทัล ระยะเวลาสูงสุด 3 ปี เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่ขึ้นทะเบียนใน ‘บัญชีบริการดิจิทัล’ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้พัฒนาเมืองสามารถเลือกสินค้าและบริการด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรมและเหมาะสมกับบริบทของตนเอง ขณะที่หน่วยงานภาครัฐสามารถเลือกใช้สินค้าและบริการในบัญชีบริการดิจิทัลได้ด้วยระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างแบบเฉพาะเจาะจง ส่วนภาคเอกชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการลดหย่อนภาษีสูงถึง 200%” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวเพิ่มเติม

ด้าน นายสุรพล อุทินทุ กรรมการผู้จัดการ เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า เทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชนเมืองปรับเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้พัฒนาเมืองจำเป็นต้องยกระดับเมืองไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในเมืองรอบด้าน เช่น ด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านจราจรและขนส่ง ด้านการยกระดับการประกอบอาชีพและการศึกษา และด้านพลังงานสะอาด เป็นต้น

ทั้งนี้เทคโนโลยีด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเมืองให้ตรงกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในเมือง ช่วยแก้ไขปัญหา และเสริมจุดเด่นของแต่ละเมืองที่มีความแตกต่างกัน ได้อย่างตรงจุด ดังนั้น อ็น.ซี.ซี. จึงได้ร่วมกับ ดีป้า จัดงาน Thailand Smart City Expo 2024 ซึ่งเป็น

การต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมาที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงสินค้าเป็นจำนวนมาก และมีผู้เข้าชมตลอดระยะเวลาการจัดงานกว่า 8,600 คน อีกทั้งได้รับความสนใจจากผู้นำท้องถิ่นและผู้พัฒนาเมืองเข้าร่วมเจรจาธุรกิจกว่า 100 เมือง

สำหรับงาน Thailand Smart City Expo 2024 ได้รวบรวมเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะไว้ 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วย SMART Telecom, SMART Energy, SMART Living, SMART Industry & Retail, SMART Mobility, SMART Environment และ SMART Healthcare เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาเมืองในทุกมิติ โดยคาดว่าปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมชมงานราว 10,000 ราย มีผู้ประกอบการเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 150 ราย

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดงานในครั้งนี้จะเป็นช่องทางให้ชุมชนต่าง ๆ มาศึกษาเรียนรู้และนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลที่เหมาะสมกลับไปพัฒนาชุมชนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตและก้าวหน้าได้อย่างก้าวกระโดด” นายสุรพล กล่าว

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเมืองที่ผ่านการรับรองเป็นเมืองอัจฉริยะแล้วจำนวน 36 เมืองจาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ โดยในปี 2567 – 2570 รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะยกระดับเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ไม่น้อยกว่า 105 เมือง อีกทั้งมีการประเมินว่าจะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาท สำหรับผู้สนใจสามารถร่วมงาน Thailand Smart City 2024 มหกรรมแสดงสินค้าและเทคโนโลยีด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระดับนานาชาติระหว่างวันที่ 6 - 8 พฤศจิกายน 2567 ณ ฮอลล์ 3 - 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thailandsmartcityexpo.com 

รางวัลเชิดชูเกียรติผู้ที่มีผลงานดีเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของไทย

ดีป้า เดินหน้าเสริมศักยภาพดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยต่อเนื่อง รุกส่งเสริม 3 โครงการผ่านมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล คาดสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า 25 ล้านบาท พร้อมช่วยกระตุ้นการจ้างงาน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้แก่ผู้ใช้บริการดิจิทัลโซลูชันจากดิจิทัลสตาร์ทอัพที่ได้รับการส่งเสริม

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีป้า มุ่งยกระดับศักยภาพดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยในทุกระยะการเติบโตด้วยการเสริมสร้างความรู้และทักษะสำคัญผ่านโครงการต่าง ๆ ควบคู่กับการพัฒนาระบบนิเวศดิจิทัล พร้อมเปิดโอกาสให้เกิดการจับคู่ธุรกิจกับเหล่าผู้ประกอบการ เกษตรกร และชุมชนที่กำลังมองหาดิจิทัลโซลูชันที่เหมาะสมกับบริบทของตนเองก่อนนำมาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งร่วมผลักดันดิจิทัลสตาร์ทอัพที่มีความพร้อมเพื่อก้าวสู่เวทีระดับสากล โดยปัจจุบัน ดีป้า ยกระดับดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยแล้วมากกว่า 165 ราย ขณะที่ปี 2567 มีแผนที่จะส่งเสริมสตาร์ทอัพเพิ่มกว่า 20 ราย

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาการส่งเสริมและสนับสนุน ดีป้า มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการที่ขอรับการส่งเสริมสนับสนุนตามมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล (depa Digital Startup Fund) ระยะเริ่มต้น (Early Stage) จำนวน 3 ราย รวมมูลค่าการลงทุน 3 ล้านบาท ประกอบด้วย

  • Pettinee Televets แพลตฟอร์มให้บริการปรึกษาสัตวแพทย์ทางไกลและดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงครบวงจร โดย บริษัท เพทที่นี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
  • ThaiMarket แพลตฟอร์มจับคู่ระหว่างพ่อค้าแม่ค้า และเจ้าของตลาด โดย บริษัท สวัสดีไทยมาร์เก็ต จำกัด
  • Lightster แพลตฟอร์มทดสอบผลิตภัณฑ์และรับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้งานสำหรับบริษัทเทคโนโลยี โดย นายปฏิเวธ เสถียรสัมฤทธิ์

สำหรับดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้ง 3 รายที่ได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนฯ ในครั้งนี้มาจากบริการดิจิทัลที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของภาคประชาชน อีกทั้งมีศักยภาพที่จะเติบโตสู่ระดับสากลได้ในอนาคต พร้อมกันนี้ยังประเมินว่า ดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้ง 3 ราย จะสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 25 ล้านบาท ทั้งในส่วนของการต่อยอดบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล การยกระดับทักษะบุคลากร กระตุ้นการจ้างงาน ตลอดจนการมีส่วนช่วยให้เกิดการสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ใช้บริการจากดิจิทัลสตาร์ทอัพทั้ง 3 รายผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aircraft System Standard Testing Center) โดย สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนภายใต้มาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งภาครัฐและเอกชน (depa Digital Infrastructure Fund) โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรมอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) พื้นที่รวมกว่า 800 ตารางเมตรของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วยห้องปฏิบัติการภายในอาคาร (Indoor Labs) และพื้นที่ทดสอบการบินบริเวณลานบิน รองรับความต้องการวิเคราะทดสอบและยืนยันศักยภาพของผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

เดินหน้ายกระดับความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาด้านดิจิทัล

กระทรวงดีอี โดย ดีป้า และ Digital China Group พันธมิตรจากประเทศจีนร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรมดิจิทัลรอบด้าน

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า และ Mr. Chen Zhenkun, Digital China Group ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรมดิจิทัล โดยมี Mr. Guo Wei, Chaiman of Digital China Group และ ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ร่วมเป็นสักขีพยานภายในงาน Data & Cloud Innovation – Digital China Bangkok Summit และขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ

ผศ.ดร.ณัฐพล เปิดเผยว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี มอบหมายให้ ดีป้า ดำเนินการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุน และการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สนองตอบแผนการดำเนินงานสำคัญของกระทรวงอย่าง The Growth Engine of Thailand

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีป้า ในนามของ กระทรวงดีอี ได้ร่วมส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล อีกทั้งเดินหน้าหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนด้านดิจิทัลผ่าน Greater Bay Area (GBA) กับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง ดีป้า กับ Digital China Group ในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรมดิจิทัลครั้งสำคัญ ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อประโยชน์ของประชาชน และยกระดับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเปิดรับทุกความร่วมมือเพื่อเติมเต็มระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศให้สมบูรณ์ ช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมผู้ประกอบการไทย และเสริมสร้างศักยภาพเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืนผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ด้าน Mr. Guo Wei กล่าวว่า ความร่วมมือในวันนี้ถือเป็นครั้งแรกในการเริ่มต้นความร่วมมือระหว่าง ประเทศไทยกับ Digital China Group ซึ่งเราขอให้ความเชื่อมั่นว่า จีนพร้อมที่จะนำความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลรอบด้านมาร่วมเป็นพันธมิตรในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ทั้งในด้านการขับเคลื่อนระบบนิเวศดิจิทัลเพื่อเติมเต็มเข้าสู่ประเทศไทย เรามุ่งหวังที่จะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและ ธุรกิจในไทยสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้สามารถปรับตัวเตรียมพร้อมรองรับกระแสความเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล (Digital Transformation) ทั้งนี้ ภายใต้ความร่วมมือ Digital China Group ยินดี ที่จะมอบคำแนะนำเชิงลึก โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมขั้นสูง อาทิ ระบบคลาวด์ (Cloud) และการบูรณาการข้อมูล (Data Integration) รวมถึงการต่อยอดไปสู่ความร่วมมือในด้านที่สำคัญของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป

ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง ดีป้า กับ Digital China Group จะครอบคลุมแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรมดิจิทัลรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น 1. การส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน เพิ่มตำแหน่งงาน และผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยเติบโต 2. การส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลไทยผ่านกิจกรรมด้าน e-Commerce, Digital Payments, Fintech และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล 3. การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 4. การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรม เพื่อยกระดับทักษะดิจิทัลแรงงานไทยให้เหมาะสมกับการจ้างงาน 5. การร่วมมือสร้าง Big Data Centers รองรับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลชั้นสูงและการพัฒนานวัตกรรม 6. การร่วมมือพัฒนาเทคโนโลยี Cloud เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการ 7. การส่งเสริมการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ รองรับและต่อยอดการทำธุรกรรมออนไลน์ 8. การสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัยและการใช้งาน AI เช่น Machine Learning, Natural Language Process, Robotics ต่อยอดสู่การพัฒนานวัตกรรม AI และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเท และ 9. การนำพันธมิตรด้าน AI เข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศเพื่อเติมเต็มระบบนิเวศดิจิทัลและผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโต

Page 1 of 7
X

Right Click

No right click