ทรู คอร์ปอเรชั่น โดย นายกนกศักดิ์ นิ่มนวลรัตน์ (แถวยืน ที่ 4 จากขวา) หัวหน้าฝ่ายส่วนราชการและสาธารณูปโภค นำทีมวิศวกรพื้นที่ร่วมปฏิบัติการสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (MEA) โดย นายวิลาศ เฉลยสัตย์ (แถวยืน ที่ 5 จากขวา) ผู้ว่าการฯ พร้อมด้วย กรุงเทพมหานคร โดย ว่าที่ ว่าที่ รต.สมชาติ เตชะถาวรเจริญ (แถวยืน ที่ 4 จากซ้าย) ประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแผนงาน การจัดระเบียบสายไฟ สายสื่อสาร และการนำสายไฟ สายสื่อสารลงดินในพื้นที่ทั่วประเทศไทย และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินงานรื้อถอนสายสื่อสารที่ยกเลิกการใช้งานแล้วบนเสาไฟฟ้า หลังจากติดตั้งโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสง Fiber Optic Cable (FOC) ฝังในระดับใต้ดินเพื่อใช้ทดแทนสายสื่อสารเดิม ทั้ง 2 ฝั่งถนนวิทยุ ตั้งแต่บริเวณแยกเพลินจิต ถึงถนนพระรามที่ 4 ระยะทางรวม 2.1 กิโลเมตร ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมสนับสนุนนโยบายจัดระเบียบสายสื่อสารและนำสายสื่อสารลงใต้ดิน ตามนโยบายภาครัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานโทรคมนาคมที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งยังให้ความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนในการปรับปรุงภูมิทัศน์ของเมืองให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ทรู ลีสซิ่ง ผู้ให้บริการรถเช่าทุกประเภทของไทย เดินหน้าขยายธุรกิจ ร่วมยกระดับการท่องเที่ยวในอยุธยาและประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เปิดตัว “เดอะ วันเดอร์ บลู คลาสสิค โบตเฮาส์ อยุธยา” (The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya) แลนด์มาร์คแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผสานความคลาสสิคของเรือระดับตำนานเข้ากับเสน่ห์อยุธยาได้อย่างลงตัว 

ชูคอนเซ็ปต์รวมที่สุดแห่งความเป็น “หนึ่งเดียวในโลก” ทั้งโบตเฮาส์ที่รวมคอลเลคชั่นเรือคลาสสิคที่เปิดให้ชมมากที่สุด ท่าเรือส่วนตัวสไตล์อิตาลี แกลลอรี่ชมเรื่องราวประวัติเรือคลาสสิคอันทรงคุณค่า ไพรเวทเล้าจน์ชมไฮไลท์ “โชว์เคสการยกเรือ” ให้บริการล่องเรือคลาสสิคสัมผัสความงดงามสองฝั่งลำน้ำกรุงเก่า พร้อมดื่มด่ำกับมื้ออาหารสุดพิเศษ ณ The Summer House @ Wonder Blue ในบรรยากาศริมโค้งน้ำที่สวยที่สุด ครบทุกมิติแห่งการท่องเที่ยว “กิน ดื่ม เที่ยว” จบในที่เดียว เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 – 20.00 น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.TheWonderBlueAyutthaya.com

 

นายขจร เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทรู ลีสซิ่ง จำกัด กล่าวว่า “ทรู ลีสซิ่ง ผู้ให้บริการรถเช่าระยะยาว และรถเช่ารายวันที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งการเดินทาง ท่องเที่ยวและขนส่ง มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศในจังหวัดสำคัญของแต่ละภูมิภาค ทั้งภาคเหนือที่เชียงใหม่และเชียงราย ภาคใต้ที่ภูเก็ตและกระบี่ ภาคตะวันออกที่พัทยา ส่วนภาคกลางที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และทรู ลีสซิ่ง ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่พื้นที่ยุทธศาสตร์ภาคกลาง ครอบคลุมตั้งแต่ภาคกลางจนถึงภาคกลางตอนเหนือ ปักหมุดอยุธยา อีกหนึ่งจังหวัดศูนย์กลางที่ทรู ลีสซิ่ง เข้าไปดำเนินธุรกิจบริการแบบครบวงจรพร้อมรองรับทั้งลูกค้าปัจจุบัน ลูกค้าใหม่ รวมถึงกลุ่มลูกค้านิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยล่าสุด ได้ต่อยอดธุรกิจเพื่อร่วมส่งเสริมการท่องเที่ยวอยุธยา ซึ่งยังเป็นจุดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวในตัวที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เวนิสแห่งตะวันออก” เปิดให้บริการ “เดอะ วันเดอร์ บลู คลาสสิค โบตเฮาส์ อยุธยา” (The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya) ซึ่งเป็นโบตเฮาส์ที่รวบรวมเรือแฮคเกอร์-คราฟต์ทั้งหมด เป็นแบรนด์เรือคลาสสิคตำนานระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากว่า 100 ปี มีทั้งหมด 12 ลำ แบ่งให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ปี 2561 โดยที่จังหวัดอยุธยา สร้างเป็นโบตเฮาส์เรือคลาสสิคส่วนตัว ท่ามกลางเมืองมรดกโลกที่มีประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ให้ได้ล่องเรือคลาสสิค สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงต่างประเทศ ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโบตเฮาส์แห่งนี้ จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ อีกหนึ่งจุดหมายปลายที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาชมทัศนียภาพและประทับใจกับความงดงามของแม่น้ำเจ้าพระยากลางกรุงเก่าในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการท่องเที่ยวจังหวัดอยุธยาร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ตลอดจนสนับสนุนการท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”

 

รวมที่สุดแห่งความเป็นหนึ่งเดียวในโลก

“เดอะ วันเดอร์ บลู คลาสสิค โบตเฮาส์ อยุธยา” (The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya) พร้อมมอบประสบการณ์ท่องเที่ยวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ กับ 5 ความเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่ควรพลาด ได้แก่

1. แลนด์มาร์คแห่งใหม่ หนึ่งเดียวในโลกที่ผสานความคลาสสิคของเรือระดับตำนานเข้ากับมนต์เสน่ห์อยุธยา เมืองมรดกโลกได้อย่างลงตัว

2. หนึ่งเดียวที่มีคอลเลคชั่นเรือคลาสสิคเปิดให้ชมมากที่สุด โดยทุกลำเป็นเรือคลาสสิคแฮคเกอร์-คราฟต์ (Hacker-Craft) ทั้งหมด ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ดั้งเดิมที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 100 ปี สร้างจากไม้มะฮอกกานีที่ดีที่สุด จนเป็นที่กล่าวขานว่า “นี่ไม่ใช่แค่เรือ หากแต่เป็นงานศิลปะที่ลอยอยู่บนผืนน้ำ”

3. หนึ่งเดียวที่เปิดประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ให้เยี่ยมชมแกลเลอรี่ สัมผัสเสน่ห์ของเรือคลาสสิคอันทรงคุณค่า ท่ามกลางมนต์เสน่ห์แห่งอยุธยาซึ่งโอบล้อมประวัติศาสตร์ สายน้ำ และสถาปัตยกรรมอันวิจิตรเหนือกาลเวลา

4. หนึ่งเดียวที่ผสานนวัตกรรมเข้ากับศิลปะเรือคลาสสิค ด้วยไฮไลท์ “โชว์เคสการยกเรือ” ลงน้ำให้บริการล่องเรือคลาสสิค ที่สะกดทุกสายตา สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม

5. หนึ่งเดียวที่ครบทุกมิติไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว จากการชมโบตเฮ้าส์ สู่การล่องเรือคลาสสิค พร้อมเพลิดเพลินกับมื้ออาหารสุดพิเศษรสเลิศ ในบรรยากาศริมโค้งน้ำที่งดงามที่สุดของอยุธยา ณ The Summer House @ Wonder Blue นับได้ว่า “กิน ดื่ม เที่ยว” จบครบในที่เดียว

นอกจากนี้ The Wonder Blue Classic Boathouse Ayutthaya ยังมีไพรเวทเล้าจน์ คาเฟ่ร้านอาหาร พื้นที่จัดงาน และบริการรถรับ-ส่ง และรถเช่าทุกประเภทจากทรู ลีสซิ่ง เพื่อให้สถานที่แห่งนี้สมกับเป็น One-Stop-Destination สำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างแท้จริง เปิดให้บริการทุกวัน จันทร์ถึงอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 9.00 – 20.00 น. โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และจองออนไลน์สำหรับบริการล่องเรือคลาสสิกที่อยุธยาได้ที่ www.TheWonderBlueAyutthaya.com และสามารถจองออนไลน์เพื่อเช่ารถทุกประเภท และบริการล่องเรือคลาสสิกที่กรุงเทพฯ ได้ที่ www.trueleasing.co.th หรือติดต่อคอลล์ เซ็นเตอร์ True Leasing 1279 ตลอด 24 ชั่วโมง

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2567 สร้างกำไรต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ (Normalized Net Profit After Tax) ที่ 3.6 พันล้านบาท โดย EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยหลักจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จากการมุ่งเน้นผลการดำเนินงานและวินัยทางการเงิน ตลอดจนการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) รายได้จากการให้บริการและ EBITDA สูงกว่าแนวโน้มที่ตั้งไว้สำหรับปี 2567

นาย มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ปี 2567 แม้เป็นปีที่มีความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งความสำเร็จมาจากการขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ ประการแรก การเร่งดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย โดยปรับปรุงเครือข่ายแล้วเสร็จมากกว่า 77% ซึ่งเร็วกว่าแผนงาน และเมื่อเราบรรลุเป้าหมาย 100% กลางปี 2568 ที่จะถึงนี้ จะทำให้โครงการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยที่รวมเครือข่ายระดับประเทศสองเครือข่ายเป็นหนึ่งเดียว สามารถสร้างประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ  ที่ทั้งลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทคได้สัมผัสประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นอย่างชัดเจน ประการที่สอง การเสริมความแข็งแกร่งด้วยพันธมิตรระดับโลกเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และประการที่สาม การนำประโยชน์จาก AI และการวิเคราะห์ล้ำสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายและขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและการเติบโต เรายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าที่มากขึ้นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมกับเสริมสร้างความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งนอกจากความสำเร็จด้านธุรกิจแล้ว เรายังภูมิใจที่ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในกลุ่มโทรคมนาคมระดับโลก โดยเป็นอันดับที่ 1 ในดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7"

นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "เรามั่นใจว่าในปี 2568 จะส่งมอบเครือข่ายที่ดีที่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของเรา พร้อมคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรากำลังยกระดับการบริการลูกค้าด้วยการนำ AI เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทั้งการแนะนำบริการที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย การให้ความช่วยเหลือทันทีโดย ‘มะลิ’ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเสมือน และการสนับสนุนพนักงานขายและคอลเซ็นเตอร์ด้วย AI co-pilots ในปี 2568 เรามีเป้าหมายเพิ่มผู้ใช้บริการดิจิทัลจากหนึ่งในสามเป็น 40% และขยายฐานผู้ใช้ดิจิทัลเป็น 20 ล้านราย แอปพลิเคชันบริการหลังการขายที่ปรับปรุงใหม่ของเราจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบบิล รับสิทธิประโยชน์ และรับบริการ AI ครบได้ในที่เดียว ทั้งนี้ ปี 2568 จะเป็นปีที่สร้างกำไร พร้อมส่งมอบความประทับใจให้ลูกค้าผ่านความสำเร็จของทรู"

ในไตรมาส 4/2567 จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่กลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้น 116,000 เลขหมาย หรือ 0.2% จากไตรมาสที่ผ่านมา มีจำนวน 49.4 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นตัวเลขภายหลังจากการลดลงของผู้ใช้บริการ 133,000 เลขหมายจากความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการฉ้อโกง ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 15.2 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินมีจำนวน 34.2 ล้านเลขหมาย ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 3.7 ล้านราย ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน 13.8 ล้านเลขหมาย

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า "ปี 2567 เป็นปีที่สำคัญสำหรับทรู คอร์ปอเรชั่น ด้วยการพลิกกลับมามีกำไรภายหลังการปรับปรุงตั้งแต่ไตรมาสแรกอย่างเกินความคาดหมาย ซึ่งการขับเคลื่อนต่อเนื่องนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ทำให้ EBITDA เติบโตติดต่อกัน 8 ไตรมาส พร้อมกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส สำหรับในปี 2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีกำไรภายหลังการปรับปรุง 9.9 พันล้านบาท โดยมาจากไตรมาส 4/2567 จำนวน 3.6 พันล้านบาท”

รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC ปรับตัวดีขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปีที่ผ่านมา (YoY) โดยรายได้จากการให้บริการทั้งปี 2567 เติบโต 4.6% สูงกว่าแนวโน้ม การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการให้บริการมาจากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และการปรับสมดุลการแข่งขันด้านราคาอย่างต่อเนื่องในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์ ทรู คอร์ปอเรชั่นรายงานรายได้รวมเติบโต 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่ถูกลดทอนบางส่วนจากรายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง เนื่องจากการปรับลดเงินสนับสนุนค่าเครื่องโทรศัพท์

สำหรับไตรมาส 4/2567 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 7.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนเครือข่ายลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการควบรวมในหลายด้าน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัย การริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ และประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่นสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.8 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ซึ่งนับเป็นการเติบโตของ EBITDA เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน สำหรับไตรมาสที่ 4/2567 EBITDA เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยภาพรวมปี 2567 EBITDA เพิ่มขึ้น 14.5% สูงกว่าแนวโน้ม โดยการเติบโตของ EBITDA มาจากการปรับตัวดีขึ้นของรายได้ ผลประโยชน์จากการควบรวม และวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่การควบรวมกิจการที่ 60.6% ในไตรมาส 4/2567

ในไตรมาส 4/2567 ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 1.11 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษี 7.5 พันล้านบาท รายการพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดเกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและสินค้าคงเหลือ การด้อยค่าประจำปีของค่าความนิยมและเงินลงทุน และผลขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดสำหรับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายหน่วยงานท้องถิ่นในปี 2568 เมื่อปรับปรุงรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวเหล่านี้ กำไรสุทธิหลังหักภาษีอยู่ที่ 3.6 พันล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 451 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย

สำหรับแนวโน้มปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) และโรมมิ่งภายในประเทศกับ NT เติบโต 2-3% เมื่อเทียบกับปีก่อน EBITDA จะเติบโต 8-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) รวมการบูรณาการคาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3 หมื่นล้านบาท โดยปี 2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี ตามรายงานและได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการ

ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญสำหรับปี 2567 และไตรมาส 4/2567

  • รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC:
  • 16.59 หมื่นล้านบาท สำหรับปี 2567 ปรับตัวดีขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • 4.16 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/2567 ปรับตัวดีขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • EBITDA:
  • 9.81 หมื่นล้านบาท สำหรับปี 2567 ปรับตัวดีขึ้น 14.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • 2.52 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/2567 เพิ่มขึ้น 12.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการ:
  • 59.2% สำหรับปี 2567
  • 60.6% ในไตรมาส 4/2567
  • กำไรสุทธิ (ภายหลังการปรับปรุง):
  • 9.9 พันล้านบาท ในปี 2567 ปรับตัวดีขึ้น 14.7 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับปีก่อน
  • 3.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4/2567 ปรับตัวดีขึ้น 0.5 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

 

“ธุรกิจคอนเทนต์ ต้องยอมรับว่ามีการแข่งขันสูงมาก การจะเป็นผู้นำวันนี้ก็ไม่ง่ายต้องการสร้างแพลตฟอร์มของคนไทย เพื่อส่งออกคอนเทนต์ไทย วัฒนธรรมไทย เราให้ความสำคัญมากคือ การพัฒนาเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของ Users เรา เพราะนี่คือหัวใจของธุรกิจ”  วินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี  President TrueID  ย้ำถึงธุรกิจคอนเทนต์ในปัจจุบัน

ที่มาที่ไปก่อนจะมาทํางานที่ TrueID?

วินท์รดิศ กลศาสตร์เสนี  ท้าวไปตั้งแต่จุดเริ่ม คือการมาทําธุรกิจออนไลน์มาจาก 3 ส่วน ส่วนแรกคือความชอบ  ส่วนที่ 2 คือความชํานาญ และสุดท้ายนั้นคือความฝัน ผมเองจบด้าน Information Technology หรือ IT 10 กว่าปีแรกของการทํางาน ทํางานสายเทคมาตลอด ก็สั่งสมประสบการณ์เรื่องเทคโนโลยี เมื่อประมาณปี 2010-2011  ตอนนั้น Netflix เพิ่งจะเริ่ม 3 ปีเอง  เราก็เลยเกิดความฝันว่า เราอยากจะสร้าง benchmark คล้ายๆ กับเซอร์วิส ผมก็เลยออกมาจากไมโครซอฟท์ แล้วก็มาสร้างบริษัทเองทางด้าน VDO streaming ซึ่ง ณ เวลานั้น  เป็นอะไรที่ใหม่มาก ต้องยอมรับว่าโลกยังดูทีวีเป็นหลัก  จนถึงจุดหนึ่งที่ผมได้โอกาสไปร่วมงานกับ Discovery ซึ่งก็เป็นแบรนด์มีเดียแบรนด์ใหญ่เจ้าหนึ่งของอเมริกา  ไปเป็นสตาร์ทอัพสร้างธุรกิจ OTT  ซึ่งกลายเป็น MAX ที่เรารู้จักกันวันนี้

พอมาถึงจุดที่เราโชคดีมากก็คือ ได้โอกาสเจอผู้บริหาร และ Founder ของ TrueID  ต้องการสร้างแพลตฟอร์มของคนไทย เพื่อผู้บริโภคไทย เพื่อจะนําส่งออกสิ่งที่สําคัญอันดับต้นๆ ก็คือ คอนเทนต์ไทย วัฒนธรรมไทย ที่สามารถจะ impact คนทั้งประเทศ และกลับมาอยู่กับครอบครัวที่เมืองไทย นั่นคือเหตุว่า ทําไมถึงได้มาดู TrueID ประมาณสักปีครึ่งที่ผ่านมา

TrueID  มีบริการอะไรบ้าง?

TrueID  เป็นแพลตฟอร์มคนไทย  เวลาเรามอง TrueID เราไม่สามารถจะบอกได้ว่า TrueID เป็นแพลตฟอร์มที่ทําเรื่องแค่ VDO  streaming  แต่เราอยากขยายความบริการอื่นๆ ซึ่งเป็นบริการที่ถูกสร้างมาตั้งแต่เริ่ม ถ้าถามคนที่ใช้บริการทรู   หลายๆ คนจะบอกว่าผมมาเข้า TrueID เพราะต้องการ Privilege หลายอย่างที่ทรูให้ ผ่านทรูเรดการ์ดผ่านทรูแบล็กการ์ด  คนหลายคนต้องบอกว่าจํานวน 1 ใน 3 ของ users เรา เข้ามาเพื่อหา Privilege ต่างๆ ภายในทรู  นั่นเป็นหนึ่งใน used case ใหญ่ที่สุดของการใช้ TrueID

ส่วนที่ 2 ด้วยความที่เรามีคอนเทนต์เยอะ เราก็สามารถสร้าง community ของคนที่ชอบคอนเทนต์เหมือนๆ กัน 2 ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดใน community ของคนดูกีฬา ดูฟุตบอล ทุกๆ match เราจะมีการที่ทําเรื่อง live commenting ก็คือ สามารถ text คุยกันระหว่างมีการแข่ง  อีก used case หนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจก็คือ  เรามี community ที่ใหญ่มากของธรรมะ  ด้วยการที่ทรูทําสามเณรปลูกปัญญามานาน กลายเป็น community ที่คนเหนียวแน่นมาก   

ข้อที่ 3 คือวิดีโอ เรามีคอนเทนต์มากมายที่เรามี ทั้งจัดสร้างเอง เรามีการซื้อลิขสิทธิ์เพิ่มจากคู่ค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  เราเองก็เอาคอนเทนต์ของบริษัททรูวิชั่นส์เข้ามาบรอดแคสต์อยู่บนแพลตฟอร์ม TrueID  ลักษณะหรือพฤติกรรมของคนอยู่ใน TrueID  จะขึ้นอยู่กับบริบทของคนๆ นั้น ณ เวลานั้นด้วย  เพราะว่าเรามีลูกค้าที่ใช้ทั้ง 3 ส่วนนี้มากเหมือนกัน

ธุรกิจคอนเทนต์ ต้องยอมรับว่ามีการแข่งขันสูงมาก สิ่งที่สะท้อนคือ Content Cost การลงทุนคอนเทนต์มันก็สูงขึ้นตาม อันนี้ก็จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถือว่ามีความยากมากในธุรกิจนี้  คือถ้าต้องการจะเป็นผู้นํา  ไม่ต้องเอาระดับโลกนะ เอาแค่ในประเทศเรา   วันนี้ก็ไม่ง่าย เพราะว่าทุกคนก็เล็งเห็นเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ที่สําคัญในการที่จะเป็นคอนเทนต์ซัพพลายเออร์ใหม่ของโลก ต่อจากสิ่งที่เกาหลีเป็น ณ วันนี้ ต้องยอมรับว่า OTT นี้ ถ้ามองในอุตสาหกรรมโดยตรงของ Content Business นี้  YouTube คือโฆษณา  เอาคอนเทนต์มาใครก็สามารถโพสต์คอนเทนต์ได้  แล้วส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับการหารายได้ผ่านโฆษณา  Netflix เป็นช่องหนึ่งที่เอาคอนเทนต์ตัวเองใส่ แล้วต้องมีการ subscribe คนจึงสามารถดูได้ใช่ไหม  เขาจะไม่ค่อยมีการรวมๆ กันสักเท่าไร ต้องยอมรับว่าในเอเชียเราค่อนข้างevolve กว่าเยอะ ประเทศที่ชัดที่สุดเริ่มจากจีน การที่จีนมี application ที่เป็น tech company ใหญ่ๆ 3-4 เจ้า ทําให้มีความเป็นลักษณะซุปเปอร์แอป WeChat มีทุกๆ service ที่อยู่ใน WeChat ตั้งแต่ streaming ยัน e-commerce ยัน delivery ยันทุกๆอย่างที่เราจะสรรหาได้ ซึ่ง TrueID จะมีความคล้ายคลึงกับโมเดลอย่าง WeChat มากกว่า ดังนั้นการที่มีหนึ่งบริการที่สามารถทําได้หลายๆอย่าง เพื่อ serve need ของผู้บริโภคเป็นจุดยืนที่เราอยากทํา  และเป็นสิ่งที่เราทํามาตลอด   แต่แน่นอนเราก็ยังมีสิ่งที่อยากทําเพิ่มอีกมหาศาล

TrueID สร้างรายได้จากอะไรบ้าง?

ธุรกิจ OTT ทั้งหมด 80-90%  ส่วนใหญ่คือ advertising base ถามว่าที่เราทําก็ไม่ต่างกันเท่าไร   แต่วัตถุประสงค์เราค่อนข้างชัดเจน  เพราะว่าอันหนึ่งที่แตกต่างชัดเจนคือ ถ้า OTT ฝรั่งส่วนใหญ่เขามี objective ชัดเจน ก็คือว่าถ้าไม่เป็นโฆษณา subscription เขาใช้โมเดลคือการที่เขาสามารถเอาคอนเทนต์ของเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าของคอนเทนต์เอง  หนึ่งเซอร์วิสหนึ่งคอนเทนต์สามารถ 10 ประเทศ 100 ประเทศ What ever ตามแล้วแต่  ขณะเดียวกัน  เราต้องการให้ประชากรไทยทั้ง 70 ล้านคน  สามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่มีคุณภาพได้ โดยที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ นั่นคือวัตถุประสงค์หรือ vision แรกก่อนเลย ของ TrueID เพราะฉะนั้นการที่มี Free Tier คือ การที่มีโฆษณา วัตถุประสงค์คือเราต้องการให้คนเข้าถึงเยอะที่สุด  แล้วก็สะท้อนถึงทําไมเราถึงเป็นแพลตพอร์ม ที่มีคนดูเยอะ เพราะไม่มีการคิดตังค์  คิดตังค์ไปคิดที่ฝั่งโฆษณา  ที่แบรนด์  ที่ agency แทน  แต่เราก็มีทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ไม่อยากดูโฆษณาทําอย่างไร  ก็สามารถ subscribe ได้

หลายๆ คนน่าจะอยากรู้และอยากฟังจาก TrueID เรื่องของข้อพิพาทกับ Regulator ที่เป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้?

ผมเองก็เป็นคนดูภาคธุรกิจ  ผมเชื่อว่าไม่ต้องเอาสตาร์ทอัพหรอก ไม่ว่าธุรกิจไหนก็ไม่อยากจะมีเรื่องหรือมีข้อพิพาทกับผู้คุมกฎ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยู่แล้ว ผมว่าไม่มีใครอยากมีอยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ช่วยเอื้อในอะไรเลย แต่ความเป็นจริงคือ พอมีเรื่องจริงๆ  เราเริ่มได้เอกสาร  จริงๆต้องบอกว่าเราได้เอกสารจากคู่ค้าเรานะพอคู่ค้าส่งมาเราก็ตกใจ เราก็เลยทําหนังสือเหมือนกัน ทําหนังสือไปที่ กสทช ถึง 2  รอบด้วยกัน  แต่ก็ไม่ได้รับ feedback อะไร แต่พอเริ่มมี impact จริงๆกับธุรกิจ  เราเองในฐานะผู้ให้บริการที่มีลูกค้า 30  กว่าล้านคนทุกเดือน รวมถึงคู่ค้าของเรา  เราต้องการให้ความมั่นใจว่าเราไม่ได้ทําผิดในเชิงกฎหมาย  แน่นอนความเชื่อถือ  trust เป็นสิ่งสําคัญในการสร้างทําธุรกิจ เราก็เลยจําเป็นที่จะต้องเอาเข้าสู่การฟ้องร้อง  แต่จริงๆ  อย่างที่ผมเรียน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เราอยากจะทํา แต่เรามองว่า เรามี obligation ในการเป็นแพลตฟอร์มต่อผู้บริโภค และต่อคู่ค้าเรา  ทําให้เราต้อง take action ตรงนั้นไป ส่วนว่าเราเจาะจงอะไรยังไงไหม  ผมว่าอย่างงี้ดีกว่า  ตอนนี้ process ที่อยู่ในศาล แล้วก็สิ่งที่มีการพิจารณาผลคดีไปแล้ว แต่ fact คือว่า  ตอนที่เราได้รับเอกสารตัวนี้  มีวิธีเดียวที่จะทําได้ คือเราก็ฟ้องคนที่ลงนาม ซึ่งวันนั้น คือเป็นรักษาการรองเลขาฯ ของ กสทช แต่พอมันเข้าสู่กระบวนการในการสืบพยานในส่วนของศาล ปรากฏว่าคนที่ลงนามไม่ได้เป็นคนสั่งการ  เราก็เลยต้องเปลี่ยนจากการที่ฟ้องคนนั้นไปเป็นคนที่สั่งการ ก็จะเห็นเลยว่า fact ไม่ใช่สิ่งที่เรา pinpoint คน  แต่คือการทําตามขั้นตอน แล้วก็อย่างที่เรียน คือผมว่าวัตถุประสงค์เรา  คือการที่อยากจะสร้างสรรค์ร่วมมากกว่า สิ่งที่ทําวันนี้คือการที่แค่ต้องการเน้นว่าเราไม่ผิด  ผมว่าวัตถุประสงค์ คือการที่อยากจะสร้างสรรค์ร่วมมากกว่า สิ่งที่ทําวันนี้คือการที่แค่ต้องการเน้นว่าเราไม่ผิด เราอยากจะให้มี fair competition แต่จุดประสงค์เราหลักคือว่า ข้างหน้าเราจะไปกันได้อย่างไร ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่หลายคนยังสงสัย ก็คือว่า ธุรกิจ OTT  ยังไม่มีกฏหมายครอบคลุม แต่สิ่งที่ค่อนข้างยิ่งสะท้อนความเป็นจริงมากก็คือว่า พอไม่มีการควบคุม การที่เราเป็นบริษัทไทย เราเองก็อยากจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครอง แต่ก็ควรจะมีความคุ้มครองที่มี benefit ชัดเจน วันนี้ ความคลุมเครือของการคุ้มครอง ทําให้การคุ้มครองไม่มีความเท่าเทียม เพราะว่าบริษัทฝรั่ง แพลตฟอร์มฝรั่งไม่ได้อยู่ในการคุ้มครอง แพลตฟอร์มไทยมองว่า วันนี้การคุ้มครองก็ไม่ได้ มีเอื้อของธุรกิจเลย ดังนั้นต้องกลับมาที่ว่าประเทศและเจ้าของนโยบาย ผู้คุมกฎทั้งหลาย มองธุรกิจนี้สําคัญขนาดไหน จะ impact อย่างไร เราเองในฐานะที่เป็น startup platform ใหญ่อันดับต้นๆของเมืองไทย เรายินดีและพร้อมที่จะเข้าไปร่วมเสวนาให้ความรู้ ให้จุดที่บาลานซ์ในการได้รับความสนับสนุน ในขณะเดียวกัน ปกครองถึงเรื่อง privacy เรื่องของการที่ผู้บริโภคควรจะพึงได้ในการที่มีการคุมกฎตรงนี้ เราพร้อมและยินดีเสมอในเรื่องนี้ เพราะว่า แพลตฟอร์มไทยวันนี้มีน้อยมาก ไม่ใช่แค่ในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ ทุกๆอุตสาหกรรม เราต้องการเป็นปลายน้ำหรือคนกลาง หรือต้นน้ำของธุรกิจ เรารู้อยู่แล้วว่าธุรกิจวันนี้คนกลางโดนบีบ มันจะไม่มีแล้ว งั้นภาครัฐและภาคเอกชนต้องการเป็นปลายน้ำคอยแต่ได้รับในส่วนของการเป็นผู้บริโภคที่ดี หรือต้องการเป็นต้นน้ำของธุรกิจและสร้างสรรค์อุตสาหกรรม ซึ่งสามารถ impact อีกหลาย industry ทั้งหมดเลย  ทุกอย่างสามารถสื่อสารด้วย คอนเทนต์  มันคือทําไมทุกบริษัทเทคถึงทําคอนเทนต์  เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลกที่ใหญ่กว่า content business มาก

TrueID มีแผนพัฒนาคอนเทนต์ และแพลตฟอร์มอย่างไรบ้าง?

หนึ่งในสิ่งที่เราให้ความสําคัญมาก คือการพัฒนาเพื่อเพิ่มความพึงพอใจของ user วันนี้ผู้บริโภคทุกคนมีความ unique ของเขา งั้นแพลตฟอร์มอย่างเราจําเป็นต้องเข้าถึงและรู้ insight ของคน  ด้วยจุดหมายคือเพิ่มความพึงพอใจของเขาในการใช้งานของเรา ไม่ว่าจะเป็นการดูคอนเทนต์ที่เขาชอบ  การใช้บริการด้านอื่น การอยู่กับ community ของเขา

ส่วนที่ 2 ที่เราต้องบอกว่าเป็น priority อีกอย่างหนึ่งที่สําคัญ คือการสร้าง ecosystem หรือ แพลตฟอร์ม ของไทยไปสู้ในธุรกิจ commerce ที่เรียกว่า social commerce แต่เป็นรูปแบบที่ unique กับประเทศ โดยใช้แพลตฟอร์ม TrueID เพราะแน่นอนวันนี้ สิ่งที่ disrupt แม้กระทั่ง global player คือ TikTok จากเมื่อก่อน short form เป็นสิ่งที่แบบไม่ได้มีใคร วันนี้ทุกคนมี short form  มันเกิดจาก TikTok ถ้าเราจะไปก็อปปี้ TikTok เราก็คงสู้เขาไม่ได้ งั้นสิ่งหนึ่งที่เราพยายามทําคือ หาจุดลงตัวของ ecosystem ของ TrueID ร่วมกับพันธมิตรของเรา สร้างแพลตฟอร์มที่สามารถตอบโจทย์คนไทยได้ดีกว่าสิ่งที่แพลตฟอร์มต่างชาติทําวันนี้ เพราะฉะนั้นเกมนี้ ไม่ใช่เกมส์มอง short term มันคือการสร้างนวัตกรรมใหม่บนสิ่งที่เริ่มเห็นแล้วว่านี่คือโลกกําลังเปลี่ยนไป เพราะว่าโลกคอนเทนต์กับโลกขายของ มันเริ่มใกล้กันมาก แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไม่มีใครเคยเห็นเลย งั้นวันนี้สิ่งที่เราทํา เราเริ่มมองไปถึงว่า ในยุคต่อไปโดยที่มี AI มาเป็นตัวกลาง ตัวแปลหลักสําคัญของธุรกิจ เราจะเป็นผู้นําได้อย่างไร แน่นอนงั้นรากฐานการพัฒนาเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจเป็นอย่างไร เรามุ่งทําทุกวันคือ product development มันไม่มีวันหยุด   เพราะนี่คือหัวใจของธุรกิจ

ทรู คอร์ปอเรชั่น ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการปกป้องประชาชนจากภัยมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ เดินหน้าร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. และหน่วยงานความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ล่าสุดลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่และจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศ (POI – Point of Interconnection) บริเวณด่านสะเดา จังหวัดสงขลา พร้อมดำเนินการตามมาตรการระงับบริการโทรคมนาคมบริเวณแนวชายแดนที่มีความเสี่ยง เผยนำ “True CyberSafe” ปกป้องลูกค้าทรูและดีแทคหยุดเสี่ยงลิงก์มิจฉาชีพ

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นภัยที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทรูพร้อมสนับสนุนรัฐบาล กสทช. และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อช่วยปิดกั้นเส้นทางของมิจฉาชีพ ลดความเสียหายต่อประชาชน และสร้างระบบโทรคมนาคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน เราขอยืนยันที่จะสนับสนุน กสทช. ซึ่งที่ผ่านมาเสาทรู และดีแทคที่อยู่ตามแนวชายแดน ได้ตัดสายสื่อสารและระงับสัญญาณเป็นที่เรียบร้อยตามคำสั่ง กสทช."

ทรู คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าสนับสนุนมาตรการของสำนักงาน กสทช. ในการป้องกันการลักลอบใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดน โดยได้ดำเนินการระงับสัญญาณและรื้อถอนอุปกรณ์สื่อสารในพื้นที่เสี่ยงครอบคลุม 7 จังหวัด 11 อำเภอ เมื่อมิถุนายนปีที่ผ่านมา พร้อมล่าสุดเดินหน้ารื้อถอนเสาเพิ่มเติมอีก 10 แห่งในจังหวัดตาก และดำเนินการร่วมมือต่อไปอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ภายหลังการรื้อถอนแล้วเสร็จ ทีมงานจะลงพื้นที่สำรวจคุณภาพสัญญาณและรับฟังความคิดเห็นจากชุมชน พร้อมวางแผนติดตั้งสถานีฐานขนาดเล็ก (Small Cell) เพื่อทดแทนและรักษาคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพเช่นเดิมและอยู่ภายใต้มาตรการของ กสทช.

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวบริการ "True CyberSafe" เพื่อปกป้องลูกค้าทรูและดีแทคจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยสามารถสกัดลิงก์และ URL เสี่ยงภัยได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการในการทำธุรกรรมออนไลน์

การดำเนินการครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทรู คอร์ปอเรชั่น ในการร่วมมือกับภาครัฐและ กสทช.เพื่อยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์มิจฉาชีพ ซึ่งถือเป็นภัยร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ

X

Right Click

No right click