
ในโลกของธุรกิจอาหารที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีไม่กี่คนที่สามารถมองเห็นโอกาสจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว และสามารถต่อยอดให้กลายเป็นธุรกิจระดับโลกได้อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ มร.โอลิเวอร์ เย่ ผู้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของกิจการ Wide Faith Group ผู้ผลิตขนมอบกรอบจากข้าวหอมมะลิไทย 100% หลังผ่าน 23 ปีโดยวันนี้ที่กำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายใหม่ด้วยความเชื่อมั่นในคุณค่าของข้าวไทยและวิสัยทัศน์ธุรกิจที่ตระหนักเห็นอย่างลึกซึ้งต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
จากข้าวไทยสู่ตลาดโลก
Wide Faith Group ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 ด้วยแนวคิด “Better for You” ซึ่งเป็นมากกว่าสโลแกน แต่เป็นแนวทางธุรกิจที่ยึดมั่นมากว่า 23 ปี โดยใช้ข้าวหอมมะลิไทย 100% เป็นวัตถุดิบหลัก แปรรูปผ่านกระบวนการอบไม่ทอด ปราศจากไขมันทรานส์ กลูเตน และผงชูรส เพื่อสร้างสแน็คที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพจาก ณ วันเริ่ม จวบณวันนี้
จากโรงงานแรกที่บางพลี วันนี้ Wide Faith Group ขยับสู่โรงงานแห่งใหม่ที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นในนิคม WHA จังหวัดชลบุรี โดยWide Faith Group ได้ลงทุนเพิ่มเติมอีก 800 ล้านบาท เพื่อเปิดโรงงานที่สองและสามภายในพื้นที่ 34 ไร่ และได้ยกเลิกโรงงานแห่งแรกที่มีขนาดเล็กลง โดยมุ่งเป้าหมายเดินหน้าติดตั้งสายการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 12 สาย ภายในปี 2568 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 40,168 ตันต่อปี จากเดิม 18,568 ตัน
และสิ่งนี้ไม่ใช่แค่การขยายกำลังการผลิต แต่เป็นการยกระดับมาตรฐาน และสร้างศูนย์กลางการผลิตขนมข้าวเพื่อสุขภาพที่มร.โอลิเวอร์ เย่ คาดหวังให้เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย อย่างแท้จริงให้ได้

วิสัยทัศน์ไกลและความกล้าในจังหวะที่ใช่
หลังพิธีเปิดโรงงานแห่งใหม่ หนึ่งในบทสนทนาที่ มร.โอลิเวอร์ เย่ ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า บริษัทมีเป้าหมายที่อยากนำ กิจการ Wide Faith Group เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจไปออกไปยังตลาดโลก ทั้งในแง่การตลาดสินค้า และขยายโรงงานการผลิต และที่สำคัญเพื่อเพิ่มศักยภาพด้าน R&D ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งในแง่นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ต้องเป็นรีไซเคิลทั้ง 100% ตามแนวคิด Circular Economy
ซีอีโอ ของ Wide Faith Group เชื่อว่า “ข้าวไทยคือสมบัติล้ำค่าที่โลกยังรู้จักไม่พอ” และเป้าหมายของเขาคือทำให้ข้าวหอมมะลิไทยกลายเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในรูปแบบที่ทันสมัย เขาไม่ได้ต้องการเพียงผลิตขนมเพื่อขาย แต่วางเป้าหมายสำคัญที่ต้องการจะเปลี่ยน perception ของสายตาผู้บริโภคในโลกให้มองข้าวไทยในแง่มุมใหม่

สุขภาพที่ดี รสชาติที่ใช่ และตลาดที่กว้างไกล
ผลิตภัณฑ์ของ Wide Faith Group ไม่เพียงมีแค่แบรนด์ Rise Buddy ที่หลายคนคุ้นเคย แต่ยังมีแบรนด์อื่นๆ อาทิ Ravin, Bio-Earth, Kiddie Kare และการผลิตแบบ ODM มากกว่า 70 รสชาติ ส่งออกแล้วกว่า 70 ประเทศทั่วโลก เช่น ออสเตรเลีย (ครอง market share 36%) นิวซีแลนด์ (45%) สหราชอาณาจักร จีน ญี่ปุ่น และล่าสุดเตรียมบุกตลาดแคนาดา รัสเซีย และแอฟริกา
นอกจากการเจาะตลาดโลก มร.โอลิเวอร์ ยังไม่มองข้ามศักยภาพในประเทศไทย โดยล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์และเปิดตัว Rise Buddy Rice Chippies พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์ตัวแทนคนรุ่นใหม่ “นนกุล – ชานน สันตินธรกุล” เพื่อเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ในงาน Thai Flex 2025

ภารกิจเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน
ในยุคที่ ESG กลายเป็นตัวชี้วัดความยั่งยืนขององค์กร มร.โอลิเวอร์ ไม่ต้องการขยายธุรกิจเพื่อหวังผลเพียงกำไร แต่ยังต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการรับรองมาตรฐาน BRCGS (เกรด AA), ISO 9001:2015, มาตรฐานฮาลาล และการใช้บรรจุภัณฑ์ Mono Material ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100%
ที่ผ่านมา Wide Faith Group ได้รับรางวัล CSR-DIW Continuous Award 2023 ซึ่งตอกย้ำว่าพันธกิจของบริษัทไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิตขนม แต่ครอบคลุมถึงการส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภคและการอยู่ร่วมกับสังคมอย่างยั่งยืน

อนาคตที่ถูกวางแผนมาอย่างตั้งใจ
การเดินหน้าขยายโรงงาน ยุติการผลิตที่เริ่มล้าหลัง และยกระดับมาตรฐาน เป็นบทพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ผู้นำ ที่ไม่ได้มองเพียง “ยอดขาย” แต่มองโลกในระยะ 10 ปีข้างหน้าว่าผู้บริโภคจะต้องการอะไร เทรนด์โลกจะไปทางไหน และการที่บริษัทพร้อมตั้งแต่วันนี้คือแต้มต่อที่หาค่าไม่ได้
“เราเริ่มจาก rice cracker แบบดั้งเดิม แล้วเปลี่ยนมันให้เป็น Rice Chips ที่บางกว่า กรอบกว่า และรสชาติอยู่ได้นานกว่า เพื่อหวังว่าขนมตัวนี้จะมาแทน potato chips ในอนาคต ทั้งวัตถุดิบที่มีคุณค่า กระบวนการผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภค เราเห็นว่านี่คือเทรนด์สำคัญของโลก และนี่คือก้าวต่อไปของเรา” คือคำกล่าวของ มร.โอลิเวอร์ เย่ กรรมการผู้จัดการของ Wide Faith Group



















