

ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ ให้กับมหาวิทยาลัยที่มีผลงานโดดเด่นในโครงการ "ECOLIFE in U" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และบริษัท คิดคิด จำกัด กิจการเพื่อสังคม ภายใต้การดำเนินกิจการโดย ท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น ศิรพันธ์ วัฒนจินดา เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ณ อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า “โครงการ "ECOLIFE in U" นับเป็นก้าวสำคัญของกระทรวง อว. ในการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาให้มีคุณภาพอย่างยั่งยืน (Sustainable University) และมุ่งสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutrality) โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้และปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับนิสิต นักศึกษา และบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา โดย "U" หมายถึงทั้งนิสิต นักศึกษา (You) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ (University) ซึ่งเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2567”
"ตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา การดำเนินกิจกรรมนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักและความสำคัญที่สถาบันอุดมศึกษามีต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยมีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เช่น ปริมาณขยะ การใช้ไฟฟ้าและน้ำที่ลดลง รวมถึงการมีส่วนร่วมของนักศึกษาที่เพิ่มขึ้น และสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG หลายเป้าหมาย อาทิ SDG 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ปัญหาจริงและลงมือแก้ไขจริง ทั้งในด้านการจัดการขยะ การอนุรักษ์พลังงาน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 11 เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน ให้มหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ต้นแบบของการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น SDG 12 การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการลดการใช้พลาสติก และการส่งเสริมการนำขยะกลับมาใช้ซ้ำ และ SDG 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กิจกรรมต่างๆ ในโครงการ ล้วนมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทรวง อว. ขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ร่วมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์โครงการความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นว่า นอกเหนือจากพลังของคนรุ่นใหม่แล้ว สถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ล้วนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายการมุ่งสู่เป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”- ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม

นายพิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ผู้ก่อตั้งบริษัท คิดคิด จำกัด กล่าวเสริมว่า แพลตฟอร์ม ECOLIFE เป็นเครื่องมือหนึ่งในการปลูกฝังจิตสำนึกในการรักสิ่งแวดล้อมที่ยังคงให้ความสนุกและเป็นระบบ ซึ่งเข้ามาช่วยจัดสรรให้นิสิต นักศึกษา อาจารย์ และบุคลากร สามารถเก็บข้อมูลการลดคาร์บอนฟุตพริ๊นท์ในระดับสถาบันการศึกษาได้อย่างเป็นระบบ เพื่อร่วมกันสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน รักษาสิ่งแวดล้อม อันนำไปสู่ความยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต”
สำหรับโครงการ "ECOLIFE in U" เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2567 บรรลุผลสำเร็จอย่างโดดเด่น โดยมีสถาบันอุดมศึกษาสมัครเข้าร่วมกิจกรรม ECOLIFE Fill in (การบันทึกข้อมูลการคัดแยกขยะรีไซเคิล) จำนวนทั้งสิ้น 75 แห่ง โดยผลของการดำเนินกิจกรรมสามารถบันทึกน้ำหนักขยะรีไซเคิลรวมกว่า 9,525,471.51กิโลกรัม ลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึง 9,525.41 ตัน CO₂e และสำหรับกิจกรรม ECOLIFE มีสถาบันอุดมศึกษาสมัครเข้าร่วมทั้งสิ้น 43 แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 38,993 ราย ดำเนินกิจกรรมทั้งสิ้น 333,720รายการ และสามารถลดคาร์บอนเพิ่มเติมได้อีก 117,567.51 กิโลกรัม CO₂e รวมการลดคาร์บอนทั้งหมดประมาณ 249,346.5 ตัน CO₂e ซึ่งนำมาสู่ผลสำเร็จสำคัญ ซึ่งตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนิสิต นักศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ รางวัลมหาวิทยาลัยที่มีการปรับพฤติกรรมด้านความยั่งยืนและปริมาณการคัดแยกขยะรีไซเคิลมากที่สุด จากการบันทึกข้อมูลด้วย ECOLIFE Platform ในโครงการ "ECOLIFE In U" ทั้งสิ้น 5 รางวัล ได้แก่
และรางวัลมหาวิทยาลัยนำร่องในการดำเนินงานโครงการ "ECOLIFE In U" อีก 1 รางวัล ได้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของโครงการ “ECOLIFE in U” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศในการขับเคลื่อนความยั่งยืน และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านความยั่งยืนในแนวทาง SDGs (Sustainable Development Goals เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) โดยเฉพาะการขยายการมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งการจัดกิจกรรม การประชาสัมพันธ์ การสร้างแรงจูงใจ รวมถึงวิธีการต่างๆ ที่ให้เกิดความเหมาะสมกับแต่ละมหาวิทยาลัย
สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการ "ECOLIFE in U" เพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://sub.ecolifeapp.com/university เฟซบุ๊ก www.facebook.com/ECOLIFEapp หรือ Add LINE: @ecolifeapp หรือคลิก https://lin.ee/0DhZ0BV
ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวความสำเร็จการจัดงาน อว.แฟร์ 2025: SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ภายใต้แนวคิด Creators of Tomorrow: คิดสร้างสรรค์ Kids สร้างอนาคต ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีและร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดล้ำด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งตลอด 9 วันของการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 720,000 ราย แบ่งเป็น On-site กว่า 222,000 ราย และ Online กว่า 498,000 ราย สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ศ.ดร. ศุภชัย กล่าวว่า การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ถือเป็นความท้าทายสำคัญของกระทรวง อว. ในการดำเนินการจัดมหกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับภูมิภาคและส่วนกลาง เพื่อมอบองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนเปิดโอกาสและจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ในการนำวิทยaศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน

ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า “อว.แฟร์ ไม่ได้เป็นเพียงงานนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ หากแต่เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมและนำเสนอผลงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ครอบคลุมทั้งด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เชื่อมโยงองค์ความรู้และนวัตกรรมกับการใช้ชีวิตจริง ตลอดจนจุดประกายโอกาสจากทักษะใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์อนาคตของประเทศ พร้อมทั้งปลุกพลังแห่งการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งสะท้อนบทบาทเชิงกลไกของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ด้วยพลังของการเรียนรู้ที่บูรณาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อมุ่งสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย”

การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ในครั้งนี้นับว่าบรรลุผลสำเร็จอย่างรอบด้าน โดยมีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญและคุณค่าของงานอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิ Facebook PR Pages, KOL Influencer, Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และ Line ซึ่งสร้างการรับรู้รวมกว่า 125 ล้านครั้ง ตลอดจนมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 720,000 คน แบ่งเป็นการเข้าร่วม On-site กว่า 222,000 คน และ Online กว่า 498,000 คน อีกทั้งยังเกิดการจับคู่เจรจาทางธุรกิจสำเร็จ 345 คู่ อันนำไปสู่การต่อยอดและขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มากกว่า 1,059 ผลงาน ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการและประชาชนกว่า 18,000 คน ได้รับการพัฒนาศักยภาพผ่านกิจกรรมสัมมนา เสวนา และเวิร์กช็อปกว่า 300 กิจกรรม พร้อมทั้งก่อให้เกิดรายได้จากการจำหน่ายสินค้านวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากหน่วยงานในสังกัด อว. ผ่านโซน Marketplace และ Craft Market รวมมูลค่ากว่า 4.3 ล้านบาท โดยมีผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้เข้าชมงานอยู่ในระดับสูงกว่า 96% ซึ่งผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของการจัดงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
อย่างไรก็ตามความสำเร็จของงาน อว.แฟร์ 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเรียนรู้ของคนไทย และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญ 3 ประการ คือ

“สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากการจัดงานในปีนี้ คือ การเรียนรู้คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเวทีให้เยาวชน นักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชน ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ ความรู้เหล่านี้สามารถต่อยอดไปสู่อาชีพ สร้างธุรกิจ และก่อให้เกิดคุณค่าที่กลับคืนสู่สังคมอย่างแท้จริง ในนามของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อว. ผมขอให้คำมั่นว่า เราจะยังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าในการสร้างปัญญา เปิดโอกาส และร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศไทย ผ่านพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม” ปลัดกระทรวง อว. กล่าวสรุป