December 15, 2025

 

แสนสิริ จับมือ บีซีพีจี  ประกาศเริ่มใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ด้วยการทำธุรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในโครงการที่พักอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 หรือ T77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนปีนี้

เบื้องหลังข้อตกลงครั้งนี้ อุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า หนึ่งในเป้าหมายของแสนสิริคือการนำพลังงานทดแทนมาใช้ในทุกโครงการ ประกอบกับในปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคากำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย  จึงได้ริเริ่มนำระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ไปติดตั้งในหลาย ๆ โครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่ การจับมือกับบีซีพีจีในฐานะพันธมิตรระดับกลยุทธ์ (Strategic partnership) ในครั้งนี้นับเป็นการผลักดันวาระ Green Sustainable Living ของแสนสิริไปอีกระดับ ด้วยการวางระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในที่พักอาศัย

โดยนับเป็นครั้งแรกของในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสำหรับโครงการที่พักอาศัยทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นการแลกเปลี่ยนพลังงานผ่านระบบบล็อคเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากนี้โครงการนี้ยังเป็นการเปลี่ยนผู้บริโภค (Consumer) สู่ ผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกัน (Prosumer) ด้วยการสร้างระบบแลกเปลี่ยนพลังงานโดยก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมที่มี

โดยประโยชน์ที่จะเกิดอย่างชัดเจนแก่ลูกบ้านแสนสิริที่อาศัยในโครงการที่มีการวางระบบนี้คือสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า โดยไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยได้ถึง 15% และยังสร้างความภูมิใจให้ลูกบ้านจากการมีส่วนร่วมในดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 530 ตันต่อปีโดยประมาณ หรือเท่ากับการปลูกป่า จำนวน 400 ไร่

โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 หรือ T77ประกอบด้วยที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบและไลฟ์สไตล์ฮับบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ในใจกลางสุขุมวิท 77 โดยระบบพลังงานเซลแสงอาทิตย์บนหลังคามีกำลังการผลิตติดตั้ง 635 กิโลวัตต์ แบ่งสัดส่วนการใช้เป็น 54 กิโลวัตต์สำหรับฮาบิโตะมอลล์ ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ภายในโครงการ 413 กิโลวัตต์สำหรับโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ และ 168 กิโลวัตต์ สำหรับพาร์ค คอร์ท คอนโดมิเนียม รวมถึงโรงพยาบาลฟันที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในการแลกเปลี่ยนพลังงานภายในโครงการ

นอกจากนั้น ยังจะติดตั้งระบบนี้ในโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปของแสนสิริด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์ โดยภายในปี 2564 แสนสิริมีแผนที่ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในโครงการใหม่ ๆ กว่า 31 โครงการ และมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 2 เมกะวัตต์

บัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการความร่วมมือนี้ว่า ร่วมกับพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนพลังงานทดแทนระดับโลกจากออสเตรเลีย และเป็นก้าวแรกของบีซีพีจีในโครงการที่พักอาศัยของประเทศไทย และเป็นการเปิดใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

ข้อดีของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้คือช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer)  ผ่านแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว โปร่งใส และปราศจากข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องมีคนกลาง ด้วยราคาที่ถูกลงและช่วยลดมลภาวะด้วยการใช้พลังงานสะอาด ตามแนวคิด Low Cost, Low Carbon

ในเบื้องต้น ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปในแต่ละอาคาร จะนำไปใช้ภายในอาคาร เพื่อให้แต่ละอาคารสามารถใช้ไฟฟ้าในต้นทุนที่ต่ำกว่าไฟฟ้าที่เคยซื้ออยู่ ในกรณีที่มีไฟฟ้าส่วนเกินจากการผลิตใช้ภายในอาคาร แต่ละอาคารสามารถนำไฟฟ้านั้นแลกเปลี่ยนกันภายในแพลตฟอร์ม โดยภายในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น สามารถเกิดสถานการณ์การใช้และการผลิตไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งอาคารก็จะผลิตได้เกินความต้องการ หรืออาคารที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ  สำหรับในกรณีที่ไฟฟ้าที่ผลิตได้มีมากกว่าความต้องการที่ใช้เอง ระบบก็จะนำไฟส่วนเกินขายให้ผู้ใช้รายอื่นด้วยระบบ P2P  หากยังมีเหลืออีก ก็จะขายให้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อเก็บไว้ขายในเวลาอื่นๆ และหากระบบกักเก็บเต็ม ไฟฟ้าก็จะถูกส่งขายเข้าระบบของกฟน.  ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าที่สามารถผลิตได้ ระบบก็จะทำการซื้อจากระบบ P2P  จากระบบกักเก็บพลังงาน และจากกฟน. ตามลำดับ

การดำเนินการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่นำมาใช้เพื่อประมวลผลถึงความเหมาะสมในการกำหนดผู้ซื้อและผู้ขายในความถี่ระดับเสี้ยววินาที โดยสามารถใช้แอพพลิเคชั่นของบีซีพีจี ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ

โครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าที่ T77 นี้ ถือเป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของโลกทั้งยังเป็นโครงการอันดับแรก ๆ ของโลก อีกด้วย ในเบื้องต้นคาดว่าโครงการนำร่องนี้จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับ Community นี้ได้ถึงร้อยละ 20 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวม ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ด้วยระบบ P2P แล้ว การติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อปยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแต่ละอาคารหรือแต่ละบ้าน เพิ่มโอกาสในการจัดหาสินเชื่ออีกด้วย

 

ทางด้านเดวิด มาร์ติน กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ก่อตั้งพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในระบบบล็อกเชนเสริมว่า  การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในระบบการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนและซื้อขายแบบอัตโนมัติสำหรับทั้งอาคารที่พักอาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์ในการขายพลังงานที่เหลือใช้ให้กับลูกค้าที่สามารถเลือกได้ในราคาที่พอใจ การร่วมมือกับแสนสิริและบีซีพีจีนับเป็นก้าวแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งเสริมให้เกิดการรวมพลังกันระหว่างผู้บริโภค ชุมชน และผู้ผลิตพลังงานเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางด้านพลังงาน

สำหรับการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าระหว่างอาคารนั้น ทุกฝ่ายสามารถเป็นได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านการตกลงกันไว้ล่วงหน้าด้วย smart contract  โดยผู้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจะซื้อไฟฟ้าจากผู้ที่ผลิตได้เหลือใช้ด้วยราคาที่ต่ำที่สุด ส่วนผู้ที่ผลิตได้เกินจากความต้องการก็จะขายให้กับผู้ซื้อที่ให้ราคาสูงที่สุด ทั้งนี้ ในการทำธุรกรรมจะใช้ Sparkz Token ซึ่งเปรียบเสมือนกับคูปองในศูนย์อาหาร และเป็นเพียงสัญลักษณ์ในการแลกเปลี่ยนไฟซื้อขายในระบบเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ cryptocurrency และไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนใด ๆ โดยแพลตฟอร์มที่ใช้สามารถแยกระดับการเข้าถึงและการแลกเปลี่ยน  เป็น 2 ขั้นตอน คือระหว่างผู้บริโภคกับบีซีพีจี และระหว่างบีซีพีจีกับพาวเวอร์ เล็ดเจอร์เพื่อปิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในเรื่อง cryptocurrency

พาวเวอร์เล็ดเจอร์เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ผู้พัฒนาโซลูชั่นสำหรับอุตสาหกรรมพลังงาน โดยมีแพล็ตฟอร์มที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการพลังงานโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เริ่มต้นจากการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยระบบ P2P Energy Trading ด้วยแพล็ตฟอร์มที่มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และดำเนินขั้นตอนการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายและชำระเงินแบบอัตโนมัติ สำหรับใช้ในอาคารที่พักอาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์ในการจำหน่ายพลังงานเหลือใช้แก่ลูกค้าที่ตนสามารถเลือกได้ ในราคาที่กำหนดเองได้ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น การซื้อขายไฟฟ้า ผ่านระบบไมโครกริด การซื้อขายคาร์บอน การจัดการรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ก่อนหน้านี้พาวเวอร์ เล็ดเจอร์ มีความร่วมมือกับกับเวสเทิร์นพาวเวอร์และมหาวิทยาลัยเคอร์ตินในออสเตรเลีย และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในชิคาโก สหรัฐอเมริกา

 

           พิกุล ศรีมหันต์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด SME Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของธนาคารไทยพาณิชย์ในขณะนี้ จะเป็นการผสมผสานกลยุทธ์การนำเครือข่ายพันธมิตรเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผนวกกับการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Industry Focus) เพื่อสร้างโซลูชั่นครบวงจรให้กับเอสเอ็มอีในแต่ละอุตสาหกรรม

         โดยธนาคารได้เปิดตัวโครงการ “รวมพลังตัวจริงหนุนเอสเอ็มอี – ชี้ทางรอดธุรกิจโรงแรม” ซึ่งเป็นโครงการที่นำทั้งสองกลยุทธ์ดังกล่าวเข้ามาพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยธนาคารจะดึงพันธมิตรชั้นนำที่มีจุดแข็งและมีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรม เข้ามาร่วมกันทำกิจกรรมส่งเสริมความรู้ มอบโซลูชั่นครบวงจร และเปิดโอกาสสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการและจับคู่ธุรกิจ

        การเริ่มต้นที่ธุรกิจโรงแรมขนาดกลางและเล็กเนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีโอกาสในการเติบโตสูง การท่องเที่ยวยังคงเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักของประเทศไทยในปัจจุบันและในอนาคต โดยเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม และแผนการตลาดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ยังคงเน้นบทบาทของเมืองหลักและเมืองรอง รวมทั้งแคมเปญที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนในท้องถิ่น (Go Locals) อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นโรงแรมที่พักขนาดเล็กขนาดกลางเกิดขึ้นมากมายในประเทศ และถือเป็นเสน่ห์ของการท่องเที่ยวที่กลายเป็นจุดขายที่มีเอกลักษณ์ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ การ  

         ด้วยลักษณะเฉพาะด้านของธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน ธนาคารไทยพาณิชย์ จึงได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรที่เข้าใจปัญหาและมีศักยภาพที่จะร่วมกันช่วยเหลือผู้ประกอบการได้อย่างแท้จริง ประกอบด้วย หน่วยงานราชการ คือ กรมโยธาธิการและผังเมือง ที่จะมาให้ความรู้ในเรื่องขั้นตอนการขอใบอนุญาตก่อสร้าง ใบอนุญาตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร กรมการปกครองที่ดูแลในเรื่องใบอนุญาตโรงแรมโดยตรงมาให้คำแนะนำในประเด็นต่าง ๆแบบครบถ้วนโดยเฉพาะการเตรียมเอกสารซึ่งจะช่วยลดเวลาในการใบอนุญาตได้กว่าครึ่งหนึ่ง

          นอกจากนี้ยังมี Google Thailand ที่จะมาแนะนำให้เอสเอ็มอีเข้าสู่โลกออนไลน์ผ่าน Google My Business เพราะจากข้อมูลมี SMEs เพียง 13 เปอร์เซ็นต์ที่มีเว็บไซต์ของตัวเอง การเปิดตัวสู่โลกออนไลน์จะเป็นช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากอีกระดับหนึ่ง

         Site Minder  ซึ่งเป็นผู้นำในเรื่องการบริหารจัดการด้านการขายบนโลกออนไลน์ ด้วยเครื่องมือที่ครบวงจรทั้งด้านการขาย การบริหารจัดการที่พัก   รวมถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่มีเป้าหมายอยากกระจายความเจริญไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ สอดคล้องกับแนวคิดของไทยพาณิชย์ที่ต้องการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วประเทศ

         ทั้งนี้  งาน SCB SME “รวมพลังตัวจริงหนุนธุรกิจเอสเอ็มอี -ชี้ทางรอดธุรกิจโรงแรม”  ครั้งที่ 1 จะจัดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 วัน ในวันที่ 13, 20 และ 27 กันยายน 2561 ณ  SCB Payment Sphere, SCB Business Center Siam Square ซอย 1 อาคาร Too Fast Too Sleep ชั้น 4 ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมที่สนใจเข้าร่วมงาน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. 02 722 2222

         โดยหลังจากนี้ไทยพาณิชย์จะขยายกิจกรรมเช่นนี้ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของธนาคารทั้ง 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ธุรกิจขนส่งสินค้า ธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภาครัฐ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภาคเอกชน ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ธุรกิจขายวัสดุก่อสร้าง และธุรกิจโรงแรม โดยเป็นโครงการระยะยาวที่จะมีการจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เบื้องต้นวางแผนที่จะจัดโครงการจำนวน 84 ครั้งครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมเป้าหมายในทุกภูมิภาค

การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลจะมีผลกระทบต่อเทคโนโลยีตั้งแต่เทคโนโลยีที่ประมวลข้อมูลจำนวนมากเพื่อใช้ในการตัดสินใจ ไปจนถึงเทคโนโลยีคลาวด์ระบบโมบิลิตี้ และการใช้ Internet-of-Things (IoT) ที่มาแรงในปัจจุบัน

TMB Analytics คาดว่าจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้เกินระดับศักยภาพทำให้เงินเฟ้อเริ่มปรับสูงขึ้น พฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น อีกทั้งการรักษา policy space เพื่อรับมือกับความเสี่ยงในอนาคต จะสนับสนุนให้ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ในช่วงไตรมาสสี่ของปีนี้

การรักษา policy space เป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงิน ในสภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดีและเงินเฟ้อเริ่มขยับขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจต้องเผชิญความเสี่ยงที่จะสูงขึ้นในอนาคต ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเริ่มชะลอลงในปีหน้า สงครามการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีความกดดันจากสภาพคล่องในตลาดการเงินโลกที่ลดลงจากการนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของธนาคารกลางหลัก

ในอนาคต การชะลอของเศรษฐกิจโลกอาจฉุดให้เศรษฐกิจไทยชะลอตามไปด้วย ถึงตอนนั้นอาจต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม หากลดดอกเบี้ยในขณะที่สภาพคล่องในตลาดเงินโลกลดลง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนสั่นคลอนจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาจทำให้ไทยต้องเผชิญกับเงินทุนไหลออกรุนแรงและฉับพลัน

โดยหากไทยไม่มีการสะสม policy space หรือขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในตอนนี้ เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นในอนาคต ธปท. อาจต้องลดดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% หมายความว่าดอกเบี้ยจะลดลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1.25% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดตั้งแต่ที่ไทยเคยมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายมา อาจยิ่งทำให้เงินทุนไหลออกรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงและเงินสำรองระหว่างประเทศที่คาดว่าจะลดลงจากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวของไทยที่ขยายตัวช้าลงตามการชะลอของเศรษฐกิจโลก อีกทั้งการสนับสนุนให้มีการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้นทำให้ต้องนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุนจำนวนมาก

หากลองเทียบเคียงกับช่วงไตรมาสสองของปีนี้ ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดปรับแผนการขึ้นดอกเบี้ยจาก 3 เป็น 4 ครั้งในปีนี้ และสหรัฐฯออกมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมกับจีน แม้ไทยไม่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและยังมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลและเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง แต่นักลงทุนก็ยังไม่มั่นใจและถอนทุนออกจากตลาดหุ้นและบอนด์ไทยสุทธิกว่า แสนล้านบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 6% จากสิ้นไตรมาสที่ 1

นอกจากนี้ หากมองในแง่ของคนที่ออมเงินหรือคนที่อยากลงทุน อัตราผลตอบแทนที่ลดต่ำลงและคงอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานอาจลดแรงจูงใจในการออม หรืออาจไปกระตุ้นให้นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยที่นักลงทุนไม่ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน และอาจทำให้นักลงทุนไทยบางส่วนนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศที่อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เป็นการนำการออมของประเทศไปสนับสนุนการลงทุนของประเทศอื่นแทน

ยกตัวอย่าง กองทุนรวม FIF (Foreign Investment Fund) ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด หากนับตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยเริ่มเป็นขาลงในปี 2012 จนถึงสิ้นปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วนถึง 6% ของเศรษฐกิจไทย และยังมีความเสี่ยงจาก “การกระจุกตัวของการลงทุน (Concentration Risk)” ที่นักลงทุนอาจไม่ตระหนักถึง

ดังนั้น TMB Analytics มองว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อเพิ่ม policy space ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีและอัตราเงินเฟ้อกลับเข้ากรอบเป้าหมายแล้ว เพื่อเตรียมรับมือความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตจากเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอลง แต่จะเป็นการขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอยู่ที่ระดับ 1.75% และ 2.25% ณ สิ้นปี 2018 และ 2019 ตามลำดับ

 

 ไรเซน เอนเนอร์จี ส่งมอบยานยนต์ไฟฟ้า “บีวายดี อีซิกส์” (BYD e6) จำนวน 101 คัน ให้แก่บริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด ผู้บริหารกิจการแท็กซี่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก ผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งสาธารณะครั้งแรกของประเทศไทย ในโครงการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” (EV Taxi VIP) เพื่อยกระดับคุณภาพรถและบริการของแท็กซี่ไทย โดยจะเริ่มประจำการที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่  9 กันยายน 2561 เป็นต้นไป   

อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด กล่าวว่า “ด้วยมาตรฐานการผลิตที่มีความเสถียรและปลอดภัยระดับโลกของ บีวายดี ออโต้ ผู้นำในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ลิเธียมของโลกมากว่า 20 ปี และยังเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าอันดับหนึ่งของโลกด้วยยอดขายกว่า 200,000 คันต่อปี ในกว่า 40 ประเทศ ผสานกับการบริหารที่มีประสิทธิภาพของ อีวี โซไซตี้ ทั้งด้านการจัดการและการฝึกอบรมพนักงานขับรถ ด้านมาตรฐานบริการ ความเชี่ยวชาญในการขับขี่ และการดูแลรักษายานยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้น ประกอบกับความพร้อมของ ไรเซน เอนเนอร์จี ในการให้บริการหลังการขาย ด้วยทีมงาน
ที่เชี่ยวชาญและผ่านการอบรม\ด้านซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างดี รวมถึงให้บริการอะไหล่คุณภาพ โครงการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” จึงเป็นการยกระดับบริการรถสาธารณะและคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการ”

 “การผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าบีวายดี อีซิกส์ (BYD e6) ภายใต้โครงการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” โดยความร่วมมือของบริษัท อีวี โซไซตี้ และพันธมิตรในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือก ซึ่งมีราคาที่แข่งขันกับรถยนต์ทั่วไปได้ เนื่องจากต้นทุนแบตเตอรี่ลดลงประมาณ 12-15% ทุกปี นอกจากนี้ แรงผลักดันจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐ ทั้งในเรื่องการผ่อนปรนกฎระเบียบ การสนับสนุนเงินอุดหนุนทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งความต่อเนื่องและความชัดเจนของนโยบาย เป็นส่วนช่วยให้เราเดินหน้าผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเป็นรูปธรรมและแพร่หลายมากขึ้น” อภิชาติ กล่าวสรุป

ทางด้านผู้ให้บริการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี”  สรยุทธ เพ็ชรตระกูล กรรมการบริษัท บริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ มุ่งพัฒนาบริการของแท็กซี่ไทยให้ สะดวก ปลอดภัย และเป็นมืออาชีพ ตามนโยบายของกรมการขนส่งทางบก รวมทั้งต้องการส่งเสริมการใช้รถพลังงานสะอาด เพื่อรักษาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่าสากล โดย “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” จะพร้อมให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 กันยายนเป็นต้นไป โดยผู้สนใจสามารถเรียกใช้บริการผ่าน 3 ช่องทาง ทั้งบริเวณเคาน์เตอร์ศูนย์บริการ ชั้น 1 สนามบินสุวรรณภูมิ แอปพลิเคชั่น Taxi Ok ของกรมการขนส่งทางบก และคอลล์เซ็นเตอร์
โทร. 0 2039 8888 สำหรับอัตราค่าโดยสารเริ่มต้น 2 กิโลเมตรแรก 150 บาท กิโลเมตรถัดไป คิดอัตรากิโลเมตรละ 16 บาท โดยมีโปรโมชั่นส่วนลด 5% เมื่อชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต อาลีเพย์ วีแชท แรบบิทไลน์เพย์”

 “บริษัทได้ฝึกอบรมพนักงานขับรถโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการรถโดยสารสาธารณะจากทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งการทดสอบทั้งด้านมารยาทการให้บริการ ความเชี่ยวชาญในการขับขี่ และการดูแลรักษายานยนต์ไฟฟ้าเบื้องต้น รวมทั้งจับมือกับพันธมิตรคือ เจพี ประกันภัย ในการสนับสนุนเบี้ยประกันภัยอัตราพิเศษที่ครอบคลุมทั้งตัวรถ คนขับ และผู้โดยสาร ขณะที่ อีเอ พันธมิตรผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟและซัสโก้ สนับสนุนให้รถ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” ทั้ง 101 คันชาร์จไฟฟรี ณ  สถานบริการน้ำมันและชาร์จไฟซัสโก้ 7 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ สาขาบางปะกอก (ซัสโก้สำนักงานใหญ่ ถนนราษฎร์บูรณะ) กาญจนาภิเษก บางยอ เอกชัย เสนานิคม ศรีนครินทร์ 1 และศรีนครินทร์ 3 จนถึงสิ้นปี 2561” สรยุทธ กล่าว

ปัจจุบันทั่วโลกมียานยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 3,000,000 คัน โดยในปี 2560 การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวมากขึ้นในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ เยอรมนี ไอซ์แลนด์ ญี่ปุ่น และจีน สำหรับประเทศไทย คาดว่ายานยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการขนส่งสาธารณะ ตามนโยบายพลังงาน 4.0 ของภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้ได้ 1,200,000 คัน ภายในปี 2579 เพื่อเพิ่มทางเลือกการใช้พลังงาน ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง และลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งลดการใช้พลังงานลงร้อยละ 30 ตามแผนแม่บทการอนุรักษ์พลังงาน

 สมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า  การเปิดตัว EV Taxi VIP ภายใต้การยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ไทยโครงการ Taxi VIP ของกรมการขนส่งทางบก จะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างระบบการคมนาคมขนส่งที่มีคุณภาพในทุกด้าน ทั้งการยกระดับการให้บริการระดับมืออาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนขับแท็กซี่  พร้อมทั้งดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษจากการคมนาคมขนส่งเพิ่มเติม

จากซ้ายไปขวา อภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไรเซน เอนเนอร์จี จำกัด หลิว ซู่เหลียง ผู้จัดการทั่วไปแผนกการขายภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัท บีวายดี ออโต้ จำกัด รณชัย จินวัฒนาภรณ์ ประธานบริหาร บริษัท ไรเซน เอเนอร์จี จำกัด วิชิต วิทยฐานกรณ์ ประธานที่ปรึกษา บริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด สรยุทธ เพ็ชรตระกูล กรรมการ บริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัดและคุณา วิทยฐานกรณ์ กรรมการบริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด

 ทางด้านสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกพร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการขนส่งในการใช้รถโดยสารสาธารณะพลังงานทางเลือกที่มิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและการให้บริการ โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ไทยให้มีคุณภาพความปลอดภัยและการให้บริการภายใต้โครงการ Taxi OK และ Taxi VIP โดยนำเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือบริหารสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนด้วยบริการด้วยรถสาธารณะที่ดีมีคุณภาพ

 ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่าการนำร่องใช้แท็กซี่ไฟฟ้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทยตื่นตัว กระตุ้นการวิจัยและพัฒนา และแสดงความพร้อมในการเดินหน้าเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดมลภาวะในภาคคมนาคมขนส่ง

 

 

 

 

 

 

 วันจักร์  บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่าปี 2561 เป็นปีที่บริษัทสามารถทำยอดขายได้สูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/2561 ซึ่งบริษัทสามารถทำยอดขายเติบโตขึ้นถึง 162% จากไตรมาสก่อน ขณะที่ยอดขายล่าสุดในเดือนสิงหาคม บริษัทสามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 32,500 ล้านบาท คิดเป็น 72% จากเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 45,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 10,862 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายโอนโครงการแนวราบประมาณ 75% และโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 25% โดยเป็นการโอนคอนโดมิเนียมต่อเนื่องจากปีก่อน 15 โครงการและคอนโดมิเนียมใหม่ที่เริ่มโอนในปี 61 ได้แก่ โครงการ เดอะ ไลน์ ราชเทวี และ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง รวมถึงบริษัทยังมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสเพิ่มขึ้นอีก 18% มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปี 664 ล้านบาทโดยมีกำไรจากโครงการภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอสเพิ่มขึ้น 16%

ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทสร้างยอดขายจากตลาดต่างชาติ ได้ถึง 9,100 ล้านบาท คิดเป็น 70% จากเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่ตั้งไว้ในปีนี้ 13,000 ล้านบาท ทั้งนี้ปัจจุบันแสนสิรินับเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ครองส่วนแบ่งการตลาดลูกค้าต่างชาติที่สูงที่สุด จากการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยบริษัทเดียวที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศพร้อมกันในหลายประเทศ (Global Launch) และจัดกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

 

 ระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนต่อเนื่อง จากการผลักดันภาคการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ พร้อมทั้งแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศ สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีแรกนี้ มีอัตราเติบโตสูงขึ้น จากลูกหนี้บัตรเครดิตรวมและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เพิ่มขึ้น”

 ผลการดำเนินงานเคทีซีครึ่งปีแรกสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 2,515 ล้านบาท หรือมีอัตราเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 66% ในขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 2 เท่ากับ 1,306 ล้านบาท ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคที่ทวีความเข้มข้นขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจากความท้าทายของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และผลกระทบจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่รวดเร็ว บริษัทฯ จึงต้องปรับปรุงกระบวนการสื่อสารกับผู้บริโภคและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาให้ทันกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าและเพิ่มปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร เพื่อรองรับกับความท้าทายของมาตรการและกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้น”  

ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 เคทีซีมีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 71,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสินทรัพย์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ อยู่ในรูปของลูกหนี้การค้าสุทธิ คิดเป็น 92% ของสินทรัพย์รวม โดยพอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 72,037 ล้านบาท ฐานสมาชิกรวม 3.1 ล้านบัญชี เติบโต 2.8% แบ่งเป็นบัตรเครดิต 2,249,933 บัตร ขยายตัว 3.2% พอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 46,251 ล้านบาท สัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ที่ 12.6% อัตราเติบโตการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีรวมเท่ากับ 7.7% (อุตสาหกรรมเติบโต 11.9%) ส่วนแบ่งการตลาดของการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 11.1%            เอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPL) รวมของบริษัทยังลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 1.3% จาก 1.6% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.1% ลดลงจาก 1.2% (อุตสาหกรรม 1.9%) สินเชื่อบุคคล 867,236 บัญชี ขยายตัว 2.0% ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 25,423 ล้านบาท สัดส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 7.0% และ NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.8% ลดลงจาก 0.9% (อุตสาหกรรม 2.5%) โดยสัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อ NPL ยังคงมูลค่าสูงที่ 605% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 528%”

ระเฑียรให้ข้อมูลต่อว่า “ไตรมาสสองของปี 2561 เคทีซีมีอัตราเติบโตของรายได้รวมสูงขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายรวมให้มีอัตราลดลง โดยสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น 9% เท่ากับ 5,259 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มจากลูกหนี้สินเชื่อบุคคลที่ยังเติบโตได้ดี (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) รายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นๆ ซึ่งมีสัดส่วน 93% มาจากหนี้สูญได้รับคืน และมีการควบคุมค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 3,626 ล้านบาท ลดลง 5% จากค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลง เพราะอนุมัติสมาชิกใหม่ในจำนวนน้อยลงกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ และมีการใช้งบประมาณด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ใช้จ่ายเม็ดเงินน้อยลง ในขณะที่มูลค่าหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงเช่นกันเนื่องจากพอร์ตลูกหนี้ที่ขยายตัวได้ช้า ทำให้การตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายการเงินที่เป็นต้นทุนเงินก็ลดลง เนื่องจากบริษัทฯ ออกหุ้นกู้ใหม่ในระยะเวลาที่ยาวขึ้นด้วยต้นทุนเงินที่ต่ำลงกว่าหุ้นกู้เดิม โดยรักษาสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิ (Operating Cost to Income Ratio) เท่ากับ 26.8% ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 27.3% ซึ่งแสดงว่าบริษัทยังคงรักษาประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานได้ดี”

“บริษัทฯ มีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) ทั้งสิ้น 24,890 ล้านบาท เป็นวงเงินของธนาคารกรุงไทย 18,030 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 6,860 ล้านบาท โดยมีต้นทุนการเงินไตรมาส 2/2561 เท่ากับ 2.99% ลดลง 3.23% หากเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2560 สำหรับครึ่งปีต้นทุนเงินอยู่ที่ 2.97% (สิ้นปี 2560 เท่ากับ 3.12%) เพราะบริษัทฯ จัดหาเงินจากการออกหุ้นกู้ใหม่ด้วยระยะเวลาที่ยาวขึ้น แต่มีต้นทุนเงินที่ต่ำกว่าหุ้นกู้เดิม โดยมีอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 4.24 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า”

“แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านอัตราเติบโตของพอร์ตและการใช้จ่ายผ่านบัตรตามที่ได้ตั้งไว้ จากปัจจัยของภาพรวมการเติบโตเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะเริ่มฟื้นตัว และกฎเกณฑ์การควบคุมที่เป็นความท้าทายสำคัญ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ในหลายแนวทางเพื่อให้ธุรกิจแข่งขันได้ โดยในปี 2561 บริษัทฯ ยังคงประมาณการเป้าหมายพอร์ตลูกหนี้รวมธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเติบโตไว้ที่ 10% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมขยายตัวไม่ต่ำกว่า 15% รักษาสัดส่วน NPL ให้คงอยู่ในระดับเดียวกับ           ปีก่อนที่ 1.3% และคาดว่าจะมีกำไรสูงกว่าปี 2560 ที่มีมูลค่า 3,304 ล้านบาท”

 

วิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของ อารียา พรอพเพอร์ตี้ ในครึ่งปีแรกเติบโตไปตามทิศทางเดียวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลข GDP จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่เพิ่งเผยข้อมูลช่วงไตรมาสแรกไปนั้น เศรษฐกิจประเทศไทยมีการเติบโตที่ 4.8% ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 5 ปี ส่งผลให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วนมีการเริ่มขยับปรับโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัย หรือการซื้อเพื่อการลงทุน ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทฯ มียอดขายรวม 4,852 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,107 ล้านบาท คิดเป็น 65% และจากโครงการแนวสูงมูลค่ารวม 1,745 ล้านบาท คิดเป็น 35%  ทั้งนี้ ยังพบว่า ตลาดกลุ่ม Luxury ทั้งบ้านและคอนโดที่มีราคาตั้งแต่ 25 ล้านบาทขึ้นไปของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะทำเลในย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ อาทิ โซนสุขุมวิท โซนบางนา และโซนเกษตร-นวมินทร์

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/2561 บริษัทฯมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจโดยมีรายได้ 952.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.9 ล้านบาท สำหรับงวดครึ่งปี บริษัทฯมีรายได้ 2000.9 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 69.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.9 ล้านบาท

 

 บริษัทนีลเส็น (ประเทศไทย) บริษัทวิจัยและตรวจวัดข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค เก็บข้อมูลงบโฆษณารายเดือน กรกฎาคม  2561 เทียบกับเดือนเดียวกันปี 2560 ทำให้เห็นภาพรวมการใช้งบประมาณโฆษณาที่ขยับตัวขึ้นในเกือบทุกสื่อยกเว้นสื่อหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ที่การใช้เงินโฆษณายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

หมายเหตุ

 สื่อกลางแจ้ง (outdoor) และสื่อเคลื่อนที่(transit):มีการรวมข้อมูลจาก  JCDecaux สำหรับข้อมูลจากสื่อในสนามบินตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2560 และข้อมูลของสื่อ outdoor และ transit จาก  JCDecaux ได้ถูกรวมเข้าไว้ ในรายงานตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560

นีลเส็นได้มีการเพิ่มพื้นที่การ เก็บข้อมูลสื่อกลางแจ้ง (outdoor) เช่นสื่อเคลื่อนที่(transit),ป้ายบิลบอร์ด, ป้ายโฆษณาบนทางเท้า, สื่อในสนามบิน และอื่นๆ ตั้งแต่เดือนมกราคมปี2559  เป็นต้นมา

อินเทอร์เน็ท - ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2559 นีลเส็นได้มีการขยาย การเก็บข้อมูลโมษณาผ่านสื่ออินเทอร์เน็ทโดยครอบคลุม 50 เว็บไซต์ยอดนิยม และ 10  เว็บไซต์ยอดนิยมบนมือถือ

สำหรับภาพรวมการใช้งบโฆษณาผ่านสื่ออินเตอร์เน็ททั้งหมดกรุณาอ้างอิงข้อมูลจากDAAT

สื่อในห้าง – นีลเส็นได้มี การเพิ่มข้อมูล สื่อวิทยุในห้าง Big C และ 7 Eleven เข้ามาในฐานข้อมูล ตั้งแต่เดือนมกราคม 2559

ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 ข้อมูลของสื่อในห้างTesco Lotus และ Big C ไม่ได้รวมอยู่ในฐานข้อมูลของนีลเส็น

จิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 43.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 176.54 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 15.60 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 263.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.95 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 227.23 ล้านบาท กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 98.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.44 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 73.40 ล้านบาท

สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 89.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 196.84 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 30.04 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 16.77 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 6.23  มีรายได้จากการขาย 531.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.27 จากงวดเดียวกันของปีก่อน 482.10 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มหลัก ในงวดครึ่งปีแรกมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 79.4 ของรายได้จากการขายทั้งหมด และมีปริมาณการขายสินค้ารวมเติบโตขึ้น 7,191 ตัน

ต้นทุนขายอยู่ที่ 337.18 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.61 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 339.26
ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการลดลงของราคาวัตถุดิบ และการกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้า ส่งผลให้มีกำไรขั้นต้น 194.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.13 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 142.84 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 36.58 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 29.63 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของราคาวัตถุดิบหลัก ทั้งน้ำตาลทรายและกระเทียม นอกจากนี้ ในงวดครึ่งปีแรกของปี 2560 มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตไปโรงงานใหม่ ที่นิคมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างโรงงานที่แหลมฉบังและที่อมตะซิตี้ ประกอบกับโรงงานแห่งใหม่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้การผลิตยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่

ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงงานแห่งใหม่ บริษัทสามารถใช้อัตรากำลังการผลิตที่ระดับร้อยละ 51  ขณะที่ โรงงานแห่งเก่า ยังใช้ผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มที่มีออเดอร์ขนาดเล็ก และผลิตกลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงแกง กลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป 

“จากความสำเร็จของโรงงานแห่งใหม่ ที่นิคมอมตะซิตี้  สนับสนุนผลงานในปีนี้ให้โดดเด่นตั้งแต่ไตรมาสแรก ขณะที่ ในไตรมาส 2/2561 ยังเดินหน้าตามแผน สนับสนุนรายได้จากการขายในงวดครึ่งปีแรกให้เติบโตขึ้น และมียอดขายเป็นสกุลเงินบาท 60% สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 30% สกุลเงินยูโร 10%  ขณะที่การเพิ่มขึ้นของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น รวมทั้งได้ผลบวกจากต้นทุนการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลง สนับสนุนให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างน่าประทับใจ มาอยู่ที่ 89 ล้านบาท ทุบสถิติกำไรสุทธิในปีก่อนที่ 59 ล้านบาท และสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2557 อยู่ที่ 86 ล้านบาท" จิตติพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในงวดครึ่งปีหลัง มั่นใจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรกได้ จากแผนการบริหารจัดการภายในที่ดี ได้รับผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบหลัก ทั้งน้ำตาลและกระเทียมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้ง การทยอยปรับราคาขายสินค้าขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ สำหรับยอดขายที่เป็นสกุลเงินบาท และดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 90% ของยอดขายทั้งหมด โดยเฉลี่ยปรับราคาขายขึ้นในกรอบประมาณร้อยละ 1.5 – 6.5 ในแต่ละสินค้าไม่เท่ากัน สนับสนุนผลประกอบการซึ่งจะสามารถทำนิวไฮรายไตรมาสได้อีก จึงปรับเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2561 ที่วางไว้จะเติบโตร้อยละ 5 -10  เป็นเติบโตร้อยละ 10 – 15 เทียบกับปี 2560 รายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 947 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ทั้งรายได้และกำไร

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.12 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จ่ายจากกำไรสุทธิส่วนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในงวดครึ่งแรกของปีนี้ กำหนดวันที่จ่ายปันผล 7 กันยายน 2561

Page 2 of 5
X

Right Click

No right click