December 12, 2024

บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ บริษัทรอยัล ดีเอสเอ็ม (Royal DSM NV) ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอาหารและปศุสัตว์ และบริษัทบล็องค์ (Blonk Consultants) องค์กรปรึกษาด้านการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม โดยนำนวัตกรรมโซลูชั่นล่าสุด “SustellTM เครื่องมือในการวัดผลงานด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเฉพาะสำหรับธุรกิจปศุสัตว์และเกษตรอุตสาหกรรมเข้ามาช่วยเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และหาแนวทางลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตอาหารในธุรกิจสัตว์บก และต่อยอดสู่การสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียวที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าสินค้าชนิดเดียวกันโดยทั่วไป

ระบบอัจฉริยะ “SustellTM” เป็นซอฟต์แวร์วิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ จากกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ตลอดทั้งวัฏจักรชีวิต เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ทรัพยากร พลังงาน และมลภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถวัดได้ตามมาตรฐานสากล โดยผลลัพธ์ที่ได้จะผ่านการทวนสอบ โดย Third Party ในระดับสากล เพื่อรับรองความถูกต้องแม่นยำ โปร่งใส

 

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมีวิสัยทัศน์การเป็น “ครัวของโลกที่ยั่งยืน” จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ทั้ง DSM และ Blonk Consultants เพื่อยกระดับกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ควบคู่กับการสร้างความยั่งยืนต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นน้ำของธุรกิจ

“ความร่วมมือในครั้งนี้ สอดคล้องกับพันธกิจหลักของซีพีเอฟ คือ การผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพสูง และรสชาติอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดียิ่งขึ้นให้ผู้บริโภค อีกทั้งยังมาจากกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอนการผลิต ซึ่ง SustellTM  จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และเทรนด์ของโลกในการผลิตอาหารที่สร้างสมดุลทางสิ่งแวดล้อม”  นายประสิทธิ์ กล่าว

นอกจากนี้ เทคโนโลยีของ DSM จะช่วยสนับสนุนการผลิตอาหาร ของซีพีเอฟ ที่มุ่งเน้นการผลิตอาหารปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค เช่น การผลิตเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยโปรไบโอติก ซึ่งช่วยให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดยาปฏิชีวนะ และสารตกค้าง ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) แบบองค์รวมตั้งแต่ต้นทางวัตถุดิบอาหารสัตว์ จนถึงปลายทางเป็นอาหารสำเร็จรูป  ปัจจุบัน บริษัทมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์และฉลากลดโลกร้อนรวม 790 รายการ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1.418 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สร้างรายได้สีเขียวมากกว่า 32% ของรายได้ทั้งหมด

 

ด้านนายอิโว่ แลนส์เบอร์เก็น (Ivo Lansbergen) ประธานด้าน Animal Nutrition and Health บริษัท DSM Nutritional Products Company Limited กล่าวว่า ซีพีเอฟ และ DSM มีความร่วมมือกันมาอย่างยาวนานในด้านการพัฒนาโภชนาการ จนมาถึงประเด็นด้านความยั่งยืน ซึ่งการนำระบบอัจฉริยะ SustellTM มาใช้จะช่วยให้ ซีพีเอฟ สามารถทราบถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สูง (Hot Spot) ในวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด และนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก ดีเอสเอ็ม และ บล็องค์ เข้ามาให้คำแนะนำ เช่น การปรับสูตรอาหารสัตว์ให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสัตว์ในแต่ละช่วงอายุ ทำให้สัตว์กินอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตามวัย ลดปริมาณการใช้ทรัพยากรในการผลิตอาหารสัตว์ เป็นต้น

 

“การนำระบบอัจฉริยะระดับโลกมาใช้ในการบริหารจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จะสนับสนุนประสิทธิภาพการผลิตโปรตีนจากเนื้อสัตว์ของ ซีพีเอฟ ในด้านการตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่การผลิตในเชิงลึกที่แม่นยำมากขึ้น ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง และความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งตลาดโลกในระยะยาว” นายอิโว่ กล่าว

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) โครงการ บสย.ผนึกกำลัง บมจ.ทิพยประกันภัย ผลักดัน SMEs ไทยมุ่งสู่ความมั่นคงทางธุรกิจ  กับ คุณวสุกานต์ วิศาลสวัสดิ์ รักษาการผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงการให้ความรู้ในด้านการนำประกันภัยไปเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆของกิจการ รวมถึงการลดต้นทุนในการทำประกันภัยสำหรับกลุ่ม SMEs ให้ในราคาพิเศษ  และเพื่อเป็นการลดภาระในภาวะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต่างได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ โครงการ บสย.ผนึกกำลัง บมจ.ทิพยประกันภัย ผลักดัน SMEs ไทยมุ่งสู่ความมั่นคงทางธุรกิจนี้  เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์กับ สมาชิกของ บสย. ในการดำเนินธุรกิจ สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปได้ อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (เป็นองค์กรที่เกิดจากการควบรวมกิจการของรัฐซึ่งประกอบไปด้วย กสท โทรคมนาคม และ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)) จับมือ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการสนับสนุนภาครัฐบาลก้าวสู่ระบบดิจิทัลที่ล้ำหน้า กับโครงการความร่วมมือเพื่อยกระดับศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ (National Data Center) และบริการแบบคลาวด์สู่มาตรฐานสากลในระดับเทียร์ 4 (Tier IV)

การที่บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ประกาศเป็นพันธมิตรกับ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ผู้นำศูนย์ข้อมูลในภูมิภาคอาเซียน นับเป็นการการยกระดับมาตรฐานของศูนย์ข้อมูลและการบริการคลาวด์ในประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับ เทียร์ 4 ซึ่งจะช่วยให้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ สามารถให้บริการคลาวด์แก่หน่วยงานของรัฐได้แบบเต็มประสิทธิภาพ 100% ด้วยศูนย์ข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเทียร์ 4 ในระดับสากลที่ทั่วโลกยอมรับ

โครงการนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความมั่นใจในระบบคลาวด์ของรัฐบาลให้สูงยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดรับกับการเร่งเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว จากการแพร่ระบาดใหญ่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

โดยในปัจจุบัน ได้มีการนำแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ มาใช้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อเป็นกำลังในการขับเคลื่อนระบบดิจิทัลของรัฐบาล รวมถึงการทำงานจากที่บ้าน การประชุมทางวิดีโอ และความจำเป็นในการจัดเก็บ บริหารจัดการ และเข้าถึงข้อมูลในรูปแบบที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุดในทุกวันนี้

นาวาอากาศเอก สมศักดิ์  ขาวสุวรรณ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที กล่าวถึงความร่วมมือกับซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ว่าจะทำให้เอ็นที มีทางเลือกที่หลากหลายและสะดวกมากขึ้นในการใช้บริการ Data Center และ Cloud 

“ในฐานะที่เอ็นที เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ได้รับมอบหมายภารกิจในการเป็นผู้ขับเคลื่อนและยกระดับการสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิทัลให้แก่ภาครัฐ ซึ่งมาจากการที่เรามีโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมมากที่สุดและครอบคลุมทั่วประเทศอยู่แล้ว ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้จึงเป็นการนำจุดแข็งของทั้งสององค์กรมาร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการของเอ็นที โดยเรามั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและมอบประโยชน์กับลูกค้าได้มากขึ้น” นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ กล่าว

หน่วยงานของรัฐจะสามารถเข้าถึงบริการศูนย์ข้อมูลและคลาวด์ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งศูนย์ข้อมูลของตนเอง โครงการนี้จะช่วยประหยัดทั้งเวลา และทรัพยากร อีกทั้งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างมาก ในขณะที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของรัฐบาล

ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ในฐานะศูนย์ข้อมูลไฮเปอร์สเกลแห่งแรกในประเทศที่รองรับการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายโดยไม่จำกัดค่าย จะให้บริการด้านพลังงาน พื้นที่ ความปลอดภัย และระบบเชื่อมต่อเครือข่ายให้กับกระทรวงต่าง ๆ  เพื่อตอบสนองความต้องการด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับสูง อีกทั้งยังรับประกันความพร้อมเพื่อรองรับความต้องการในอนาคตด้วยความยืดหยุ่นและให้ความสามารถในการปรับขยายได้

โครงการฯ ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในครั้งนี้ช่วยให้รัฐบาลปรับใช้ระบบคลาวด์ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งมั่นใจได้ว่ากระทรวง และหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ใช้ง่าย มีความยั่งยืน และพร้อมรองรับการปรับขยายศักยภาพได้ตามต้องการ

“ในฐานะศูนย์ข้อมูลและผู้ให้บริการคลาวด์ที่ทันสมัยที่สุด ศูนย์ข้อมูลของเราสร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของรัฐบาลและองค์กรต่างๆ ในขณะที่บริการของเราถูกจัดสรรเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่สำคัญต่อภารกิจด้วยความปลอดภัยสูงสุดและรับประกันความพร้อมใช้งานตลอดเวลา” คุณสุนิตา บ๊อตเซ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ได้กล่าว

“เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับเอ็นที และได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนวัตกรรมของเอ็นที ในขณะเดียวกันก็เป็นการสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนด้วยการนำเสนอบริการโครงสร้างพื้นฐานในระบบดิจิทัลของซุปเปอร์แนป ด้วยประสบการณ์ระดับสากลและความรู้ของคนในประเทศ เพื่อสนับสนุนภาครัฐบาลในการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้เร็วยิ่งขึ้นและปรับขยายได้ตามความต้องการ” คุณสุนิตากล่าวเสริม

ศูนย์ข้อมูล ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ได้รับการออกแบบในลักษณะโมดูลาร์และพร้อมรองรับการขยายศักยภาพ ด้วยการขยายศูนย์ข้อมูลเพิ่มเติมอีก 2 อาคาร ที่สามารถให้บริการพลังงานถึง 60 เมกะวัตต์และพื้นที่รองรับได้มากกว่า 5,000 ตู้ รวมถึงการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ที่ได้รับการสนับสนุนจากการออกแบบชั้นนำ ซึ่งช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐบาลสามารถเติบโตไปพร้อมกับความต้องการ

นอกจากนี้ ศูนย์ข้อมูลอันล้ำสมัยของซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ยังเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายไฟเบอร์จากผู้ให้บริการโครงข่ายหลายรายแบบแยกสายและการันตีความเสถียรด้วยระบบ Redundancy สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ให้ความมั่นใจได้สูงสุดในทุกสถานการณ์

ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญ เพราะการโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ที่ศูนย์ข้อมูลของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ที่สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง ทำให้มีข้อได้เปรียบมากมายซึ่งรวมถึงเรื่องความยั่งยืน เนื่องจากนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านพลังงานและระบบควบคุมอุณหภูมิของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) ช่วยให้บริษัทกลายเป็นศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดที่ให้ความยั่งยืนด้วยการออกแบบ ซึ่งพร้อมรองรับการใช้พลังงานความหนาแน่นสูงถึง 33 กิโลวัตต์ต่อตู้ และมีค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่อปีที่ 1.35-1.45 โดยเป็นระดับที่ให้ประสิทธิภาพมากกว่าศูนย์ข้อมูลอื่น ๆ ในภาคพื้นอาเซียน

คุณสมบัตินี้จะช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนระดับโลกสู่พลังงานสะอาด

โครงสร้างพื้นฐานและโซลูชั่นของ ซุปเปอร์แนป (ประเทศไทย) จึงช่วยให้รัฐบาลไทยจะสามารถบรรลุมาตรฐานสากลสูงสุดสำหรับศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ และตอกย้ำสถานะและชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางดิจิทัลและเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และความเป็นเลิศ

กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

นายอัฏฐ์ ทองใหญ่ อัศวานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จำกัด ในฐานะ ICO Portal (Initial Coin Offering Portal) ที่ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หนึ่งใน ICO Portal รายแรก ๆ ในประเทศไทย กล่าวถึงความน่าสนใจของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลรูปแบบใหม่ของ 2 วงการธุรกิจว่า “โทเคนดิจิทัลสามารถกำหนดรูปแบบผลตอบแทน ทั้งการได้เป็นผู้ร่วมลงทุน ในรูปแบบโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) หรือจะเป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) ที่กำหนดสิทธิให้ผู้ถือโทเคนได้รับสิทธิในสินค้าและบริการต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจว่ากำลังลงทุนในอะไร มีสิทธิอะไรบ้าง และมีผลตอบแทนที่ชัดเจนอย่างไร ล่าสุดทางเอ็กซ์สปริง ดิจิทัล ได้รับความไว้วางใจจาก “SHARGE” ผู้ให้บริการ EV Charging Ecosystem เตรียมออกโทเคนดิจิทัลพร้อมใช้ หรือ Ready-to-Use Utility Token” ที่พร้อมเปิดตัวปลายไตรมาส 3 ของปีนี้ การลงทุนของโทเคนดิจิทัลที่จะเปลี่ยนเป็น Loyalty Program มาพร้อมส่วนลดและ Privilege อื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างฐานกลุ่มลูกค้าในตลาดและโอกาสการเติบโตในอนาคต เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล จะช่วยกลั่นกรองการออกผลิตภัณฑ์และนำเสนอนวัตกรรมที่ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงอย่างสะดวกและง่ายดายซึ่งอยู่ในรูปแบบของ Utility Token ภายใต้ Ecosystem ของโลกดิจิทัล”

นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) เปิดเผยว่า “ชาร์จ แมเนจเม้นท์   มีแผนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลา 5 ปี โดยปักหมุดการเป็นผู้ให้บริการเบอร์หนึ่งด้านการให้บริการชาร์จรถ EV ครบวงจรด้วยเป้าหมายยอดขาย 3,000 ล้านบาท พร้อมโรดแมปธุรกิจ “LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM NIGHT, DAY, ON-THE-GO” ด้วยจุดแข็งทางธุรกิจของชาร์จ อาทิ การใช้อุปกรณ์นำเข้ามาตรฐานยุโรป ปลอดภัยต่อการใช้ไฟฟ้าแรงสูง มีทีมบริการหลังการขายมืออาชีพดูแลทั่วประเทศ การเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วยแอปพลิเคชัน SHARGE รองรับการค้นหา-จองสถานีชาร์จและจ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันอย่างง่ายดาย รวมถึงการจับมือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ค่ายรถยนต์ ศูนย์การค้า และธุรกิจพลังงาน ในการสร้าง Ecosystem ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการใช้งานทั้งกลุ่มชาร์จตามบ้าน ชาร์จที่จุดหมายปลายทาง และชาร์จตามสถานี ในสัดส่วนของลูกค้า SHARGE เองนั้น จะมีทั้งในส่วนของลูกค้ารายใหญ่ ที่ต้องการกระตุ้นให้คนซื้อรถ EV เพิ่มมากขึ้นแต่ยังมีข้อกังวลเรื่องจุดให้บริการ หรือกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีไว้ให้บริการลูกค้า และรายย่อยคือกลุ่มบุคคลทั่วไป ภายในครึ่งปี 64 ที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้เร่งเพิ่มหัวจ่ายได้มากขึ้นถึง 300 หัวจ่าย สามารถรองรับการให้บริการชาร์จรถ EV ได้มากถึง 1,000 คัน และภายในปี 65 เราตั้งเป้ามากกว่า 40 สถานีเพื่อรองรับตลาดรถยนต์แบตเตอรี่ 100% ที่ต้องการชาร์จเร็วพิเศษ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันเราเล็งเห็นความสำคัญของ Loyalty Program ที่ในตลาดคู่แข่งเองยังไม่มี บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสการระดมทุนในรูปแบบ Utility Token โดยได้จับมือกับ เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล เปิดตัว Ready-to-Use Utility Token” โทเคนดิจิทัลพร้อมใช้ ที่จะเปลี่ยนเป็น Loyalty Program ชาร์จรถไฟฟ้าพร้อมส่วนลดค่าไฟ รวมถึง Privilege อื่นๆ จาก Ecosystem ในอนาคต เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตของ SHARGE ตามแผนธุรกิจ 5 ปี ในการก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งผู้ให้บริการธุรกิจชาร์จรถ EV ครบวงจร”

นายปิ่นปราชญ์ จักกะพาก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด (ERX) เป็นบริษัทในเครือของบริษัท เอเลเวตเท็ด รีเทิร์นส์ (Elevated Return : ER) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัลจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในการเป็น “แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)” ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  กล่าวว่า “ERX ดำเนินงานโดยคณะผู้บริหารทุกท่านซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในธุรกิจตลาดทุนของประเทศไทยและสากลมายาวนาน นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า ERX เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้บริษัทฯ เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกและรายเดียวที่มุ่งเน้นเฉพาะการซื้อขายโทเคนดิจิทัลที่มีการอ้างอิงกับสินทรัพย์การลงทุนที่จับต้องได้ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่พัฒนาโดยเทโซส (Tezos) เนื่องจากมองว่าทำให้ง่ายต่อการเข้าใจของผู้ลงทุนทั่วไป อีกทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัยและการคุ้มครองผู้ลงทุนที่เป็นมาตรฐานสากล และยังจับมือเป็นพันธมิตรกับ XSpring Digital ซึ่งเป็น ICO Portal ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมในด้านต่างๆ แล้ว เราเชื่อมั่นว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านการซื้อขายที่ ERX จะได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนรุ่นใหม่มากขึ้นอย่างแน่นอน”

นายอัฏฐ์ กล่าวปิดท้ายว่า “นับเป็นการรุกเดินหน้าธุรกิจของเอ็กซ์สปริง ดิจิทัล ที่ได้รับความไว้วางใจจาก SHARGE เพื่อศึกษาการออกสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบที่เหมาะสมเพื่อรองรับแผนการรุกธุรกิจในอนาคต ทั้งนี้ “XSpring Digital” ในฐานะหนึ่งใน ICO Portal (Initial Coin Offering Portal) รายแรก ๆ ในประเทศไทยที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. ในการดำเนินธุรกิจ Digital Financial Service ในด้าน “การให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล” แก่นักลงทุน รวมถึงความร่วมมือจาก ERX หรือ “บริษัท อีอาร์เอ็กซ์ จำกัด” ซึ่งเป็น “ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange)” ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เชื่อมั่นว่าจะได้รับความสำเร็จตามแผนที่วางไว้ ซึ่งนับว่า XSpring Digital จะเป็นผู้นำในการสร้างต้นแบบการสร้างความหลากหลายใน Digital Financial Service และพัฒนา Ecosystem ในโลกการเงินดิจิทัลที่ทำให้เกิดขึ้นได้จริง และสามารถรองรับการลงทุนในธุรกิจได้หลากหลายอุตสาหกรรม”

X

Right Click

No right click