November 21, 2024

ลิกซิลมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป โดยมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ การบรรเทาและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำ และเศรษฐกิจหมุนเวียน

อเมริกันสแตนดาร์ด แบรนด์สุขภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ภายใต้ ลิกซิล กรุ๊ป นำโดย วิวัฒน์ สุรพัฒนานนท์ (ที่สองจากซ้าย) ลีดเดอร์ ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ และ ธริณี พิมลศรี (ซ้ายสุด) ลีดเดอร์ แบรนด์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมิวนิเคชัน ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ ร่วมกับร้านตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ โฮมสุขภัณฑ์, สหไพบูลย์ โฮมเซ็นเตอร์, และ ทรัพย์สกล 1994 มอบสุขภัณฑ์ห้องน้ำจำนวน 160 ชิ้น มูลค่า 400,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.เชียงราย ผ่านมูลนิธิมาดามแป้ง โดยมี นางนวลพรรณ ล่ำซำ (ที่สองจากขวา) ประธานกรรมการ มูลนิธิมาดามแป้ง และ พ.ต.อ. ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ (ขวาสุด) เป็นผู้รับมอบเพื่อประสานไปยังเรือนจำกลางเชียงราย กรมราชทัณฑ์ ในการนำสุขภัณฑ์ทั้งหมดเข้าไปติดตั้งในบ้านน็อคดาวน์ให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนต่อไป ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์

วิวัฒน์ สุรพัฒนานนท์ ลีดเดอร์ ลิกซิล ประเทศไทย, ธุรกิจเทคโนโลยีการใช้น้ำ กล่าวว่า “อเมริกันสแตนดาร์ด เข้าใจถึงความยากลำบากที่พี่น้อง จ.เชียงรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เราจึงขอร่วมส่งกำลังใจด้วยการมอบอ่างล้างมือจำนวน 80 ชุด และโถสุขภัณฑ์จำนวน 80 ชุด รวมทั้งหมด 160 ชิ้น ผ่านมูลนิธิมาดามแป้งในการส่งต่อความตั้งใจในการช่วยเหลือจากเราไปยังผู้ประสบอุทกภัยให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในเร็ววัน”

อเมริกันสแตนดาร์ดยังพร้อมดูแล เยียวยาลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยจับมือกับ 3 ร้านตัวแทนจำหน่ายตามรายชื่อร้านข้างต้นออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าคนสำคัญด้วยส่วนลดค่าอะไหล่สุขภัณฑ์ 50% ถึง 31 ธันวาคม ศกนี้

ท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังจากวิกฤตโควิด-19 การพัฒนาเมืองและการสร้างสรรค์สิ่งปลูกสร้างใหม่ ๆ ในแวดวงอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ คอนโดมิเนียม โรงแรม หรือรีสอร์ต เพื่อสอดรับกับ
เทรนด์ความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้อยู่อาศัย นักท่องเที่ยว เจ้าของธุรกิจ นักลงทุน ได้อย่างครอบคลุม นับเป็นความท้าทายของวงการสถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จะร่วมนำเสนอ สร้างสรรค์ และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังสามารถ คงเอกลักษณ์และความโดดเด่นท่ามกลางอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นนี้

สถาปัตยกรรมและการออกแบบที่มีความหมายเพื่อวันพรุ่งนี้

สถาปัตยกรรมและการออกแบบในยุคปัจจุบันไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการสร้างอาคารที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการออกแบบที่สะท้อนวัฒนธรรม และตอบสนองความต้องการพร้อมกับประสิทธิภาพในการใช้งาน เทรนด์สำคัญที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ได้แก่ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงการคำนึงถึงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ปัจจัยเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ส่งผลให้แบรนด์และองค์กรต่าง ๆ หันมานำเสนอโครงการที่เน้นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ผ่านการออกแบบโครงการที่อยู่อาศัย โรงแรม และอาคารพาณิชย์ โดยสอดแทรกแนวคิดเหล่านี้ในทุกกระบวนการสร้างสรรค์ ตั้งแต่แรงบันดาลใจ การออกแบบ จนถึงการเลือกใช้วัสดุ

รางวัล Asia Pacific International Property & Hotel Awards 2024-25 เป็นรางวัลที่เฉลิมฉลองความเป็นเลิศทางด้านสถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน อสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในครั้งนี้ได้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติในวงการมากกว่า 500 คน และได้มอบรางวัลให้กับบริษัทถึง 400 บริษัททั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่งมีบริษัทสัญชาติไทยได้รับรางวัลจากงานนี้ถึง 122 รางวัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นทั้งในด้านการออกแบบ คุณภาพ บริการ นวัตกรรม ความมีเอกลักษณ์ และความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนของวงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

ลากูน่า เลคแลนด์ (Laguna Lakelands) เป็นหนึ่งในโครงการที่สะท้อนถึงการออกแบบที่สามารถกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมและชุมชนได้อย่างมีเอกลักษณ์ โดยเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต ออกแบบโดยเน้นธรรมชาติและสนับสนุนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โครงการประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย 5 โซนที่แตกต่างกันได้แก่ ฮิลล์ไซด์ (Hillside) ออร์ชาร์ด (Orchard) ฟอเรสต์ (Forest) เลคไซด์ (Lakeside) และลากูน (Lagoon) นอกจากนี้ โครงการยังมุ่งเน้นการพัฒนา "ความยั่งยืนทางสังคม" โดยการออกแบบทางเดิน สวนสาธารณะ และศูนย์ชุมชนให้สมาชิกชุมชนโดยรอบสามารถร่วมใช้พื้นที่ได้ ไม่เพียงแค่ผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ทำให้ลากูน่า เลคแลนด์ เป็นโครงการที่ส่งผลกระทบเชิงบวกและมีความหมายต่อชุมชนท้องถิ่น โดย ลากูน่า เลคแลนด์: เลควิว เรสซิเดนซ์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ 2 สาขา ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยมากกว่า 20 ยูนิตในประเทศไทย และการพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย จากเวที Asia Pacific International Property& Hotel Awards ครั้งล่าสุด

ทั้งนี้ บันยันกรุ๊ปเรสซิเดนซ์เป็นกลุ่มบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับรางวัลจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย

นายโฮ กวง ปิง หรือเคพี โฮ ผู้ก่อตั้ง และปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของบันยันกรุ๊ป กล่าวว่า “รางวัล International Property Awards ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศ เรารู้สึกภูมิใจ และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับถึง 12 รางวัลด้วยกันในปีนี้”

“รางวัลนี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ และความมุ่งมั่นของทีมงานเรา จากความทุ่มเทในการสร้างสรรค์นวัตกรรมรวมถึงการออกแบบที่โดดเด่น และการสร้างประสบการณ์อันเหนือชั้นให้แก่ลูกค้า ทำให้เรากลายเป็นผู้นำด้านการพัฒนาตลาดลักซ์ชัวรี่ในไทย รางวัลนี้ตอกย้ำถึงจุดยืนของเราในการผลักดันขอบเขตชีวิตที่ยกระดับทั้งในเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ” เคพี โฮ กล่าวเสริม

โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว (Botanica Grand Avenue) เป็นเมกะโปรเจ็กต์แบบมิกซ์ยูสที่ผสมผสานทั้งพูลวิลล่า คอนโดมิเนียม และคลับเฮาส์ระดับหรู โครงการนี้หยิบยกรายละเอียดของธรรมชาติมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมระดับโลกและวัสดุคุณภาพสูง รังสรรค์เป็นที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทั้งด้านฟังก์ชันและคงไว้ซึ่งความเรียบหรูทันสมัย สร้างนิยามใหม่ของศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในอ้อมกอดของธรรมชาติที่ผสานการออกแบบโทน Futuristic, Tropical และ Luxury เข้าไว้ด้วยกันอย่างดี “เรายึดมั่นในการส่งมอบโครงการที่มีคุณภาพ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยมาโดยตลอด สำหรับโครงการ โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว ที่ได้รางวัลจากเวที IPA นี้ นับเป็นเครื่องการันตีความสามารถของทีมสถาปนิกและทีมออกแบบไทยที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าระดับสากลได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพื่อการพัฒนาวงการและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน เรามุ่งมั่นพัฒนาโครงการดี ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยต่อไป” คุณธาตรี พันโกฏิ - Founder /Design director บริษัท Rhyme Design Group กล่าว

รางวัลนี้นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทยในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ และสถาปัตยกรรมระดับโลก ซึ่งไม่เพียงแต่แสดงถึงความก้าวหน้าของนวัตกรรมการออกแบบและสถาปัตยกรรมของไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งสู่อนาคตในทุกมิติ ด้วยความพยายามสร้างมาตรฐานเป็นต้นแบบแก่ทุกอุตสาหกรรมได้ก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

ตอกย้ำความสำเร็จและสะท้อนความเชื่อมั่นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค

เพราะ ‘คน’ มีพื้นฐานชีวิต ความถนัด ความชอบ และความต้องการที่แตกต่างหลากหลาย การทำงานบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) จึงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในยุค Digital Transformation เพราะนอกจากจะต้องบาลานซ์ความต้องการของคนที่เป็นพนักงานแล้ว ยังต้องวางกลยุทธ์ให้คนทำงานไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด สามารถตอบโจทย์ความต้องการหรือเป้าหมายขององค์กรได้ ด้วยทรัพยากรที่มีและความท้าทายสารพัดด้าน

บทความนี้จะพาไปทำความรู้จัก ดร.ธภัทร อาจศรี Leader, HR Thailand, LIXIL APAC บุคคลที่ทำงานอยู่ในสายงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resource) มานานกว่า 20 ปี ด้วยความรัก (Passion) ที่ได้ทำงานร่วมกับผู้คน ด้วยใจรักในสายอาชีพ และรักในงานแก้ปัญหา ซึ่งส่งผ่านทางใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดการสัมภาษณ์

“HR มีหน้าที่รับฟังปัญหา absorb ความเครียดของคน ของพนักงาน ดังนั้น HR จึงจำเป็นต้องมีทัศนคติที่ดี มีจิตใจเข้มแข็งเป็นพื้นฐาน เพื่อส่งต่อพลังบวก (Positive Energy) ออกไป และเป็นตัวกลางที่คอยหาโซลูชันที่จะตอบโจทย์ทั้งองค์กรและพนักงานแบบ Win-Win Situation”

จากการศึกษาสู่การทำงานด้านบริหาร คนซึ่งมีความต้องการหลากหลาย

ดร.ธภัทรเล่าว่า เริ่มต้นการทำงานในสาย Hospitality ซึ่งเชื่อมโยงสายงานโรงแรมและงานบริการ ทำให้ได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ครอบคลุมไปถึงการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับลูกค้าและพนักงาน กว่า 6 ปีในการทำงาน โดย ดร.ธภัทรค้นพบว่าความรัก (Passion) และความสุขในการทำงานคือการที่ได้ช่วยผู้คนหาทางออกและแก้ปัญหาต่าง ๆ จนสำเร็จลุล่วง จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและต่อยอดให้กับตัวเองในสายงานนี้และตัดสินใจศึกษาต่อทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์และธุรกิจอุตสาหกรรม

ต่อจากนั้นได้มีโอกาสร่วมทำโปรเจกต์กับบริษัทจากประเทศออสเตรียเพื่อเซ็ตอัพและสร้างโรงงานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนกว่า 8,000 ล้านบาท หลังจากเสร็จโปรเจกต์จึงได้เข้าทำงานใน บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่ง Leader ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย โดยอยู่ใต้ปีกของ LIXIL APAC ภายใต้ LIXIL Corporation ผู้บุกเบิกผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดการน้ำและที่อยู่อาศัย ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

เกริ่นก่อนว่า ลิกซิลเป็นองค์กรระดับ Global ที่ดำเนินธุรกิจใน 150 ประเทศทั่วโลก มีพนักงานรวม 55,000 คน และมีแบรนด์ชั้นนำมากมายที่อยู่ภายใต้การบริหารของ LIXIL อย่าง American Standard, GROHE, INAX, TOSTEM ฯลฯ

สำหรับลิกซิล ประเทศไทย ดร.ธภัทรมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรทุกคน ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่ทำงานในองค์กรมานาน บุคลากรรุ่นใหม่ บุคลากรที่ได้รับการสนับสนุนให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารรุ่นต่อไป ที่สำคัญ เป็นผู้ริเริ่มทำ โครงการพัฒนาทักษะพนักงาน (Talent Development Program) เพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานให้สามารถขับเคลื่อนองค์กรไปในทิศทางที่วางไว้ได้ รวมถึงช่วยแก้ปัญหาการพัฒนาศักยภาพของพนักงานที่ขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เกิดขึ้น

“Talent Development Program” ไม่ได้ทำแค่การพัฒนาคนให้มีศักยภาพ แต่ยังสามารถช่วยสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับองค์กรได้ด้วย และโครงการนี้ก็เหมือนเรายิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 4 ตัว นกตัวแรก คือการสร้างความมีส่วนร่วมกับพนักงานในองค์กรทุกคน ทุกระดับ เพราะโครงการนี้จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของพนักงานทุกคนในองค์กร นกตัวที่ 2 คือการปิด Pain Point เรื่องอัตราการลาออกของพนักงาน (Turnover Rate) โดยเฉพาะพนักงานในกลุ่มศักยภาพสูงขององค์กร และการขาดแผนการพัฒนาศักยภาพที่ยั่งยืนของบุคลากร นกตัวที่ 3 องค์กรได้มีแผนทดแทนที่ชัดเจน (Succession Planning) คือ เตรียมคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้บริหารในอนาคต ดังนั้น เมื่อมีคนเกษียณ เราจึงมีคนสืบทอดตำแหน่งต่อได้เลย

“และ นกตัวที่ 4  คือ การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร (Employer Branding) โครงการนี้ทำให้เราได้รับ 2 รางวัลใหญ่ คือ Employee Experience Awards 2024 Thailand (EXA Awards) รางวัลที่มีหลายองค์กรในประเทศไทยเข้าร่วมประกวด ซึ่งบริษัท ลิกซิล ประเทศไทย เพิ่งเข้าร่วมเป็นปีแรก และคว้ารางวัลที่ 1 (Gold) เป็น The Best Succession Planning Strategy ยิ่งทำให้เราภูมิใจมาก กับอีกหนึ่งรางวัลคือ The Winner ด้าน Talent Development Program 2024 จาก Country Leadership Award FYE2024 ซึ่งไม่ใช่รางวัลที่จะได้มาง่าย ๆ และถือเป็นรางวัลสูงสุดของโครงการที่สามารถพัฒนาและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับองค์กรในระยะยาวได้ และยังต่อยอดในเชิงธุรกิจได้อีกด้วย” ดร.ธภัทรเล่าถึงผลงานด้านการวางกลยุทธ์ด้วยความภาคภูมิใจ ผ่าน 2 รางวัลที่ได้รับ

นอกจากการทำงาน HR ดร.ธภัทรเล่าเสริมว่า ได้ทำงานด้านการบริการสังคมและแบ่งปันความรู้ในสายงานให้แก่ผู้อื่นเรื่อยมา โดยเป็นวิทยากร อาจารย์พิเศษและที่ปรึกษาให้กับวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มานานกว่า 15 ปี

บริหารคนด้วยปรัชญาการทำงานของ LIXIL

ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและด้วยความท้าทายด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร มีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ แม้บางองค์กรจะมองว่า งานบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นหน่วยงานสนับสนุนการทำงานของบุคลากรภายใน แต่ ดร.ธภัทรเผยมุมมองที่กว้างและลึกกว่านั้นว่า งานบริหารทรัพยากรบุคคลมีความสำคัญในการขับเคลื่อนผู้คนให้ทำงานอย่างสร้างสรรค์ เติบโต และเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนคนเพื่อไปขับเคลื่อนองค์กรให้มีความแตกต่าง และสามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น

ดร.ธภัทรจึงจัดวางระบบอย่างมีเอกลักษณ์ ใส่ใจตั้งแต่การคัดคนจาก ‘ทัศนคติ’ มากกว่า ‘ความสามารถ’ เพราะเชื่อว่าทัศนคตินั้นปรับยาก แต่ความสามารถนั้นฝึกฝนกันได้ สร้างแผนพัฒนาทักษะและความรู้ ความสามารถของบุคลากรที่ทันสมัย อัปเดตอยู่เสมอ เพื่อสนองความต้องการของบุคลากรและองค์กรได้อย่างกลมกลืน สอดคล้องไปกับหลักการทำงานขององค์กร ลิกซิล ประเทศไทย

ดร.ธภัทรอธิบายว่า พนักงานของบริษัท ลิกซิล ทั่วโลก ทำงานบนหลักการ 3 ข้อ

  • ข้อแรก Do the right thing คือ ทำสิ่งที่ถูกต้อง
  • ข้อสอง Work with Respect ทำงานด้วยความเคารพผู้อื่น เคารพซึ่งกันและกัน และให้ความร่วมมือในการทำงาน
  • ข้อสาม Experiment & Learn กล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ และพร้อมที่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ทั้ง 3 ข้อเป็นปรัชญาการทำงานที่พนักงานของบริษัท ลิกซิล ยึดเป็นแนวปฏิบัติทั่วโลก และเป็นพื้นฐานของการวางกลยุทธ์พัฒนาบุคลากรที่ ดร.ธภัทรนำมาผสานรวมกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ ลิกซิล ประเทศไทย ได้อย่างลงตัว กล่าวคือ

  • บริษัทให้อิสระในการทำงาน พนักงานสามารถคิดและเสนอแนะวิธีการต่าง ๆ ในการทำงานหรือ ขอทำงานจากที่บ้านได้ (Hybrid Workplace) เพราะบริษัทเข้าใจในความหลากหลาย และแตกต่างของพนักงาน รวมถึงข้อจำกัดของแต่ละคน โดยจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมืออาชีพ ในออฟฟิศ บริษัทก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์รองรับการทำงานกับพนักงานให้ทั้งหมด
  • บนพื้นฐานการทำงานด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน จึงลดความขัดแย้งได้ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ในเจเนอเรชันไหน และยังเปิดให้มีการพูดคุยแบบ 1-on-1 เพื่อรับฟังและสร้างความเข้าใจเพื่อการทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น
  • พนักงานสามารถทดลองทำสิ่งใหม่และผิดพลาดได้ (Failure) เราเชื่อว่าการทำงานบางครั้งก็สามารถเกิดความผิดพลาดได้ เราเข้าใจเพราะเราเชื่อว่าจะทำให้พนักงานได้เรียนรู้ ได้คิดอย่างสร้างสรรค์ และกล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งสามารถต่อยอดทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเพิ่มมูลค่าจากไอเดียใหม่ ๆ ได้
  • ส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ มี Career Path ให้เติบโต ไม่ว่าจะเป็นแบบ On-site, Online, Meeting การให้พบปะพูดคุยกับคนเก่ง ๆ เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีประสบการณ์ในสายอาชีพ เพราะสามารถช่วยให้คนทำงานเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่ ส่งผลให้พนักงานอยากอยู่กับองค์กรไปนาน ๆ ลดอัตราการลาออก รวมถึงการเตรียมความพร้อมให้พนักงานรุ่นถัดไปขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นแบบไม่ขาดช่วง
  • ให้พนักงานได้เรียนรู้และทดลองทำหลาย ๆ อย่าง (Multitasking) เพื่อพัฒนาทักษะให้พนักงานได้มีทักษะที่หลากหลายและเพิ่มความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการทำงาน ในกรณี หากพนักงานคนใดคนหนึ่งลาหรือเลือนขั้นเมื่อโอกาสมาถึง ในระยะสั้นองค์กรยังสามารถ ประครองให้การทำงานเกิดความต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก เพราะพนักงานสามารถเข้าไปเสริมหรือทำแทนกันได้ ตรงนี้จะลดภาวะการหมดไฟ (Burn Out) ของพนักงาน และอยากลาออกในท้ายที่สุด เพราะเรามุ่งให้เกิดการสร้างเสริมทักษะและความคล่องตัวในการทำงานให้กับพนักงานมากกว่าการลดค่าใช้จ่าย

3 ทักษะแห่งอนาคตที่คนทำงานรุ่นใหม่ต้องมี

ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนและเทคโนโลยีก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และการดำเนินชีวิต คนทำงานต้องพร้อมปรับตัวเพื่อตอบสนองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ ต้องมีความสามารถในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยงานได้ ร่วมกับการมี Soft Skills

“คนคนหนึ่งที่จะเก่งและเติบโตไปกับองค์กรได้ต้องมีความรู้รอบด้านนะครับในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่เก่งเฉพาะสายงาน แต่ต้องมีทักษะด้าน Soft Skills ด้วย คือสื่อสารเป็น มีบุคลิกภาพและการวางตัวที่เหมาะสม ตัดสินใจเป็น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ และเขาต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เรื่องเหล่านี้สําคัญและส่งผลต่อความสําเร็จของพนักงานเลยนะครับ” ดร.ธภัทรกล่าวถึงทักษะที่ไม่ว่าจะทำงานในสายใดก็ควรมี

ในฐานะที่ทำงานด้าน HR เห็นเทรนด์ เห็นความเปลี่ยนแปลงสารพัดด้านมาตลอด ดร.ธภัทรปิดท้ายด้วยการให้คำแนะนำแก่ Young Talent & Young Professional ว่า มี 3 ทักษะพื้นฐานที่สำคัญต่ออนาคตและมีผลต่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้แก่

  • รู้จักใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็น (Digital Intelligence) เช่น สามารถใช้ digital เพื่อมาต่อยอดในสายงานอาชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน นำไปสู่ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว แม่นยำหรือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้
  • ต้องรู้จักสร้างเครือข่ายในสายอาชีพ ( Professional Networking) ในปัจจุบันความสำเร็จไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคน คนเดียว การสร้างเครือข่ายในสายอาชีพและธุรกิจที่แข็งแกร่งจึงจำเป็นอย่างมาก เพราะการมีเครือข่ายในสายอาชีพที่แข็งแกร่งที่ส่งเสริมและช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ จะทำให้เราประสบความสำเร็จในสายอาชีพหรือธุรกิจได้เร็วขึ้น
  • ต้องเปิดรับเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Lifelong Learning) การเรียนรู้ตลอดชีวิตและตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญเพราะปัจจุบันนี้บริบทของโลกในธุรกิจเปลี่ยนไปเร็วมาก ความรู้ก็เช่นกัน ความรู้ที่เรารู้ในวันนี้ อีกสามเดือน หรือ หนึ่งปี ความรู้นั้นอาจใช้ไม่ได้ไม่ทันสมัยแล้วก็ได้ ดังนั้นการเรียนรู้ตลอดเวลา จะทำให้เราสามารถพัฒนาและตามคนอื่นและคู่แข่งได้ทัน

“มนุษย์เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ การพัฒนาคน การลงทุนกับคน มันคือการทําให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน ที่บอกนี่ไม่ใช่เพราะผมทํางาน HR แต่เพราะคนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในธุรกิจจริง ๆ แม้ยุคนี้ใคร ๆ จะพูดถึงการนำ AI เข้ามาทดแทน แต่ความสำเร็จของการทำงานในยุคดิจิทัลไม่ได้มาจากการทำงานหรือเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่จะมาจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อต่อยอดทางธุรกิจให้ได้ สร้างเครือข่ายในสายอาชีพให้แข็งแกร่ง และให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะและถึงแม้ว่าจะนำ AI เข้ามาใช้ในองค์กร แต่องค์กรก็ยังต้องมีคนคอยควบคุมอยู่ดี จริงไหม?” ดร.ธภัทร สรุปทิ้งท้าย


เรื่อง / ภาพ โดย: กองบรรณาธิการ

Page 1 of 2
X

Right Click

No right click