“ttb investment outlook 2023 : จับสัญญาณการลงทุนรับปีกระต่ายทอง” พร้อมวิเคราะห์เจาะลึกเทรนด์ตลาด ชี้เป้ากองทุนมาแรง เพื่อช่วยสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน นำไปสู่การมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้ และอนาคต โดยมีกูรูและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจากทีเอ็มบีธนชาต พร้อมด้วย 4 พันธมิตรของธนาคาร ได้แก่ บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย), บลจ.วรรณ, บลจ.ทิสโก้ และ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) มาร่วมให้ความรู้
นายอภิวัฒน์ น้าประทานสุข นักกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี กล่าวว่า ความกังวลของนักลงทุนที่เกิดขึ้นในปี 2565 ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ธนาคารกลางเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจโลกจะถดถอยรุนแรง ได้เริ่มบรรเทาลงตั้งแต่เข้าสู่ปีกระต่ายทองนี้ จากภาวะเงินเฟ้อโดยเฉพาะในประเทศหลักที่กลับมามีแนวโน้มลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนอาจทำให้ธนาคารกลางที่สำคัญพิจารณาหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะทำให้เศรษฐกิจโลกรอดพ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงได้ ดังนั้นภาพรวมการลงทุนในปี 2566 คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน โดยใน Base Case Scenario เรามองว่าตลาดหุ้นโลกจะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงไตรมาสแรกจากการคาดการณ์เรื่องการหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง และจะเคลื่อนไหวในกรอบช่วงไตรมาสสองถึงสาม หลังจากนั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ดีอีกครั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางที่สำคัญอย่าง Fed, ECB และ BoE มีโอกาสส่งสัญญาณที่จะลดดอกเบี้ยในปี 2567 จึงถึงเวลาแล้วที่เราสามารถกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นกันต่อได้ โดยในฝั่งของตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เราเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เติบโตอย่างมีคุณภาพโดยเฉพาะกลุ่ม Information Technology ของสหรัฐฯ ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตผลของกำไรอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เรามองว่าน่าสนใจลงทุนและอาจเป็นม้ามืดมาแรงในปีนี้จากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าที่ตลาดคาดเป็นอย่างมาก ตอบสนองต่อราคาพลังงานที่ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังพอลงทุนได้ในช่วงครึ่งแรกของปี แต่ในช่วงครึ่งปีหลังอาจต้องระวังเนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะกลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้
นายภูริพัฒน์ ละเอียดธนะกิจ นักกลยุทธ์การลงทุน ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี กล่าวว่า มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน ที่เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยจีนมีการเปิดประเทศหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย รวมไปถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบของบริษัทเทคโนโลยี และการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศจีนแม้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเปิดประเทศ แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูง จึงทำให้ทางการจีนสามารถใช้นโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ร้อนแรง ส่วนตลาดอินเดีย แนวโน้มทางเศรษฐกิจแม้จะชะลอตัวลง แต่ยังเติบโตได้ค่อนข้างสูง ขณะที่เงินเฟ้อที่ลดลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมาย ก็ช่วยลดแรงกดดันต่อการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางอินเดีย ขณะที่หากมองตลาดอาเซียนในปีที่ผ่านมาค่อนข้างโดดเด่น แต่ในปี 2566 นี้ อาจจะต้องเฝ้าระวังภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งผลจากการเปิดประเทศหลังภาวะโควิด-19 คลี่คลายก็ค่อยๆทยอยหมดไป โดยจะมีเพียงประเทศไทยที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ก็จะได้การเปิดประเทศของจีนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนมุมมองความรู้ในหัวข้อ “เจาะลึกเทรนด์ตลาด ชี้เป้ากองทุนมาแรง” โดยผู้เชี่ยวชาญจาก 4 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กลุ่มการลงทุนที่คาดว่าน่าจะเติบโตได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ คือ กลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่น ๆ ที่น่าจับตาได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มสื่อสาร ซึ่งน่าสนใจเช่นเดียวกัน และเมื่อใดที่ตลาดพ้นจุดต่ำสุด หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะเริ่มฟื้นตัวก่อน ส่วนหุ้นเทคโนโลยีที่มีขนาดกลางและเล็กจะเริ่มฟื้นตัวเมื่อผ่าน 6-8 เดือนไปแล้ว สำหรับกองทุนที่น่าสนใจ และมีความโดดเด่นในปีนี้นั่นคือ หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ (U.S. Tech) เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการปรับโครงสร้างเลย์ออฟพนักงานภายในบ้าง แต่ก็ยังมียอดขายเติบโตได้ค่อนข้างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นช่วงปลายวัฏจักรของดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ นักลงทุนรับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยไปมากแล้ว ส่งผลให้การการลงทุนในกองทุนหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น
นายรณวร ศุกระกาญจน์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด กล่าวว่า หากมองตลาดยุโรปยังคงเป็นม้ามืดที่น่าจับตามอง เนื่องจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตที่อาจจะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจถดถอยอย่างหนักมาแล้ว โดยในปีนี้คาดว่าปัจจัยกดดันตลาดยุโรปจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมตัวรับมือได้อย่างดี และการเปิดเมืองของจีน ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภค ผ่านการเดินทางท่องเที่ยวของชาวจีนเข้ามาในยุโรปมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังคงเป็นความเสี่ยงและกดดันตลาดยุโรป ได้แก่ การขาดแคลนพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ หากมองหุ้นยุโรปในปีนี้คาดว่าอาจจะไม่คล่องตัวมากนัก ทั้งด้านเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน แต่สิ่งที่ตลาดหุ้นเป็นเสมอคือการมองล่วงหน้า นั่นคือเหตุผลว่าทำไมปีนี้ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวค่อนข้างสดใส
นายกันติพัฒน์ วงศ์สุคนธ์ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัดกล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยยังคงมีความโดดเด่นจากปัจจัยหนุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมไปถึงแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐ ซึ่งกลยุทธ์ในการลงทุนนั้น จะเลือกหุ้นรายตัว ให้ความสำคัญกับทีมผู้บริหาร ราคาหุ้นไม่อยู่ในระดับที่สูงเกินไป การควบรวมบริษัท-ธุรกิจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ โดยจะให้ความสำคัญไปที่หุ้นพลังงาน จังหวะดี ราคาไม่สูง เป็นการเลือกหุ้นแบบ High Commission ที่มีความสามารถโดดเด่นกว่าตลาด
นายชุณหวัต จิระวิชิตชัย นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่โดดเด่นน่าจับตามอง หากจะลงทุนควรให้ความสำคัญกับบริษัทในจีนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และการพัฒนาด้านนวัตกรรม เช่น กลุ่มบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาดที่ภาครัฐของจีนให้ความสำคัญ และเป็นเมกะเทรนด์ของโลก ซึ่งภายหลังจากการเปิดประเทศของจีนในรอบนี้ เราได้เห็นการปรับตัวของประชากรและภาคธุรกิจจีนได้อย่างรวดเร็วจากสถานการณ์โควิด-19 และการค้าปลีกเริ่มฟื้นตัว ทำให้ได้เห็นการบริโภคที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นมากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการผ่อนคลายกฏระเบียบต่าง ๆ ของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนภาครัฐในระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การพัฒนารถไฟความเร็วสูง ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้การเลือกลงทุนในหุ้นจีนบางส่วนสามารถช่วยกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนได้ดี