November 24, 2024

เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวและเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวไทย ตอบโจทย์ “IGNITE TOURISM THAILAND”

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.), กระทรวงแรงงาน, และเครือข่ายมหาวิทยาลัยรวทถึงองค์กรชั้นนำในประเทศไทย จัดงานมหกรรม ‘Thailand Digital Talent Summit and Job Fair: Building Talent Hub for a Digital, Intelligent, and Green Thailand’ ภายใต้แนวคิด ‘สร้างศูนย์กลางบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ นำประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัลอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 200 ราย ทั้งบุคลากรจากภาครัฐ, สถาบันการศึกษา, และภาคอุตสาหกรรม โดยการประชุมสุดยอดครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในด้านการบ่มเพาะบุคลากรดิจิทัล และสร้างโอกาสทางอาชีพซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศไทย บนเส้นทางสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน

นายเดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด ตอกย้ำแนวคิดและความรุดหน้าด้านการพัฒนาศักยภาพบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลว่า “Huawei ASEAN Academy (ประเทศไทย) มุ่งพัฒนากลยุทธ์ 4 ประการสำคัญ ได้แก่สถาบันธุรกิจ (สำหรับระดับผู้บริหาร) เพื่อบ่มเพาะภาวะผู้นำด้านดิจิทัลสำหรับผู้บริหารองค์กร, สถาบันเทคนิค (สำหรับระดับนักพัฒนา) เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญภาคปฏิบัติให้กับนักศึกษาระดับอุดมศึกษา เอสเอ็มอี และนักพัฒนาซอฟต์แวร์, สถาบันวิศวกรรม (สำหรับระดับผู้ประกอบวิชาชีพ) ที่มุ่งเน้นทักษะการปฏิบัติจริงสำหรับกลุ่มคนทำงาน และประการสุดท้ายคือการลดความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัล (สำหรับระดับผู้ใช้งาน) เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสเข้าถึงความรู้ด้านดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม”

นายเดวิด กล่าวเสริมว่า “ในปัจจุบัน หัวเว่ยและพาร์ทเนอร์ผนึกกำลังพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลไปแล้วกว่า 96,000 คน ซึ่งรวมถึงบุคลากรผู้มีทักษะด้านดิจิทัล 72,000 คน, ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ 8,000 คน, วิศวกรด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green engineer) 2,000 คน, บุคลากรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ 5,000 คน, เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ 3,500 ราย ทั้งยังจัดการฝึกอบรมให้กับนักเรียนและชุมชนในชนบท 6,000 คน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้หัวเว่ยได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือจัดตั้งสถาบัน ICT Academy ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทยกว่า 42 แห่งทั่วประเทศ”

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กล่าวถึงความร่วมมือในมหกรรม Thailand Digital Talent Summit ว่า “ในนามกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ต้องขอขอบคุณหัวเว่ยสำหรับความร่วมมือครั้งสำคัญในการส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล เพื่อบ่มเพาะศักยภาพบุคลากรด้านดิจิทัลในประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น กระทรวง อว.มีภารกิจสำคัญคือการสร้างกำลังคนที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะด้านดิจิทัลที่กลายเป็นหัวใจสำคัญและเป็นพื้นฐานการพัฒนาของโลกยุคนี้ในทุกๆ มิติ เราพร้อมผนึกกำลังกับหัวเว่ยเพื่อผลักดันนวัตกรรมดิจิทัลและนโยบายการวิจัยที่ออกแบบโดยเฉพาะในการจัดหาบุคลากรที่มีคุณภาพเข้าสู่ระบบ พร้อมทั้งผลักดันนโยบายส่งเสริมการผลิตและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษที่ 21”

นางจิรวรรณ สุตสุนทร รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับหัวเว่ยซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอัจฉริยะระดับโลกในการส่งเสริมบุคลากรด้านดิจิทัลให้สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายของอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเราจะมุ่งตอบสนองความต้องการและมุ่งยกระดับและเสริมสร้างทักษะบุคลากรร่วมกัน ภายใต้ความร่วมมือด้านวิชาการและอุตสาหกรรมในการพัฒนาทักษะบุคลากรที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมดิจิทัลในอนาคต”

ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ หัวเว่ยได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งใหม่กับพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมอีโคซิสเต็มด้านบุคลากรดิจิทัลในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง:

  1. สร้างผลกระทบเชิงบวกกับภาครัฐบาลและนโยบาย: ในการผนึกกำลังกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงแรงงาน ทั้ง 3 หน่วยงานตั้งเป้าฝึกอบรมบุคลากรด้านไอซีทีให้ได้รวม 10,000 คน, นักพัฒนาด้านคลาวด์และ AI จำนวน 5,000 คน, และวิศวกรด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมอีก 2,000 คนภายในปี พ.ศ. 2568 โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 20 แห่ง เพื่อสร้างองค์ความรู้ผ่านหลักสูตรนักพัฒนาด้านคลาวด์และด้านดิจิทัลของหัวเว่ย
  2. แบ่งปันองค์ความรู้ด้านวิชาการ: มหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้แก่ มหาวิทยาลัยไปรษณีย์และโทรคมนาคมปักกิ่ง (Beijing University of Post and Telecommunications), มหาวิทยาลัยขอนแก่น, และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมเปิดตัวโครงการใหม่กับหัวเว่ย ซึ่งเป็นความร่วมมือเพื่อผลักดันการถ่ายทอดประสบการณ์ ส่งต่อองค์ความรู้ และพัฒนาบุคลากรเพื่อโลกการทำงานในอนาคต
  3. มอบทุนการศึกษาสำหรับนักเรียน: เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนสนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมไอซีที หัวเว่ยจัดโครงการแข่งขันด้านไอซีทีเพื่อชิงทุนการศึกษาในปี พ.ศ. 2566-2567 โดยได้มอบ 9 รางวัลให้กับทีมผู้ชนะรางวัลใน 3 สาขา ได้แก่ ด้านเครือข่าย (Network) ด้านคลาวด์ (Cloud) และด้านการประมวลผล (Computing) โดยมีมูลค่ารางวัลรวมกว่า 1.4 ล้านบาท
  4. การมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมและการสร้างอาชีพ: หัวเว่ยร่วมกับพันธมิตร 15 รายในธุรกิจองค์กร, คลาวด์, พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรมนุษย์ จัดมหกรรมจัดหางานเพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่ได้รับการฝึกอบรมและประกาศนียบัตรรับรองจากหัวเว่ยได้เข้าถึงงานในสาขาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบ, ธุรกิจองค์กร, และการพัฒนาซอฟต์แวร์

ก่อนหน้านี้ หัวเว่ยได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านการกำหนดนโยบายและพันธมิตรโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญทักษะดิจิทัลให้ได้รวม 100,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2568 โดยหัวเว่ย ประเทศไทย ได้ผนึกกำลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เพื่อจัดการแข่งขันด้านความปลอดภัยไซเบอร์ซึ่งมีผู้เข้าร่วมถึง 4,000 คน รวมทั้งได้ร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ฝึกอบรมเอสเอ็มอีไทย 160 ราย เกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G, เมืองอัจฉริยะ, AI และหุ่นยนต์แบบอิมเมอร์ซีฟ และจัดกิจกรรมการแข่งขันด้านไอซีทีครอบคลุมเทคโนโลยีคลาวด์, ทรัพย์สินทางปัญญา, และความปลอดภัยทางไซเบอร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา และมอบทุนการศึกษาคิดเป็นมูลค่า 1 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2566 รวมถึงโครงการรถดิจิทัลเพื่อสังคม (Digital Bus) ซึ่งมอบการฝึกอบรมทักษะด้านดิจิทัลให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลใน 14 จังหวัดในประเทศไทย

หัวเว่ยได้วางรากฐานในประเทศไทยมากว่า 25 ปี โดยมุ่งมั่นผลักดันกลยุทธ์ด้านดิจิทัลในประเทศไทยตามพันธกิจ ‘เติบโตในประเทศไทย สนับสนุนประเทศไทย’ (Grow in Thailand, Contribute to Thailand) ผ่านแพลตฟอร์ม Huawei ASEAN Academy ประเทศไทย และหลักสูตรการฝึกอบรมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ หัวเว่ยจะมุ่งมั่นสร้างอีโคซิสเต็มครบวงจรที่รวมการฝึกอบรม, มาตรฐานการรับรองจากหัวเว่ย, การคัดเลือกพันธมิตร, และแอปพลิเคชันต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ด้วยการบ่มเพาะสภาวะความร่วมมือที่เปลี่ยนความคิดและนวัตกรรม ไปสู่การแบ่งปันองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้งานจริง โดยหัวเว่ยพร้อมจะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัล ที่เปี่ยมด้วยความอัจฉริยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน​) หรือซีพีเอฟ ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานขับเคลื่อนต้นแบบองค์กรเอกชนปลอดยาเสพติด ดูแลพนักงานในสถานประกอบกิจการห่างไกลยาเสพติด มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน หนุนสร้างสังคมเข้มแข็ง เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ตั้งเป้าภายในปี 2567 นี้ ฟาร์มและโรงงานทั้ง 437 แห่งทั่วไทย ผ่านการรับรองโรงงานสีขาว

ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” ระหว่าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.)​ และ ซีพีเอฟ จัดขึ้นที่ห้องประชุมกระทรวงแรงงาน มีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมมอบธงนำร่องสถานประกอบกิจการผ่านเกณฑ์โรงงานสีขาว และการดำเนินงานมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) แก่นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ และผู้บริหารบริษัทในกลุ่มซีพีเอฟ ซึ่งมีนางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พล.ต.ท. ภานุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ปปส. ร่วมลงนาม 

นายพิพัฒน์​ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการจัดการอย่างเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาอย่างเข้มแข็งและมั่นคง กระทรวงแรงงานมุ่งเน้นสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชนบูรณาการดำเนินแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบตามหลักเกณฑ์โรงงานสีขาว สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงในวันนี้เป็นหลักประกันว่าพนักงานของซีพีเอฟทุกคนได้ทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย มีระบบและกลไกในการแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดแบบครบ วงจร เป็นตัวอย่างที่ดีขององค์กรที่มีแนวปฏิบัติด้านแรงงานที่ดี ดูแลพนักงานทุกคนด้วยความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อให้พนักงานทุกคนที่ทำงานในประเทศไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน

“ขอชื่นชมซีพีเอฟที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐบรรลุเป้าหมายในการป้องกัน และหยุดยั้งปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน และยังมีการต่อยอดดูแลชุมชนที่อยู่รอบๆ หน่วยงานให้มีความเข้มแข็ง และห่างไกลจากยาเสพติดอย่างจริงจัง”​ นายพิพัฒน์ กล่าว

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า พนักงานเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทฯ บรรลุวิสัยทัศน์การเป็นครัวของโลก ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหายาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง การลงนามบันทึกความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด “ขับเคลื่อนองค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน”  เป็นการประกาศเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการต่อต้านยาเสพติด นำหลักเกณฑ์และแนวทางของโรงงานสีขาว  นำมาส่งเสริมและปฏิบัติอย่างเป็นระบบ  เพื่อพัฒนาสถานประกอบการของซีพีเอฟกว่า 437 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นองค์กรที่ปลอดจากยาเสพติด ซึ่งครอบคลุมพนักงานทั้งคนไทยและ พนักงานจากประเทศเพื่อนบ้านกว่า 70,000 คน  โดยการตั้งเป้าหมายภายในปีนี้ สถานประกอบกิจการทุกแห่งในประเทศไทย ได้รับการรับรองโรงงานสีขาวและมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ร่วมสร้างความยั่งยืนขององค์กร ชุมชนและประเทศต่อไป

“ซีพีเอฟมีความยินดีร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน และภาคีเครือข่ายพัฒนาสถานประกอบกิจการของบริษัทฯ ทุกแห่งทั่วประเทศเป็นต้นแบบองค์กรดูแลพนักงานทุกคน และชุมชนรอบข้างมีภูมิคุ้มกันห่างไกล สนับสนุนสังคมไทยมีความเข้มแข็ง และเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาสามประโยชน์สู่ความยั่งยืนที่ผู้บริหารและพนักงานซีพีเอฟยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติเป็นลำดับแรก ประโยชน์ของประชาชนเป็นลำดับที่สอง และประโยชน์ของบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย”​ นายประสิทธิ์กล่าว

ซีพีเอฟ ให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนขับเคลื่อนองค์กรปลอดยาเสพติดและเป็นโรงงานสีขาว ตามโครงการ “ซีพีเอฟ องค์กรสีขาว เพื่อย่างก้าวที่ยั่งยืน” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดี เคารพหลักสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่การให้ความรู้ความเข้าใจให้พนักงานมีความตระหนักและร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายด้านยาเสพติดอย่างจริงจัง การอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเป็นเครือข่ายที่สำคัญเป็นเกราะป้องกันไม่ให้พนักงานมีความเสี่ยงไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งมีนโยบายช่วยเหลือพนักงานในการบำบัดรักษาและฟื้นฟู และให้โอกาสพนักงานที่รักษาหายสามารถกลับมาทำงานกับองค์กรได้ พร้อมทั้งสนับสนุนให้สถานประกอบกิจการทุกแห่งของซีพีเอฟเป็นสมาชิกที่ดี และร่วมดูแลชุมชนรอบข้างปลอดจากยาเสพติด เพื่อสร้างสังคมเข้มแข็ง อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มั่นคงและยั่งยืน

 

กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน เตรียมจัดมหกรรม JOB EXPO THAILAND 2023 “คนหางาน งานหาคน” ชวนคนว่างงาน คนหางาน มาสมัคร มาสัมภาษณ์งานกับตำแหน่งงานว่างกว่า 500,000 อัตรา รวมโอกาสทำงานในต่างประเทศ พร้อมบริการเรื่องงานไว้ครบในงานเดียว ในวันที่ 8 – 10 มิถุนายนนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ฮอลล์ 100 – 102 เวลา 10.00 – 20.00 น.

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมการมีงานทำให้แก่ประชาชนวัยกำลังแรงงานทุกกลุ่มเป้าหมาย สนับสนุนการจ้างงานที่มั่นคงและต่อเนื่องตลอดวัยทำงาน และให้ผู้ต้องการทำงานได้ทราบความต้องการของตลาดแรงงาน ทักษะและเทคนิคเกี่ยวกับการสมัครงานเพิ่มขึ้น รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาความรู้ทักษะฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยภายใต้การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2023 ในครั้งนี้ นับว่าเป็นมหกรรมการจัดหางานที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ได้มีการรวบรวมตำแหน่งงานทั้งในประเทศและต่างประเทศไว้มากกว่า 500,000 อัตรา จากหลากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และ เอกชน สถานประกอบการชั้นนำกว่า 400 องค์กร ที่พร้อมเปิดโต๊ะต้อนรับสัมภาษณ์ผู้สมัครงานกันภายในงาน ควบคู่กับการสัมภาษณ์งานออนไลน์ผ่านระบบ Zoom อาทิ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด และ บริษัท ฟอร์ท เวนติ้ง จำกัด เป็นต้น โดยงานนี้ได้รวบรวมตำแหน่งงานสำหรับ

นักศึกษาจบใหม่ ผู้ว่างงาน รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ผู้พิการ และผู้สูงอายุ ทั้งงานประจำที่นายจ้างสถานประกอบการยินดีรับผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี และอาชีพอิสระสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการหารายได้เสริม

ภายในงาน ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจหางานทุกกลุ่ม อาทิ โซนนิทรรศการ ประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติศาสตร์แห่งพระราชา “ศาสตร์แห่งความพอเพียง”, โครงการจิตอาสา 904 และ โคก หนอง นา โมเดล และหลากหลายโซนกิจกรรม อาทิ กิจกรรม คนหางาน งานหาคน Job matching, Show case application “ไทยมีงานทำ” , กิจกรรมสาธิต ฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ 30 อาชีพ และ ธุรกิจเฟรนไชส์ Food Truck กว่า 20 ธุรกิจ นอกจากนี้ กิจกรรมการแสดงบนเวที ยังอัดแน่นตลอด 3 วันงาน สนุกกับมินิคอนเสิร์ตจาก YOURMOOD (8 มิ.ย.), มีนตรา อินทิรา (9 มิ.ย.) และ ปราง ปรางทิพย์ (10 มิ.ย.)

“กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน เตรียมงานไว้ให้แล้ว JOB EXPO THAILAND 2023 ระหว่างวันที่ 8 – 10 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall 100 – 102 กรุงเทพมหานคร”

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ร่วมกับ นายสัมฤทธิ์ แสงลอย (ผู้แทน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ถวายจตุปัจจัยและสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็น ได้แก่ ไข่ไก่สดซีพี จำนวน 10,000 ฟอง และน้ำมันพืชจากกระทรวงแรงงาน จำนวน 25 ลัง ให้แก่ พระคุณเจ้าเลขา ชินกรณ์ ศิริจันโท วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ยากไร้ในสังคม ผ่านโครงการเมตตาธรรมค้ำจุนโลก มูลนิธิธรรมรักษ์ เพื่อเป็นการสร้างบุญกุศล และทำประโยชน์ต่อสั่งคมไทยร่วมกัน โดยมี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน​ ข้าราชการกระทรวงแรงงาน และชาวซีพีเอฟจิตอาสา ร่วมมอบ ณ วัดพระบาทน้ำพุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี

โครงการเมตตาธรรมค้ำจุนโลก มูลนิธิธรรมรักษ์ ของวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี เกิดขึ้นตามนโยบายโครงการ Volunteer Thailand เพื่อนำจตุปัจจัยและสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็นไปบริหารจัดการดูแลผู้ป่วย HIV เด็กกำพร้า คนชราถูกทอดทิ้ง และผู้ยากไร้ในสังคม ให้ได้รับการช่วยเหลือและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในสังคม ขณะเดียวกัน ท่านเจ้าคุณอลงกต ติกฺขปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ และทีมงาน ยังมีโครงการที่อยู่ภายใต้แบรนด์ “นาถะ” ซึ่งเป็นสินค้าสมุนไพรของหลวงพ่อฯ ที่นำมาจำหน่ายเพื่อนำรายได้ไปใช้ในการสานต่อโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกชีวิตภายในวัดที่ท่านดูแล และยังมีดนตรีจิตอาสาด้วย

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click