บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี ซึ่งเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยปิดการขายรวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท ซึ่งได้นำหุ้นกู้สำรองออกขายเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากมีผู้ลงทุนสนใจจองซื้อเกินกว่าจำนวนที่ตั้งไว้ ตอกย้ำความมั่นใจและไว้วางใจของผู้ลงทุนต่อการเติบโตของบริษัท ทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย อสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักธรรมาภิบาล
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยผลการเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน อันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “BBB” ซึ่งเป็นกลุ่ม “ระดับลงทุน” (Investment grade) อันดับความน่าเชื่อถือองค์กรอยู่ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จัดอันดับโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมาว่า หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างล้นหลาม ทำให้ต้องนำหุ้นกู้สำรองออกขายเพิ่มเติม รวมมูลค่าเสนอขายทั้งสิ้น 1,700 ล้านบาท
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ลงทุนที่มั่นใจและไว้วางใจจองซื้อหุ้นกู้ของบริษัทฯ พร้อมกันนี้ ขอขอบคุณสถาบันการเงินชั้นนำทั้ง 4 แห่งที่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ลงทุนทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และช่องทางการเสนอขายที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้ลงทุนประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้ง่ายขึ้น
“ความสำเร็จในครั้งนี้ตอกย้ำความมั่นใจของผู้ลงทุนที่มีต่อแบรนด์ “สิงห์ เอสเตท” ซึ่งที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างสังคมที่มีคุณภาพชีวิตกับทุกคน ภายใต้วิสัยทัศน์สร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน (Sustainable Diversity) ภายใต้หลักธรรมาภิบาลหรือการกำกับดูแลกิจการที่ดี ขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะเดินหน้าสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่องให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และนักลงทุน ที่ไว้วางใจเรามาโดยตลอด” ประธานเจ้าหน้าที่ บมจ.สิงห์ เอสเตท กล่าว
สำหรับ บมจ.สิงห์ เอสเตท ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุม ธุรกิจโรงแรม ภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SHR) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน SHR เป็นเจ้าของโรงแรมทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่ง ห้องพัก 4,552 ห้อง ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญกระจายอยู่ใน 3 ภูมิภาค 5 ประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย บริษัทฯ มีนโยบายในการพัฒนาทั้งแนวสูงและแนวราบหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ได้แก่ ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
ล่าสุด กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัยประเภทบ้านแนวราบของ “สิงห์ เอสเตท” สามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยในปี 2566 บริษัทฯ จะทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายในครึ่งปีหลังของปี 2566 ขณะที่ผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากทุกหน่วยธุรกิจที่คาดว่าจะสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ซึ่งในปี 2566 ถือว่าเป็นปีแรกของการฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบของภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก และโรงแรมในทุกประเทศที่บริษัทฯ ดำเนินกิจการ ซึ่งจะผลักดันรายได้และผลกำไรจากธุรกิจโรงแรม ที่ดำเนินงานผ่าน SHR ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เช่นเดียวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน