ลอรีอัล กรุ๊ป รายงานผลประกอบการปี 2564 ยอดขายเติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 16.1% โดยมีมูลค่า 3.228 หมื่นล้านยูโร
นอกจากนี้บริษัทได้ต่อยอดความเป็นผู้นำในด้านดิจิทัลอีกครั้ง โดยธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ2 ขยายตัวขึ้น 25.7% คิดเป็นสัดส่วน 28.9% ของยอดขาย ด้วยการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้รับจากช่องทางดิจิทัลใหม่ๆ พร้อมกันนี้ บริษัทจะปรับให้การขายหน้าร้านเป็นดิจิทัลตามแผนกลยุทธ์การหลอมรวมช่องทางการจำหน่ายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์อย่างครบวงจร
นายนิโคลา ฮิโรนิมุส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวว่า “ปี 2564 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์สำหรับลอรีอัล ด้วยความเชี่ยวชาญ ความกระตือรือร้น และความมุ่งมั่นของชาวลอรีอัลจำนวน 85,400 คนทั่วโลก ลอรีอัล กรุ๊ป จึงสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของตลาดความงามทั่วโลก อีกทั้งยังได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกโซน ทุกแผนก และทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ลอรีอัล กรุ๊ปเติบโตในอัตรา 11.3% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทสามารถเติบโตได้สูงกว่าตลาดและฟื้นตัวได้เกือบถึงระดับของปี 2562 แล้ว แม้ว่าสถานการณ์โลกจะยังมีความผันผวนเกิดขึ้นช่วงต้นปีนี้ แต่เราก็เชื่อมั่นในความสามารถของเราที่จะเติบโตได้สูงกว่าตลาดในปี 2565 และเติบโตต่อไปได้อีกปีทั้งในแง่ยอดขายและกำไร”
ในแง่ของโซนต่างๆ นั้น อเมริกาเหนือฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และเป็นภูมิภาคที่มีส่วนสนับสนุนที่สำคัญเช่นเดียวกับเอเชียเหนือ ส่วนในยุโรป ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ของภูมิภาคนี้ ลอรีอัลก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และฟื้นตัวสู่ระดับปี 2562 ได้ และเนื่องด้วยสถานการณ์ด้านสาธารณสุขที่ผันผวนอย่างมากในภูมิภาค SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) และละตินอเมริกา
ลอรีอัลก็ยังสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง
แผนกเครื่องสำอางชั้นสูงได้กลายเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดของลอรีอัล กรุ๊ป และประสบความสำเร็จอย่างมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำหอม ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค ซึ่งเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดในด้านปริมาณ ก็มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น โดยกลุ่มเครื่องสำอางสามารถทำผลการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ ส่วนแผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพที่เติบโตอย่างรวดเร็วนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และได้ธุรกิจใน omnichannel อย่างแท้จริง ขณะที่แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางก็เติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น 2 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี เนื่องจากแบรนด์ต่างๆ สามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของลูกค้าได้อย่างลงตัว
บริษัทยังเดินหน้าในด้าน Beauty Tech ด้วยการลงทุนในดาต้า และปัญญาประดิษฐ์ และด้วยการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เช่น การเป็นพันธมิตรของเรากับเวริลี (Verily) เพื่อที่จะทำความเข้าใจ และอธิบายกลไกการร่วงโรยของผิวพรรณและเส้นผมให้ดียิ่งขึ้น
การเติบโตอย่างมากของลอรีอัล กรุ๊ป ได้รับแรงขับเคลื่อนจากนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม รวมทั้งการควบคุมต้นทุนอย่างเคร่งครัด ทำให้สามารถลงทุนในแบรนด์ต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น และเพิ่มความน่าสนใจให้กับแบรนด์เหล่านี้ พร้อมๆ ไปกับการทำกำไรจากการดำเนินงานที่สูงเป็นประวัติการณ์
บริษัทภูมิใจในผลการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่จะเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ และแบ่งปันคุณค่ากับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆ คน ในส่วนการดำเนินงานกับพนักงานบริษัทได้ปันผลกำไรผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมนี้ร่วมกันกับพนักงาน นอกจากนี้ ในปีที่แล้ว ได้มีการเสนอโอกาสในการจ้างงานกว่า 18,300 ตำแหน่งให้แก่ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีตามโครงการ “ลอรีอัลเพื่อเยาวชน” เพื่อส่งเสริมการจ้างงานเยาวชน ซึ่งถือเป็นโครงการระดับโลกโครงการใหม่ที่ตั้งเป้าส่งมอบโอกาสในการทำงาน 25,000 ตำแหน่งต่อปีในปี 2565-2568 ความพยายามของลอรีอัล กรุ๊ป ในการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศยังได้รับการยอมรับจากดัชนีความเท่าเทียมทางเพศของบลูมเบิร์กด้วย นอกจากนี้ ลอรีอัล กรุ๊ป ยังเป็นบริษัทเดียวในโลกที่ได้คะแนน AAA จากซีดีพี (CDP) มาเป็นเวลา 6 ปีติดต่อแล้ว เนื่องจากความเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมที่บริหารจัดการในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปกป้องผืนป่า และรับประกันความมั่นคงของแหล่งน้ำ
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้มีการทำธุรกรรมเชิงกลยุทธ์ โดยลอรีอัลได้ซื้อคืนหุ้นในสัดส่วน 4% ที่ถือครองโดยเนสท์เล่ ซึ่งทำให้โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวของลอรีอัล กรุ๊ป
ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามแผนกธุรกิจ1
- ผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพมียอดขายเพิ่มขึ้น 24.8%
- ผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคมียอดขายเพิ่มขึ้น 5.6%
- ผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมียอดขายเพิ่มขึ้น 20.9%
- ผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายโตขึ้น 31.8%
ข้อมูลสรุปโดยแบ่งตามโซนภูมิภาค1
- โซนยุโรปมียอดขายเพิ่มขึ้น 10.1%
- โซนอเมริกาเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 22.2%
- โซนเอเชียเหนือมียอดขายเพิ่มขึ้น 17.6%
- โซน SAPMENA-SSA (เอเชียแปซิฟิกใต้, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, แอฟริกาใต้ซาฮารา) มียอดขายเพิ่มขึ้น 13.9%
- โซนละตินอเมริกามียอดขายเพิ่มขึ้น 20.6%